“ มาแล้วค่า ข้าวต้มปลาร้อน ๆ แล้วก็สาลี่หวาน ๆ ชื่นใจ ” พยาบาลสาวเอ่ยโฆษณาด้วยรอยยิ้ม แต่อวัศยารีบเอ่ยขึ้น
“ คุณพยาบาลคะ ขอโทษที่ลืมบอก ฉันแพ้ปลาทะเลทุกชนิดเลย ไม่ทราบว่าข้าวต้มปลานี่ทำจากปลาอะไรคะ ”
“ ทราบแล้วค่ะ คุณอัคคีบอกแล้ว อันนี้เป็นข้าวต้มปลาทับทิมค่า ไม่ใช่ปลาทะเล ทานได้นะคะ ”
“ อะไรนะคะ คุณอัคคีบอก ” ผู้ป่วยสาวถามอย่างแปลกใจ
“ คุณอัคคีแจ้งรายละเอียดของคุณอวัศยาไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ แพ้ปลาทะเลทุกชนิดและคุณทานเผ็ดไม่ได้มากนัก ถ้าทำอะไรเผ็ด ๆ เต็มที่ก็ใส่พริกได้แค่ไม่เกินสองเม็ด ผลไม้โปรดคือผลไม้รสหวานเพราะคุณไม่ชอบทานอาหารเปรี้ยว สาลี่ แตงโม แคนตาลูป ละมุด อะไรพวกนี้ได้ เห็นไหมคะ ดิฉันจำแม่นพอ ๆ กับคุณอัคคีเลยเชียว ” พยาบาลสาวแจ้งรายละเอียดพร้อมรอยยิ้ม ตรงกันข้ามกับผู้ป่วยสาวที่หน้าซีดขาวราวกระดาษ
“ คุณอัคคีเขารู้ได้อย่างไรคะ เขารู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวฉันได้อย่างไร ”
“ อ้าว คุณอวัศยาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ ” อวัศยาส่ายศีรษะ
“ ไม่ค่ะ พึ่งจะรู้จักกันเมื่อไม่กี่วันมานี้ ”
เธอตอบ สมองใคร่ครวญ หัวใจร้อนรน รายละเอียดส่วนตัวเหล่านี้มีเพียงคนในครอบครัว คนรับใช้ และเพื่อนรักอย่างปรียาเท่านั้นที่รู้
และอีกคนคือ นายไฟ…
แล้วนายอัคคีมารู้ได้อย่างไร !
หรือนายไฟกับนายอัคคีจะเป็นคนคนเดียวกัน !
ไม่จริงหรอก ถึงลักษณะทางกายภาพจะเหมือนกันจนน่าตกใจ แต่หัวใจต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ คุณอวัศยาทานตามสบายนะคะ เดี๋ยวดิฉันขอตัวไปเตรียมยาให้ก่อน ” พยาบาลสาวว่า อวัศยาพยักหน้ารับ ก่อนจะจมดิ่งลงไปในห้วงความคิดอีกครั้ง
เขาอาจจะรู้มาจากพี่ส้มก็เป็นได้ เธอพยายามใคร่ครวญหาเหตุผล มือตักข้าวต้มใส่ปาก แต่มันหยุดคิดไม่ได้จริง ๆ เธอจำต้องกดโทรศัพท์หาส้มในตอนนั้นเพื่อไขข้อกังขาทันที อีกฝ่ายกดรับแทบจะทันที
“ คุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ คุณอัคคีโทรมาบอกว่าคุณหนูเป็นลม ส้มงี้เป็นห่วงแทบแย่ แต่คุณอัคคีบอกว่าปลอดภัยแล้วและจ้างพยาบาลพิเศษดูแลอย่างใกล้ชิด และบอกว่าตอนเช้าค่อยให้เข้าเยี่ยมได้ จะโทรหาก็ไม่กล้า กลัวคุณหนูหลับอยู่ ”
“ หมอกสบายดีแล้วค่ะพี่ส้ม ส่วนคุณพ่อ พยาบาลก็บอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่หมอกมีเรื่องบางอย่างจะรบกวนถามพี่ส้ม ”
“ เรื่องอะไรเหรอคะ ”
“ คุณอัคคีเขาได้ไปถามเรื่องของหมอกกับพี่ส้มบ้างหรือเปล่า เช่นรายละเอียดการแพ้อาหารอะไรพวกนี้ ”
“ ไม่เลยค่ะ คุณเขาแค่โทรมาแจ้งเรื่องที่คุณหนูเป็นลม ไม่เคยถามอะไรเลย เอาจริง ๆ แทบจะไม่ค่อยได้คุยกันด้วยซ้ำค่ะ ”
“ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ ”
แทนคำตอบ ประตูห้องพิเศษของเธอถูกเปิดออก ร่างสูงใหญ่สง่างามในชุดสูทอาร์มานี่สีดำยืนอยู่ตรงนั้น
“ คุณอัคคี ! ”
อวัศยาเรียกชื่อของผู้มาเยือน เขายืนนิ่ง สายตาคมกริบประสานมายังดวงตากลมโตที่เบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่มีคำพูดจาหรือทักทาย ทำเพียงจ้องมองอยู่อย่างนั้น
ปลายสายเห็นเงียบผิดปกติจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ คุณหนูคะ เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไป แล้วทำไมเรียกชื่อคุณอัคคีคะ ”
“ เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมีอะไรคืบหน้าหมอกจะโทรหาใหม่ สวัสดีค่ะ ” เธอกรอกเสียงตอบไปก่อนจะกดวาง ร่างสูงจึงค่อยเยื้องย่างเข้ามาหาช้า ๆ แต่เขายิ่งเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ เธอยิ่งรู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวก
รู้สึกไม่ปลอดภัย…
“ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม คุณหนูอวัศยา ”
เสียงทุ้มเอ่ยถาม ก่อนจะหยุดอยู่ที่ข้างเตียง ใช้สายตาเอ็กซเรย์จ้องเธอไม่วาง จนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหลบตาเสียก่อน
“ ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณมาก ”
“ ดีแล้ว ” เขาตอบสั้น ๆ
“ ฉันมีเรื่องจะถาม ”
“ เชิญ ” เธอเงยหน้าขึ้นจ้องใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับบ้าง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงชัดเจน
“ คุณทราบได้อย่างไรว่าฉันแพ้ปลาทะเล ทราบได้อย่างไรว่าฉันชอบหรือไม่ชอบทานอะไร ” เธอสาบานได้ว่าเห็นแวววูบไหวตกใจในดวงตาคมกริบนั้นชั่วขณะ ทว่าเขากลบเกลื่อนมันทันด้วยเสียงหัวเราะ
“ มันไม่ใช่เรื่องยากที่คนอย่างนายอัคคีอยากจะรู้รายละเอียดของใครสักคน อำนาจเงินมันบันดาลได้ทุกอย่างแหละ ”
“ นั่นสินะคะ เงินมันบันดาลได้ทุกอย่าง ทำได้แม้กระทั่งเปลี่ยนคนคนหนึ่งจากหน้ามือเป็นหลังมือ ” คิ้วเข้มถูกเลิกขึ้นแล้วหัวเราะร่วน
“ คนบางคนยังทำลายชีวิตคนอื่นจนวอดวายฉิบหายได้เพียงเพราะเงินเลย ไม่เห็นจะแปลก ”
เธอจ้องหน้าเขานิ่ง ไม่พูดไม่จา มองนานจนกระทั่งเห็นรอยแผลเป็นที่หางคิ้วขวาเป็นรอยจาง ๆ ทว่าสำหรับเธอนั่นยืนยันได้ทุกสิ่งอย่างแล้ว
จริงที่สุด อำนาจเงินมันรุนแรงนัก…