มู่หนานจือ – บทที่ 9 ฮ่องเต้

เจียงเซี่ยนหัวเราะเยาะตนเองอยู่ในใจ ทว่าชีวิตไทเฮาเจ็ดปียังพอทำให้นางควบคุมอารมณ์ของตนเองไว้ได้อยู่ นางจึงยิ้มพลางทักทายจ้าวอี้เหมือนเช่นเคย “สองวันนี้ฝนตกหนักเกินไป ทำอะไรก็ไม่สนุกทั้งนั้น น้ำหอมที่ฝ่าบาทให้คนส่งมาหม่อมฉันยังไม่ได้ใช้เลยยังไม่รู้ว่าชอบหรือไม่ แต่หากที่ฝ่าบาทยังมีน้ำหอมอีกก็ส่งมาให้หม่อมฉันเหมือนเดิมเถอะ…”

ถึงเวลานั้นก็เอาไปมอบให้คนอื่น ถือโอกาสแสดงน้ำใจเสียเลย

จ้าวอี้ยิ้มพลางตอบว่า “ได้” แล้วสั่งให้เสี่ยวโต้วจึขันทีประจำตัวเขาไปเอาน้ำหอมที่วังเฉียนชิงทันที

ไทฮองไทเฮาเห็นพวกเขาสนิทกันเช่นนี้ก็ไม่อาจเก็บงำรอยยิ้มที่ระบายเต็มหน้าไว้ได้

จ้าวอี้กวักมือไปทางเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยว่า “พวกเราออกไปเล่นกัน!”

นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่เจียงเซี่ยนเจอจ้าวอี้หลังจากฟื้นคืนชีพ

เสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างมีความสุขที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในอดีตผุดขึ้นในความทรงจำของนางทันที ทว่าวันเวลาที่นางโดนดูถูกเหยียดหยามมากขึ้นเพราะความเฉยเมยของเขา และความเจ็บปวดที่ถูกวางยาพิษด้วยสารหนูกลับทำลายวันเวลาในอดีตเหล่านั้นจนตาย

จ้าวอี้ช่างน่ารังเกียจจริงๆ

นางยิ้มพลางปฏิเสธจ้าวอี้ “ข้างนอกอากาศหนาวเกินไป หม่อมฉันไม่อยากออกไปเพคะ!”

จ้าวอี้ได้ยินแล้วสายตาก็เคร่งขรึมเล็กน้อย และแสดงท่าทางผิดหวังออกมาโดยไม่รู้ตัว

ไป๋ซู่มองเจียงเซี่ยนอย่างประหลาดใจ เหมือนไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงได้ขัดใจจ้าวอี้ด้วยเรื่องเล็กแบบนี้

ความกังวลฉายวาบในดวงตาของนาง นางลังเลเล็กน้อยและก้าวไปข้างหน้าอีกนิด พลางยิ้มและคารวะจ้าวอี้ แล้วอธิบายเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท ข้างนอกทั้งชื้นทั้งหนาว ในห้องก็จุดเตาไฟใต้ตำหนักคลายหนาวแล้ว เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนเช่นนี้ ท่านหญิงเกรงว่าจะทนไม่ไหว…”

จ้าวอี้เข้าใจทันที จึงรีบเอ่ยว่า “เป่าหนิง เพราะข้าคิดไม่รอบคอบเอง แต่ข้ามีของสนุกๆ ให้เจ้าจริงๆ นะ” เขาเหลือบตาเรียวยาวที่หางตางอนขึ้นเล็กน้อยขึ้นและเข้ามาใกล้นาง เสียงพูดยิ่งเบาลงเรื่อยๆ และแสดงความสนิทสนมในแบบเฉพาะที่สนิทกันมากเท่านั้น

ไทฮองไทเฮาหรี่ตา ไม่นานก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ

เจียงเซี่ยนแอบทำเสียงไม่เชื่อ

จ้าวอี้อยากเล่นกับนางที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าอยากให้ท่านยายรู้ว่าเขาดีกับนาง

นางแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มีของอะไรที่ข้าต้องออกไปดูให้ได้หรือ? เอาออกมาให้ไทฮองไทเฮาดูไม่ได้…”

นางยังพูดไม่ทันจบ จ้าวอี้ก็แสดงท่าทางรีบร้อนจนรอไม่ได้เหมือนเด็กออกมาแล้ว เขายื่นมือมาดึงแขนของเจียงเซี่ยนไว้ แล้วลากนางเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับเอ่ยว่า “เจ้าตามข้าออกไปแล้วกัน”

เจียงเซี่ยนตั้งตัวไม่ทัน จึงถูกเขาลากและเดินโซเซออกไปข้างนอก

ไป๋ซู่รีบตามไป

พอเลิกม่านไม้อัดที่หนาขึ้น เหล่านางในและขันทีของวังเฉียนชิงที่รับใช้จ้าวอี้ต่างก็อยู่กันทั้งนั้น

พวกเขาแต่ละคนต่างแยกกันยืนบนระเบียงคดนอกประตูคนละฝั่งซ้ายขวา และมองพวกเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ทว่าไม่รู้ว่าลานหน้าห้องอุ่นตะวันออกถูกปิดไปตั้งแต่เมื่อไร น้ำมารวมอยู่ในลาน เป็ดหัวเขียวและเป็ดแมนดารินสีที่ถูกเย็บปีกหลายตัวถูกปล่อยไว้ในน้ำท่วมขังในลาน และกำลังเปียกฝนจนหนีกันอุตลุดทั่วทุกที่ ท่าทางลำบากมาก

“สนุกล่ะสิ!” จ้าวอี้ปรายตามองเจียงเซี่ยนอย่างภูมิใจมาก

ตอนที่นางเป็นท่านหญิงเจียหนาน จ้าวอี้มักจะล้อนางเล่นแบบนี้เสมอ ถึงแม้นางจะรู้สึกไม่ค่อยดี แต่กลับบอกไม่ถูกเช่นกันว่าตรงไหนไม่ดี จนกระทั่งนางได้มาเห็นสิ่งที่จ้าวอี้ทำใหม่อีกครั้ง และมองทั้งหมดออกผ่านส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่ง ถึงได้ค้นพบความโหดร้ายของจ้าวอี้ว่า…แม้แต่สิ่งเล็กๆ ที่ไม่มีแรงต่อต้านเขา เขาก็ยังจะเล่นสนุก!

“ปล่อยพวกมันไปดีกว่า!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เย็บปีกท่ามกลางสายฝนแบบนี้ ต่อให้พวกมันอยากเล่นน้ำก็เล่นไม่ได้เช่นกัน น่าจะลำบากมากทีเดียว”

จ้าวอี้เหมือนไม่พอใจมากและเอ่ยว่า “ก็แค่สัตว์เดรัจฉานไม่กี่ตัวเท่านั้น…”

ไป๋ซู่รีบออกหน้ากู้หน้าให้เจียงเซี่ยน “ฝ่าบาท นี่เป็นความคิดของใครหรือเพคะ? ช่างแปลกใหม่จริงๆ”

จ้าวอี้ได้ยินก็เหมือนอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นความคิดของเสียนอี๋ นางฉลาดมากใช่หรือไม่?”

เจียงเซี่ยนได้ยินชื่อนี้ก็นึกขึ้นมาได้ในทันใด

เสียนอี๋เป็นหนึ่งในนางในที่จ้าวอี้ให้ความสำคัญที่สุด แซ่ซ่ง บิดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก ฐานะของครอบครัวไม่ร่ำรวยเท่าเมื่อก่อน จึงเข้าวังมาเป็นนางในเพื่อเลี้ยงดูน้องชายและน้องสาวหลายคน นางเป็นนางในที่สามารถอ่านออกเขียนได้และลายมือสวยซึ่งหาได้ยากในหมู่นางใน เฉาไทเฮาชอบนางมาก และเคยอยากให้นางไปเป็นคนรับใช้ที่วังคุนหนิง ทว่ากลับถูกนางปฏิเสธทางอ้อม และนางก็ไม่เพียงแต่หน้าตาสวยมากโดยเฉพาะตอนที่โกรธ แต่ยังรอบคอบและเฉลียวฉลาดด้วย

ทว่าไม่รู้ทำไม ซ่งเสียนอี๋ไม่ได้ปีนขึ้นเตียงของจ้าวอี้แต่กลับถูกจ้าวอี้ฆ่า ส่วนเซียวหรงเหนียงที่ปกติไม่รู้หลบอยู่ในมุมไหนและขี้ขลาดเหมือนนกกระทานั้นกลับคลอดจ้าวสี่ลูกชายคนโตให้จ้าวอี้

พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ เจียงเซี่ยนก็คิดออกในทันใด

หลังจากเฉาไทเฮาตาย ราชสำนักและประชาชนต่างก็พากันพูดเป็นหลายเสียง บรรยากาศในวังก็ตึงเครียดมากเช่นกัน ไทฮองไทเฮากักตัวนางกับไป๋ซู่ไว้ในวังฉือหนิงและไม่ให้พวกนางเดินเพ่นพ่าน จนกระทั่งจ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเองอย่างราบรื่น ลุงของนางเข้าวังมาปรึกษากับไทฮองไทเฮาเรื่องการสมรสของนางกับจ้าวอี้ ไทฮองไทเฮาถามความคิดของนางเป็นการส่วนตัว เมื่อได้รับความเห็นชอบจากนางแล้ว นางจึงออกจากวังกลับไปรอแต่งงานที่จวนเจิ้นกั๋วกง หลังจากนั้นก็เป็นงานแต่งงานของฮ่องเต้กับฮองเฮา ซึ่งพิธีแต่งงานยืดยาวและจุกจิก…จนกระทั่งนางเป็นฮองเฮา จ้าวสี่ถึงปรากฏตัว

ตอนนั้นนางออกจากวังฉือหนิงน้อยมาก จึงรู้เรื่องของวังคุนหนิงกับวังเฉียนชิงไม่มากนัก และนางก็ไม่ได้คิดมาก คิดว่าเซียวหรงเหนียงเป็นนางในที่เฉาไทเฮาจัดให้มาสอนจ้าวอี้เรื่องคน แถมยังใจกว้างมากจนแต่งตั้งให้นางเป็นเหม่ยเหรินคนหนึ่ง…ตอนนี้คิดดูแล้ว วันเกิดของจ้าวสี่คือวันที่สองเดือนสอง เวลานี้เซียวหรงเหนียงคงตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้วกระมัง!

ทว่านี่เป็นลูกคนแรกของจ้าวอี้

หากเฉาไทเฮาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไทฮองไทเฮาไม่มีทางที่จะไม่รู้

และถ้าไทฮองไทเฮารู้ ด้วยนิสัยคนแก่อย่างนางก็ไม่มีทางที่จะไม่สนใจ

พอคิดถึงเจ้าเด็กจ้าวสี่นั่น เจียงเซี่ยนก็รู้สึกว่านางควรเอาใจใส่เซียวหรงเหนียงสักหน่อย

นางพยักหน้าให้จ้าวอี้อย่างไม่ใส่ใจนัก

มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูเป็นนางในก้าวออกมาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิง เพราะฝ่าบาททรงคิดว่าหลายวันนี้ฝนตก กลัวว่าท่านจะไม่สนุก จึงทุ่มเทความคิดอยากให้ท่านหญิงมีความสุข ฝ่าบาทให้พวกข้าคิดหาทาง พวกข้าถึงมีความคิดเช่นนี้เจ้าค่ะ”

หญิงสาวมีใบหน้าที่อ่อนวัยราวกับดอกซิ่ง[1] และนัยน์ตาสว่างไสวราวกับดวงดาวตรงขอบฟ้า นางเต็มไปด้วยความสุข จนทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกมีความสุขขึ้นเล็กน้อย

เจียงเซี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงจำได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือซ่งเสียนอี๋

นางยิ้มเล็กน้อยและไม่เอ่ยสิ่งใด

ซ่งเสียนอี๋กระวนกระวายเล็กน้อย

ตัวท่านหญิงเจียหนานเองเป็นคนพูดน้อย แต่กลับชอบคนที่นิสัยร่าเริงและช่างพูด ทุกครั้งที่นางพูดจาเกินหน้าที่กับท่านหญิงเจียหนานเช่นนี้ ท่านหญิงเจียหนานก็มักจะตอบไม่กี่คำ ทว่าท่านหญิงเจียหนานในวันนี้กลับแปลกนิดหน่อย…เหมือนไม่ค่อยชอบที่นางทำเกินหน้าที่

นางก้มหน้าลงอย่างรู้สึกขลาดกลัวและถอยไปข้างๆ

เจียงเซี่ยนยิ่งรู้สึกงุนงง

คนที่รู้จักสังเกตสีหน้าและคำพูดของคนอื่นเช่นนี้ จะล่วงเกินจ้าวอี้ได้อย่างไร?

ส่วนเสี่ยวโต้วจึเห็นว่าบรรยากาศไม่ดี จึงเหลือบมองจ้าวอี้ครั้งหนึ่ง แล้วพับขากางเกงขึ้นและกระโดดเข้าไปในน้ำท่วมขังทันที พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อท่านหญิงอยากเห็นพวกมันวิ่งไปทั่วบินไปทั่ว ข้าก็จะปล่อยปีกของพวกมันทั้งหมดเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ขันทีที่มีไหวพริบเห็นสถานการณ์ก็กระโดดตามเสี่ยวโต้วจึเข้าไปในน้ำท่วมขัง

ในลานเกิดเสียงอึกทึกขึ้นมาทันที

ทว่าจ้าวอี้กลับไม่สนใจ และลากเจียงเซี่ยนมาคุยกันข้างๆ “เช้าวันนี้เสด็จแม่ออกราชโองการให้หลี่เชียนบุตรชายคนโตของหลี่ฉางชิงแม่ทัพฝูเจี้ยนเข้าวังมาเป็นองครักษ์ระดับสาม! ข้าได้ยินว่าเมื่อวานเขามาเข้าเฝ้าเสด็จย่าที่วังฉือหนิงพร้อมกับเฉาเซวียน ใช่หรือไม่?”

————————————

[1] ดอกแอพริคอต

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไป เมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญ แต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่! เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก ‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้ แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้า ชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง… หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset