มู่หนานจือ – บทที่ 15 ฝากฝัง

ในอุทยานหลวง

เจียงเซี่ยนให้นางในและขันทีที่ตามมารออยู่ใต้ต้นไป่[1]โบราณที่แตกกิ่งก้านต่อกันเหมือนร่มในอุทยานหลวง แต่นางกลับลากหวังจ้านเข้าไปยังด้านในของสวนดอกไม้

ตอนแรกหวังจ้านก็ยังคงตามนางไป ตอนหลังพอเห็นว่าห่างจากต้นไป่โบราณนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และมองเห็นหน้าของนางในและขันทีกลุ่มนั้นไม่ชัดแล้ว จึงเริ่มดึงเจียงเซี่ยนไว้ “ไกลพอแล้ว ถึงพวกเราจะตะโกนเสียงดัง พวกเขาก็ได้ยินไม่ชัดอยู่ดี เจ้ามีอะไรก็รีบว่ามา…จะได้ไม่เจอคนในวังอื่น”

เขาพูดแบบนี้เพราะมีสาเหตุ

มีครั้งหนึ่งหวังจ้านกับเจียงเซี่ยนแอบกินขนมชิงถวน[2]อยู่ใต้ต้นกล้วยในอุทยานหลวง และหวังเต๋อเฉวียนขันทีที่เคยรับใช้เฉาไทเฮามาเห็นเข้า พอถึงตอนที่เฉาไทเฮาไปคารวะไทฮองไทเฮา หวังเต๋อเฉวียนก็พูดจาแปลกๆ ว่า “คุณชายอาจ้านก็อายุไม่น้อยแล้ว คนที่อยู่ในวังหลังหากไม่ใช่สนมที่เป็นหม้ายก็อายุพอๆ กับพวกท่านหญิง หลีกเลี่ยงการเป็นที่น่าสงสัยเอาไว้หน่อยจะดีกว่านะขอรับ!”

ไทฮองไทเฮาโกรธเป็นอย่างมาก จนเรียกองครักษ์เข้ามาทันที ให้เอาหวังเต๋อเฉวียนไปโบยอย่างหนักสามสิบไม้ และปลดเขาออกเสียเลย เฉิงเต๋อไห่ถึงได้มีโอกาสโผล่ออกมาแทนที่ตำแหน่งของหวังเต๋อเฉวียน และเป็นขันทีที่อยู่ใกล้ชิดข้างกายเฉาไทเฮาที่สุด

หลังจากนั้นหวังจ้านก็ไม่ค่อยเข้าวังเลย

เจียงเซี่ยนก็เริ่มเกลียดคนของวังคุนหนิงเพราะเหตุนี้เช่นกัน

“ข้าอยากให้ท่านพี่ช่วยข้าสืบเรื่องของคนๆ หนึ่ง” นางรู้ว่าหวังจ้านมีปมในใจ จึงปล่อยหวังจ้าน เพราะไม่อยากให้หวังจ้านลำบากใจ จึงหยุดยืนข้างต้นตงชิง[3] แล้วเอ่ยว่า “เดิมทีข้าคิดว่าหากนางไม่ใช่นางในหรือนางในระดับสูงของวังคุนหนิงก็น่าจะเป็นคนรับใช้ที่วังเฉียนชิง แต่ใครจะรู้ว่าจะไม่เจอตัวคนๆ นี้ที่สองวังนี้เหมือนกัน ท่านช่วยตามหาตัวคนๆ นี้อย่างเงียบๆ”

หวังจ้านได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว และเอ่ยอย่างกังวลว่า “เจ้าไปก่อเรื่องอะไรมาหรือ? เจ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังแล้วกัน หากข้าไม่มีทางช่วยเจ้าได้ จะไปขอร้องเจิ้นกั๋วกงเอง เจ้าไม่ต้องกังวล แล้วก็อย่าทำอะไรตามใจตนเองด้วย หลายวันนี้ฝ่าบาทกำลังพิโรธไทเฮา เจ้าอาจจะถูกดึงไปเกี่ยวข้องโดยไม่รู้ตัวได้”

ไม่ว่านางจะทำอะไร ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหวังจ้านก็ไม่เคยตวาดนางเลย

เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้มนานมาก “ข้าไม่ใช่เด็ก ท่านเชื่อใจข้าได้หรือไม่!” แล้วยิ้มเล็กน้อย และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ทำไมข้าถึงต้องตามหาเซียวหรงเหนียง เวลานี้ยังบอกท่านไม่ได้ ท่านก็ไม่ต้องถามมาก แล้วก็ไม่ต้องคิดว่านางล่วงเกินอะไรข้าเช่นกัน ข้าเพียงแค่อยากหาคนที่ชื่อเซียวหรงเหนียงนี้ให้เจอเท่านั้น”

หวังจ้านลังเล

เจียงเซี่ยนจึงจำเป็นต้องเอ่ยว่า “ท่านพี่อาจ้าน นอกจากท่าน ข้าก็ไม่มีใครให้ขอร้องได้แล้ว”

หวังจ้านจึงจำเป็นต้องรับปาก

เจียงเซี่ยนต้องการให้เขาสาบาน “เรื่องนี้ท่านห้ามบอกใครทั้งนั้น ท่านพี่อาลวี่ถามท่าน ท่านก็ห้ามบอกเช่นกัน”

ท่านพี่อาลวี่คือเจียงลวี่ลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนโตของเจียงเซี่ยน อายุเท่ากับหวังจ้าน และทั้งสองสนิทกันมาก

หวังจ้านเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อาลวี่ไปฐานที่มั่นเทียนจิน หลายวันนี้ไม่อยู่เมืองหลวง”

ฐานที่มั่นเทียนจิน!

หากเป็นชาติก่อนเจียงเซี่ยนคงจะไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรอย่างแน่นอน ทว่าเจียงเซี่ยนที่เคยเป็นไทเฮากลับรู้ว่า ฐานที่มั่นเทียนจินเป็นฐานที่มั่นระดับหนึ่งที่อยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุด และขึ้นตรงต่อกองบัญชาการทัพหลัง มีกำลังทหารหนึ่งหมื่นหกพันกว่านาย หากเดินทางอย่างเร็วที่สุด ไม่ถึงสี่ชั่วยาม[4]ก็จะถึงเมืองหลวง และเจียงเจิ้นหยวนท่านลุงของนางก็เป็นแม่ทัพภาคแห่งกองบัญชาการทัพหลังพอดี ขอเพียงได้ตราทหาร[5]ของกรมกลาโหมมาก็สามารถนำทัพจากฐานที่มั่นเทียนจินขึ้นเหนือได้

เจียงเซี่ยนกลัวมาก นางถามหวังจ้าน “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านพี่อาลวี่ไปฐานที่มั่นเทียนจิน?”

“ข้าบังเอิญได้ยินท่านพ่อพูด” หวังจ้านตอบอย่างไม่รู้อะไรทั้งนั้น “ท่านพ่อสั่งข้าว่าห้ามบอกคนอื่น”

“ถ้าอย่างนั้นท่านมาบอกข้าทำไม?” เจียงเซี่ยนจ้องหวังจ้านตาโต

หวังจ้านหน้าแดง แล้วเอ่ยว่า “เจ้า…เจ้าไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย!”

มิน่าเล่าไทฮองไทเฮาถึงไม่อนุญาตให้ชินเอินป๋อเข้าไปมีส่วนร่วมในงานของราชสำนัก และต้องสนับสนุนให้ตระกูลเจียงรับตำแหน่ง

หากเป็นนาง นางก็จะให้ชินเอินป๋อคอยอยู่ข้างๆ เฉยๆ เช่นกัน

นางจำเป็นต้องให้หวังจ้านสาบานอีกครั้ง “ไม่ว่าจะเป็นทางที่ท่านพี่อาลวี่ไปหรือเรื่องที่ข้าให้ท่านทำ ท่านห้ามบอกใครทั้งนั้น ถึงจะเป็นเสด็จยายก็ห้ามบอกเช่นกัน”

หวังจ้านฉลาดมาก เขาเพียงแค่พูดน้อยเท่านั้น

เขาฟังความผิดปกติจากในคำพูดของเจียงเซี่ยนออกทันที

“เกิดเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้หรือไม่?” เขาทำหน้าจริงจัง และเคร่งเครียดเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ท่านอย่าสนใจเลย ในเมื่อท่านลุงไม่ได้บอกท่าน ท่านก็ทำเป็นไม่รู้แล้วกัน”

หวังจ้านค่อยๆ หน้าซีดเผือด

เขาพยักหน้า และเอ่ยอย่างรวบรัด “ข้ารู้ ข้าจะไม่บอกใครทั้งนั้น”

เจียงเซี่ยนก็วางใจแล้ว

ขอเพียงเป็นเรื่องที่หวังจ้านรับปาก เขาก็จะต้องทำได้อย่างแน่นอน

ทั้งสองคนกลับห้องอุ่นตะวันออกอย่างเงียบๆ

ไทฮองไทเฮามองหวังจ้านที่สีหน้าไร้อารมณ์และเจียงเซี่ยนที่สีหน้าสงบนิ่ง แล้วก็เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “เป็นอะไรไปหรือ? ตอนออกไปทั้งสองคนยังอารมณ์ดีอยู่เลย ทำไมเดี๋ยวเดียวจากที่อารมณ์ดีก็กลายเป็นอารมณ์เสียเสียแล้ว?”

เจียงเซี่ยนฐานะสูงศักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ นางก็เกลียดการโกหกและการปิดบัง แต่นางก็ไม่อยากหลอกลวงไทเฮาไทฮองอีก จึงถือโอกาสโยนเรื่องนี้ให้หวังจ้านเสียเลย “เสด็จยายถามท่านพี่อาจ้านเถอะเพคะ!”

ไทฮองไทเฮามองไปทางหวังจ้าน

หวังจ้านเดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปาก นานมากกว่าจะเอ่ยว่า “เป่าหนิงห้ามกระหม่อมบอกใครทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

คำตอบที่เหมือนเด็กเล่นนั้นกลับทำให้ไทฮองไทเฮาหัวเราะเสียงดัง และเอ่ยกับไทฮองไท่เฟยที่มาอยู่เป็นเพื่อนนางว่า “เจ้าดูเจ้าลิงสองตัวนี้สิ เวลานี้ใครก็คุมไม่อยู่แล้วทั้งนั้น!”

“ดูตรัสเข้า” ไทฮองไท่เฟยยิ้มพลางเลือกส้มลูกหนึ่ง และเริ่มลอกเปลือกออกผ่านผ้าเช็ดหน้า “ก็ยังมีไทฮองไทเฮาอยู่มิใช่หรือ…ต่อให้ลิงร้ายกาจแค่ไหน จะหนีฝ่ามือที่เหมือนพระยูไลได้พ้นหรือ? ไทฮองไทเฮาก็แค่เสียใจกับหลานสาวและเหลนชายมากเท่านั้นเอง!” นางเอ่ยจบ ก็แบ่งครึ่งส้มที่ลอกเปลือกเสร็จแล้ว และยื่นให้เจียงเซี่ยนกับหวังจ้าน “ลองชิมดูสิ กรมวังเพิ่งจะส่งมา ส้มจีนของตงเจียง”

เจียงเซี่ยนชอบส้มแบบนี้มาก

นางกล่าวขอบคุณ แล้วเอ่ยถึงของบรรณาการในวันนี้ “เวลานี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พุทราของซานตงก็น่าจะใกล้ถึงแล้วกระมัง…”

หัวข้อสนทนาถูกเบี่ยงเบนไปแล้ว

ตอนที่หวังจ้านกลับไปก็ยังเอาส้มจีนตงเจียงกลับไปสองตะกร้าด้วย

ทว่าไป๋ซู่กลับยังคงครุ่นคิดเรื่องของเจียงเซี่ยนอยู่

นางตามเจียงเซี่ยนกลับตำหนักตงซาน พอเข้าไปข้างในก็ไล่นางในและขันทีที่รับใช้อยู่ข้างกายออกไป แล้วบีบให้เจียงเซี่ยนเข้ามุมกำแพงและซักถามนาง “เจ้าให้ซื่อจื่อชินเอินป๋อช่วยเจ้าทำอะไรกันแน่? เจ้าคงจะไม่ได้ให้เขาไปสืบว่าหลี่เชียนเป็นขุนนางอยู่ที่ไหนให้เจ้าใช่หรือไม่?”

เจียงเซี่ยนหยอกไป๋ซู่เล่น “เจ้าไม่ช่วยข้า แล้วยังไม่ให้หวังจ้านช่วยข้าอีก ทำไมเจ้าถึงร้ายขนาดนี้?”

“เจ้ายังกล้าพูดอีก! เจ้ายังกล้าพูดอีก!” ไป๋ซู่จั๊กจี้นาง “เจ้ามีหน้ามาให้ข้าช่วยเจ้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร? เฉาเซวียนจะคิดว่าข้ากำลังตีสนิทเขาอยู่น่ะสิ?”

“ตีสนิทเขาแล้วอย่างไร?” เจียงเซี่ยนเบ้ปาก “ตีสนิทเขาก็เป็นการให้ความสำคัญกับเขา พูดจริงๆ นะ เจ้าจะช่วยข้าถามหรือไม่กันแน่ หากเจ้าไม่ช่วยข้าถาม ข้าก็จะไปถามเขาเองแล้ว และหากฝ่าบาททรงทราบข้าก็ไม่สน”

ไป๋ซู่ร้อนใจขึ้นมา และเอ่ยว่า “ข้าช่วยเจ้าถามก็ได้ ทำไมเจ้าเหมือนคนไม่มีเหตุผลเลย!”

เจียงเซี่ยนเพียงแค่ยิ้ม

ไป๋ซู่ทำอะไรไม่ได้ก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “จนปัญญากับเจ้าแล้วจริงๆ” และกลับตำหนักซีซานไป

เมิ่งฟางหลิงมาพบเจียงเซี่ยน และบอกเจียงเซี่ยน “ไทฮองไทเฮาอยากปล่อยติงเซียงกับเถิงหลัวออกจากวัง จึงให้ข้ามาลองถามความเห็นของท่านหญิงเจ้าค่ะ”

ทับซ้อนกันกับเรื่องราวในชาติก่อนแล้ว

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “ข้าแล้วแต่เสด็จยาย”

เมิ่งฟางหลิงยิ้มพลางบอกลาเจียงเซี่ยน

———————————-

[1] ต้นไซเปรส

[2] ชิงถวน ขนมที่ลักษณะเป็นลูกกลมๆ สีเขียว ทำจากแป้งข้าวเหนียวและย้อมสีเขียวด้วยพืช มีไส้หลายรสชาติ เป็นขนมที่นิยมรับประทานกันในวังเช็งเม้ง

[3] ต้นฮอลลี่

[4] 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง ดังนั้น 4 ชั่วยาม = 8 ชั่วโมง

[5] ตราทหาร ตราอาญาสิทธิ์ที่ใช้ในการสั่งการและจัดการกำลังทหาร โดยทำเป็นรูปเสือ และแบ่งครึ่งได้เป็นสองชิ้น ซีกขวาเก็บไว้กับฮ่องเต้ ซีกซ้ายมอบให้กับแม่ทัพ

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset