มู่หนานจือ – บทที่ 37 วางหมาก

จ้าวอี้โกรธจนหน้าแดง และโยนเฉินเหม่ยเหรินลงบนเตียง

เจียงเซี่ยนก็ยืนอยู่นอกม่าน และฟังพวกเขาพลิกตัวไปมาผ่านม่าน

ไม่รู้ว่าเพราะจ้าวอี้ชอบแต่ผู้หญิงที่อกโตสะโพกใหญ่หรือเพราะนางยืนอยู่ข้างๆ ตลอด เขาจึงเข้าตรอกไม่ได้สักที

นางเรียกเสี่ยวโต้วจึมาให้เขา โดยให้เสี่ยวโต้วจึนำยากระตุ้นกำหนัดเข้ามา

คืนนั้นจ้าวอี้มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงสิบเอ็ดคน…ส่วนแม่นมฟางตายที่ตำหนักอี๋อวิ๋น

หลังจากนั้นจ้าวอี้ก็ไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย

แต่พระเจ้ายังคงยืนอยู่ข้างเขา

เขายังไม่ตาย!

ทว่าก็ไม่ใช่ว่านางจะไม่มีแผนการที่นำมาซึ่งชัยชนะอย่างสิ้นเชิง

จ้าวอี้พูดไม่ได้แล้ว

นางคิดแล้วก็เรียกอ๋องเจี่ยนเข้าวัง และบอกอ๋องเจี่ยน “ฝ่าบาทมีความสัมพันธ์กับฮูหยินเฟิ่งเซิ่ง ข้ามอบผ้าแพรขาวให้ฮูหยินเฟิ่งเซิ่ง แต่นางไม่ยอมผูกคอตาย ข้าจึงจำเป็นต้องใช้สารหนู ทว่าไม่รู้ทำไมฝ่าบาทถึงกลายเป็นแบบนี้ ข้าไม่กล้าเรียกหมอหลวงมาสอบถามอาการ…”

ตอนที่เอ่ยเรื่องนี้ ขันทีเสี่ยวโต้วจึคนสนิทของจ้าวอี้ก็รออยู่ข้างนอก

อ๋องเจี่ยนอาจจะได้ยินอะไรมาแล้ว จึงไม่ถามเสี่ยวโต้วจึแม้แต่คำเดียว เขามองฮ่องเต้ที่ร้อนใจจนตาแดงทว่ากลับพูดจาตะกุกตะกัก แล้วถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ยกับนางเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทอาจจะพระวรกายอ่อนแอ และจำเป็นต้องพักผ่อนอย่างสงบ อย่างไรก็ขอให้ฮองเฮาช่วยจัดการทางสำนักหมอหลวงนั่นมากๆ หน่อย”

ตอนนั้นนางขอบตาแดง และเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เหมือนกันนะ! ผู้อาวุโสอย่างท่านต้องตัดสินใจให้ข้าสิ!”

อ๋องเจี่ยนส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปสำนักหมอหลวงสักครั้งแล้วกัน”

นางรีบเอ่ยว่า “ทางขุนนางใหญ่ในราชสำนักจะทำอย่างไร? แล้วยังหน่วยองครักษ์กับกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครอีก…”

อ๋องเจี่ยนพึมพำว่า “ทางขุนนางใหญ่ในราชสำนักนั่นปิดบังไม่ได้ เรียกคนของสำนักราชเลขาธิการที่ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการเข้ามาแล้วกัน ส่วนหน่วยองครักษ์กับกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครนั้นก็ต้องขอให้เจิ้นกั๋วกงออกหน้าแล้ว”

นางถึงได้เรียกลุงของตนเองเข้าวัง

ท่านลุงทั้งตกใจและโกรธ เขามองนางพลางกระทืบเท้าตลอด และเอ่ยว่า “ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ? เจ้ายังเด็กขนาดนี้ แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกชายคนโตของฝ่าบาทจะเติบโตเป็นคนได้หรือไม่ ถึงเวลานั้นรับซื่อจื่อของตระกูลไหนสักตระกูลมาเป็นลูกชายคนโตดีกว่า”

คำพูดเหล่านี้ทำให้นางร้องไห้ขึ้นมาอย่างเงียบๆ

นางลากลุงของตนเองไปข้างหนึ่ง แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านลุงฟัง

ท่านลุงได้ยินแล้วอยากตบนางสักฉาด ปากก็เอ่ยว่าเจ้า “ทรยศ” เจ้า “ปลงพระชนม์ฝ่าบาท” และทันใดนั้นก็ร่างราชโองการด้วยตนเอง ให้นางเขียนตามให้กองพิธีการ เรียกเจียงลวี่กับหวังจ้านเข้าเมืองหลวง ให้เจี่ยงลวี่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการค่ายทหารภูเขาตะวันตกรักษาการณ์ค่ายทหารภูเขาตะวันตก และให้หวังจ้านดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครรักษาการณ์เมืองหลวง ส่วนตนเองก็รับงานหนักอยู่ในวัง เตรียมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินตลอดเวลา

นางถอนหายใจออกมายาวเหยียด แล้วเอ่ยว่า “หมอหลวงเถียนเห็นข้ามาตั้งแต่เล็กจนโต ก็เหมือนผู้ใหญ่ของข้า แม้เวลานี้เขาจะไม่อยู่สำนักหมอหลวงแล้ว แต่สำนักหมอหลวงส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ของเขาหรืออดีตเพื่อนร่วมงาน พวกเราลองไปหาเขาดีหรือไม่? แล้วยังเกาหลิ่งอีก ต้องเปลี่ยนตัวเขาหรือไม่?”

“เจ้าไม่ต้องรีบร้อนไป” ท่านลุงปลอบนาง “อ๋องเจี่ยนไม่ใช่คนธรรมดา ในเมื่อเขาออกหน้ากับราชสำนักและสำนักหมอหลวงแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่งแล้ว…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ ท่านลุงก็ก้าวมาข้างหน้าเล็กน้อยและกระซิบข้างหูนาง “ในเมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด ความลังเลจะนำภัยมาสู่ตน เวลานี้ตระกูลเจียงของพวกเรากับตระกูลหวังหลายสิบคนล้วนอยู่ในกำมือเจ้า พวกเราจะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด”

ท่านลุงกลัวว่านางยังเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยากับจ้าวอี้

นางโกรธจนตัวสั่นตลอด ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ท่านลุง ไม่รู้ว่าจ้าวอี้เหยียดหยามข้าอย่างไรงั้นหรือ? เขาอยากให้ตระกูลเจียงช่วยก็ช่วย ทำไมต้องให้ข้าเป็นฮองเฮาด้วย?”

“ไม่ใช่ว่าข้าออกเรือนไม่ได้เสียหน่อย!”

“ตอนนั้นหากไม่ใช่ว่าเขาอ่อนน้อมถ่อมตน และข้าก็คิดว่าผู้ชายตระกูลจ้าวส่วนใหญ่มีความรู้สึกลึกซึ้ง เฉาไทเฮาไม่ให้เขาพบข้า เขาก็แอบออกมาจากวังเฉียนชิงเพียงเพื่อคุยกับข้าไม่กี่คำ ไม่ว่าเฉาไทเฮาจะว่าเขาอย่างไร เขาเห็นอะไรดีก็ยังคงจะคิดหาทุกวิถีทางส่งมาที่วังฉือหนิง ข้ากับเขาก็ถือว่าร่วมทุกข์ด้วยกัน ไม่อย่างนั้นข้าจะรับปากเป็นฮองเฮาของเขาได้อย่างไร?”

“ทว่าในเมื่อข้ารับปากเป็นฮองเฮาของเขาแล้วก็จะทำหน้าที่ของฮองเฮาอย่างสุดความสามารถ”

“สนมของเขา นั่นก็เป็นกฎที่บรรพบุรุษตั้งไว้เช่นกัน เขาไปมั่วกับใคร แน่นอนว่าข้าก็ต้องใจกว้างอยู่แล้ว ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว แต่เขาก็ใช้ได้ทีเดียว พาลูกชายที่แอบคลอดออกมามาบันทึกชื่อลงในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำราชวงศ์แล้วให้ข้าเลี้ยง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องโปรดปรานเพียงสตรีสกุลเซียว แต่เขายังพาแม่นมที่แต่งตั้งเป็นฮูหยินเฟิ่งเซิ่งมามั่วกันถึงในวังด้วย แม้กระทั่งข้าเห็นแล้วก็ไม่เห็นจะทำตัวเสเพลน้อยลงแม้แต่นิดเดียว แถมยังพูดต่อหน้าแม่นมฟางว่า ‘ฮองเฮาของข้ายังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจความรักของชายหญิง ไว้อีกไม่กี่ปี มีลูกก็จะรู้เอง’ …ตอนที่อ๋องเจี่ยนมาเมื่อครู่ ท่านไม่เห็นท่าทางของเขา เขารู้หมดว่าจ้าวอี้ทำอะไรบ้าง แล้วทั้งในและนอกวังหลวงนี้ยังมีใครที่ไม่รู้…ท่านจะให้ข้าทนได้อย่างไร?”

“ยิ่งกว่านั้นเขาอาศัยตระกูลเจียงของพวกเรากำจัดเฉาไทเฮา แล้วก็กลัวตระกูลเจียงของพวกเราลอบวางแผนก่อกบฏ จึงให้น้องชายของแม่นมฟางขึ้นเป็นแม่ทัพเซวียนถง แถมยังคิดจะให้หลานชายของนางรับช่วงต่อกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร จับองครักษ์เมืองหลวงไว้ในกำมือ ต่อให้ข้าคลอดลูกชาย จะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ จะเป็นไทเฮาได้หรือไม่ก็ยังต้องโน้มน้าวให้คนอื่นทำตามความคิดของตนเองอีก!”

“ท่านทนได้ ข้าทนไม่ได้!”

“ตอนนั้นเขาปิดล้อมเฉาไทเฮาได้ ก็เพราะโจมตีเฉาไทเฮาอย่างไม่ทันตั้งตัวไม่ใช่หรือ? จะบอกว่าเขามีจุดจบเช่นนี้ ข้าก็เรียนรู้มาจากเขาเช่นกัน เขาเป็นคนบอกข้าเองว่าทำอย่างไร!”

ท่านลุงก้มหน้าลง เขาเดินกลับไปกลับมาในห้องอุ่นสองรอบ แล้วเอ่ยกับนางเสียงเบามากว่า “เช่นนั้นก็คิดหาทางป้อนยาให้เขากินอีก…ไม่ต้องให้กินมากนัก…ระวังหมอหลวงตรวจเจอ…”

นางเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย ถึงเวลานี้ก็ตัดสินใจได้แล้ว

ท่านลุงเห็นแล้วก็ถอนหายใจ พลางเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้าก็ไม่เห็นด้วยที่เจ้าแต่งงานกับฝ่าบาท คิดว่าฝ่าบาทยืนกรานจะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮา เพราะอยากทำให้ตระกูลเจียงของพวกเราตกที่นั่งลำบาก แต่ไทฮองไทเฮาตัดสินใจให้เจ้า แล้วตัวเจ้าเองก็สมัครใจ ข้าว่าสามีภรรยาพออายุมากแล้วก็ยิ่งต้องเอาใจใส่และดูแลกันและกัน หากเจ้าแต่งงานกับคนที่เจ้าชอบ บางทีสองคนอาจจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้จนแก่เฒ่า จนเจ้าก็มีจุดจบที่ดีได้ คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทยังไม่ยอมปล่อยตระกูลเจียงกับเจ้าไป!”

“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”

“ตอนนั้นฝ่าบาทอยากจะว่าราชการด้วยพระองค์เอง โดยจับมือข้าและขอร้องทั้งน้ำตา ตอนนั้นข้าก็คิดว่าอาศัยแค่ตระกูลเจียงของพวกเรา ไม่ได้วางแผนอะไรเลย ก็ไม่แน่ว่าจะล้มเฉาไทเฮาได้ หากล้มเฉาไทเฮาไม่ได้ ฝ่าบาทก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ แต่ตระกูลเจียงของพวกเราจะกลายเป็นกบฏ มันบุ่มบ่ามเกินไป ทว่าฝ่าบาทกลับตรัสว่าทรงเห็นว่าจะแต่งงานแล้ว เฉาไทเฮาไม่มีทางให้ฝ่าบาทแต่งงานกับเจ้าแน่ และหากไม่กระโจนเข้าไปคว้าไว้ตอนนี้ ต่อไปก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว…”

พวกเขาคุยกันอยู่ อ๋องเจี่ยนกับวังจี่เต้าราชเลขาธิการก็เข้ามาแล้ว

ซึ่งพอเริ่มบทสนทนาก็คุยกันไม่จบไม่สิ้น

หลังจากนั้นหมอหลวงจากสำนักหมอหลวงมาตรวจจ้าวอี้ นางต้องแอบเติมยาลงไปในอาหารของจ้าวอี้ จ้าวอี้เห็นนางก็ไม่กล้ากิน นางจึงจำเป็นต้องให้เซียวหรงเหนียงมาปรนนิบัติเขา…ต่อมาเจียงลวี่กับหวังจ้านทยอยกันกลับวัง ส่วนเกาหลิ่งยังคงนิ่งเงียบ พอจ้าวอี้สวรรคต อ๋องเจี่ยนก็สนับสนุนให้แต่งตั้งนางเป็นไทเฮา จ้าวสี่เป็นฮ่องเต้ นางว่าราชการหลังม่าน…ติดต่อกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า จนนางก็ลืมคำพูดเหล่านี้ไปแล้วเช่นกัน

ตอนนี้คิดดูแล้ว จ้าวอี้อยากว่าราชการด้วยตนเองที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะคนสกุลฟางตั้งครรภ์ เขาจึงอยากให้ลูกของคนสกุลฟางเข้าวังอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ให้จ้าวสี่เป็นลูกชายคนโตของฮ่องเต้ กระทั่งเป็นองค์รัชทายาท และคิดว่านางหลอกใช้ง่าย หลังจากนั้นจึงยุยงให้ตระกูลเจียงเป็นกองหน้าให้เขา ถึงขนาดที่ว่าในขณะที่ไม่มีผู้ติดตามคนอื่นก็รีบร้อนจะให้ตระกูลเจียงลงมือจนรอไม่ได้

———————————

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset