เป็นดั่งที่เทพธิดากล่าวไว้ สัตว์ป่าตัวนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ถูกสามคนล้อมวงเข้าโจมตีแต่กลับไม่เป็นอันใด แถมยังสามารถแบ่งพลังภายในเล็กน้อยออกมาในช่วงเวลาคับขันเพื่อปกป้องเรือนตระกูลฟางได้อีก ช่างน่าปวดหัวเสียจริง
ขวังซือแม้จะแข็งแกร่ง ทว่าอันที่จริงไม่สามารถสังหารหญิงหน้ากากพยัคฆ์และคนอื่นๆ คนใดคนหนึ่งได้
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงฝืนทนเช่นนี้ต่อไป
ทั้งสามคนสร้างแนวการโจมตีแบบสามเหลี่ยม ล้อมขวังซือเอาไว้ แต่ไม่ได้โจมตี ก็ไม่ทราบว่าคิดอันใดอยู่เช่นกัน
หม่างเทียนมีสีหน้าดูไม่ค่อยได้เท่าไรนัก สีหน้าดูไม่ได้ยิ่งกว่ากินอุจจาระห้ากิโลกรัมลงไปเสียอีก หญิงหน้ากากพยัคฆ์คือใคร เทพธิดาที่เป็นที่ยอมรับ ทั้งประเทศหวาเธอกล้าที่จะขนานนามว่าเป็นลำดับที่สาม แล้วผู้ใดจะกล้าขนานนามว่าเป็นที่สอง? อันดับแรกแน่นอนว่าจำต้องเป็นโผ้จวินเทพแห่งสงครามผู้ลึกลับที่สุดของประเทศหวา เมื่อนึกถึงโผ้จวินผู้ลึกลับ ภายในใจของหม่างเทียนจึงเกิดความเคารพขึ้นมาอย่างลึกซึ้ง
คิดย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน โผ้จวินใช้กำลังของตนเพียงคนเดียว สวมชุดคลุมลายมังกรสังหารศัตรูทั้งสิบประเทศ ทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องหวาดผวา นอนไม่หลับเลยทีเดียว ทว่าหลังจากที่สู้รบครั้งนั้นเสร็จแล้ว เขาก็หลบซ่อนตนอย่างไร้ร่องรอย ไร้ซึ่งการบอกกล่าว หลายคนคิดว่าเขาก็ตายในสนามรบเช่นเดียวกัน ทว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า หนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้า กองทัพพันธมิตรซานลู่ได้นำทหารบุกเข้าไปยังชายแดนภาคเหนืออีกครา พร้อมทั้งคุยโวโอ้อวดอย่างไม่กระดากใจว่าต้องการทำลายสำนักเจ็ดพิฆาตจึงบุกเข้ามายังชายแดนภาคเหนือ และต้องการจับเป็นโผ้จวิน ต้องการวางอำนาจอยู่ในดินแดนของประเทศหวา ดูหมิ่นพลังอำนาจของประเทศหวา
ขณะที่กองทัพใหญ่แห่งซานลู่ประชิดเข้ามาใกล้เขตแดน ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมลายมังกรราวกับเทพเจ้าผู้นั้นก็ได้ปรากฏตัวขึ้นยังชายแดนภาคเหนืออีกครา และได้สังหารกองทัพพันธมิตรซานลู่ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ส่งผลให้แผนการที่จะตีชายแดนภาคเหนือให้แตกแล้วบุกเข้ามายังประเทศหวา ต้องล่าถอยไปอีกรอบ
โผ้จวิน!
ชายหนุ่มผู้ที่เป็นเสมือนเทพพระเจ้า ขอเพียงแค่มีเขาอยู่ ประเทศหวาก็ไม่เกรงกลัวพวกศัตรูที่หมายจะเข้ามาบุกรุกอีกต่อไป!
โผ้จวินเองก็เป็นบุคคลที่นินจาหลายคนแย่งกัน เพื่อต้องการที่จะแนบศีรษะบนเท้าทำความเคารพ นินจาหลายคนต่างก็ต้องการที่จะผูกสัมพันธ์กับชายหนุ่มที่มีตัวตนราวกับเทพเจ้ากันทั้งนั้น หนึ่งในนั้นก็รวมถึงเขาหม่างเทียนด้วย ทว่าคนผู้นี้ไร้ร่องรอย ราวกับหายไปจากโลกอย่างเงียบๆ แล้วอย่างไรอย่างนั้น
มีเพียงช่วงเวลาที่ชายแดนภาคเหนือ กระทั่งประเทศหวาประสบภัย โผ้จวินผู้ที่มีตัวตนราวกับเทพเจ้านั้นก็จะปรากฏตัวออกมา แล้วช่วยเหลือจัดการภัยทุกข์นั้น แบ่งเบาภาระให้ผู้คน
เขาเรียกสติกลับคืน ภายในใจของหม่างเทียนยังคงตกตะลึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เทพธิดาผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งเกือบพ่ายแพ้ให้กับขวังซือเสียแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีสองคนข้างหลังซุ่มโจมตีอยู่ซ้ายขวา บางทีวันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายของพวกเขาเสียแล้ว!
นี่สามารถล้มล้างความรู้เดิมที่เขามีต่อประเทศหวาได้อีกครา โดยเฉพาะขวังซือสัตว์ในตำนานคุ้มครองเรือนของตระกูลฟางตัวนี้ เขาแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันแน่!
“เทพธิดา กรุณารอสักครู่ ผมจะจบสงครามนี้ให้เร็วที่สุด!”
หญิงหน้ากากพยัคฆ์มิได้ต่อบทสนทนา ครั้นเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ลงมือ!”
สองคนที่อยู่ข้างหลังไม่ได้ลังเลแม้แต่นิด ง้างดาบและวิ่งพุ่งเข้าใส่ขวังซืออย่างรวดเร็วอีกครา ก่อนที่จะลงมือ หญิงหน้ากากพยัคฆ์มองออกไปยังภายนอกเรือนตระกูลฟาง สีหน้าตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าที่นั่นมีอันตรายบางอย่างกำลังจะมาเยือนอย่างไรอย่างนั้น
การต่อสู้ของทั้งสี่คนเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หม่างเทียนและซื่อนวี่ก็มิได้ลังเล เข้าไปลงมือสู้รบอีกครา
การสู้รบนี้แข็งแกร่งมาก ไม่นานก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังขึ้นอีก ราวกับเสียงฟ้าผ่าลั่นพสุธา
ชั่วพริบตาเดียว เรือนตระกูลฟางก็ได้กลายเป็นแดนชำระไปเป็นที่เรียบร้อย บริเวณที่มองเห็นนั้น ล้วนเป็นซากกำแพงถล่ม กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ เดิมทีเรือนตระกูลฟางที่ยังมีพลังของขวังซือปกป้องอยู่นั้น ในบัดนี้ก็เริ่มถล่มพังทลายลงมาเช่นเดียวกัน เพียงพอที่จะมองออกแล้วว่าศึกต่อสู้นี้กำลังเข้าใกล้ขั้นดุเดือดแล้ว อีกทั้งแม้ว่าหม่างเทียนและซื่อนวี่จะมีบาดแผลบนร่างกายเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม ทว่าเวลานี้ก็อยู่ในสถานะที่มิใช่ผู้พ่ายแพ้แต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายได้อดทนกันต่อไป
เห็นสภาพอันเละเทะของเรือนตระกูลฟางแล้ว ฟางจินหยวนรู้สึกเพียงว่ามีเสียงดังก้องอยู่ในหัว และหัวสมองว่างเปล่า
ตระกูลฟางสร้างหลักปักฐานอยู่ที่เจียงตูนับหลายร้อยปี และได้ประสบกับการบุกเข้าโจมตีทั้งหนักหนาและเล็กน้อยนับร้อยนับพันครั้ง ทว่าครั้งนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว ทำให้จิตใจกระส่ายกระสับเป็นที่สุด เขาแทบจะจินตนาการไม่ได้ ว่าหากตระกูลฟางไม่มีขวังซือสัตว์ในตำนานคุ้มครองเรือน ทรัพย์สินหลายร้อยปีจะพังทลายสิ้นไปภายในเวลาชั่วพริบตาหรือไม่!
และครานี้ ได้มาถึงช่วงเวลาทดสอบตระกูลฟาง รวมไปถึงขวังซือสัตว์ในตำนานคุ้มครองเรือนแล้ว
อีกทั้งชายฉกรรจ์แห่งตระกูลฟางล้มลงเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงองครักษ์ผู้แข็งแกร่งบางคนก็จบชีวิตลงอยู่ในสนามรบด้วย ภายในใจก็ยิ่งเจ็บปวดแทบจะทนไม่ไหว ราวกับมีมีดกรีดแทงอย่างไรอย่างนั้น
ฟางไห่เซิงและฟางไห่ถางสองพี่น้อง เลือดอาบท่วมร่างกาย ใบหน้าไม่เหลือเค้าเดิมตั้งนานแล้ว ทว่าพวกเขาล้มลงและยืนขึ้นมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้คนตระกูลฟางหลายคนเห็นแล้วฮึกเหิมขึ้นมา ต่างก็พากันวิ่งพุ่งเข้าไปหาพวกหม่างเทียนอย่างดุเดือด ราวกับสุนัขบ้าคลั่งที่อาการกำเริบอย่างไรอย่างนั้น
ปัง!
เสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้น สี่คนที่ต่อสู้อยู่ด้วยกันผละออกจากกันอีกครั้ง และทั้งสี่คนก็พุ่งเข้าไปอีกรอบโดยที่แทบจะไม่ลังเลใจ เหลือไว้เพียงความกระจัดกระจายและร่องรอยของการถูกพลังอันแรงกล้าทำลายล้าง
ตงฟางหยุนเอ๋อร์หวาดกลัวจนแทบแย่ ตระกูลฟางได้ถึงช่วงเวลาวิกฤติแล้ว เธอควักโทรศัพท์ออกมาหมายจะโทรขอความช่วยเหลือจากตระกูลตงฟาง โดยไม่ได้ลังเลเลยสักนิด ทว่ายังไม่ทันได้กดโทรออก กลับถูกหม่างเทียนใช้ดาบฟันโทรศัพท์จนขาดออกเป็นสองท่อน อีกทั้งเดิมทีตัวเธอก็เป็นผู้ที่ขวัญอ่อนต่อสิ่งมีคมอยู่แล้ว เธอมองไปยังเบื้องหน้าอย่างอึ้งๆ
“หยุนเอ๋อร์!” ฟางเหมี่ยวมองไปยังดาบอันคมกริบเล่มนั้นที่กำลังมุ่งมายังตงฟางหยุนเอ๋อร์ ก็ตกใจจนสีหน้าถอดสีขึ้นมาทันที จึงได้พุ่งเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว ร่างกายสั่นเทา กำบังร่างของเธอไว้อยู่ด้านหลัง และดาบอันคมกริบเล่มนั้นก็วาดบนแผ่นหลังของฟางเหมี่ยว ทิ้งเป็นรอยแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกเอาไว้
“โอ๊ย!” ฟางเหมี่ยวรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความรู้สึกร้อนผ่าวถูกส่งทอดมาจากแผ่นหลัง ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวขึ้นมา ทว่าเขาไม่มีเวลาคิดเยอะ ทำได้เพียงอดกลั้นความเจ็บปวดรวดร้าวนี้เอาไว้ จากนั้นค่อยเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวายว่า “หยุนเอ๋อร์ เธอ เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ตงฟางหยุนเอ๋อร์ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาทันที เธอร้องห่มร้องไห้ราวกับสายฝนที่โหมกระหน่ำ ทั้งความรู้สึกเคียดแค้น อับอายและเจ็บปวดหัวใจผุดขึ้นมา ณ วินาทีนี้ทั้งหมด ทันใดนั้นเอง เธอก็นึกถึงประโยคที่ฮิตกันบนอินเทอร์เน็ตขึ้นมา: ในชีวิตนี้ของคุณเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อใครหรือไม่!
ฟางเหมี่ยวไม่ถนัดในการอธิบายความในใจตนเอง และยิ่งไม่เข้าใจถึงความรู้สึกส่วนตัวระหว่างหนุ่มสาวที่มีความรักกันอย่างลึกซึ้ง ทว่าในเวลานี้เขาได้เป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้โลกผู้หนึ่งโดยแท้จริง เป็นชายหนุ่มที่ไม่สนตนเองเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเพื่อเธอ นี่ถึงจะเป็นบททดสอบที่ดีที่สุดในช่วงชีวิตที่เหลือ
ทว่าบัดนี้ ฟางเหมี่ยวทำได้แล้ว!
ฟางเหมี่ยวถุยเลือดสดๆ ออกมา ใบหน้าอันเย็นชาเผยถึงความทุกข์ทรมาน เขาเช็ดคราบเลือดที่เต็มใบหน้าให้ตงฟางหยุนเอ๋อร์ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเจื่อนๆ “หยุนเอ๋อร์ ไม่เป็นไรแล้วๆ ”
ตงฟางหยุนเอ๋อร์ใช้มือกดบาดแผลที่อยู่แผ่นหลังของฟางเหมี่ยวเบาๆ น้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ฟาง ฟางเหมี่ยว เจ็บมากเลยใช่ไหม?”
ฟางเหมี่ยวเก็บสีหน้าอันบิดเบี้ยวเอาไว้ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจือจาง เขาลูบเส้นผมของเธอ จากนั้นก็ส่ายหน้าแรงๆ “ไม่ ไม่เจ็บเลยสักนิด แต่ว่า แต่ว่าฉันง่วงมาก อยากนอน นอน นอนหลับ…”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของตงฟางหยุนเอ๋อร์พลันเปลี่ยนไปอย่างมาก เธอใช้แรงทั้งหมดเขย่าร่างของฟางเหยียนที่หมดสติไป เอ่ยขึ้นพร้อมเสียงร้องไห้ “ฟางเหยียน นายห้ามนอนนะ นายเคยบอกไว้ว่าจะทำให้ฉันมีความสุขไปตลอดชีวิต พวกเราจะมีลูกที่น่ารักด้วยกันสองคน ตอนนี้ฉันไม่ค้านนายแล้ว ลูกสาวสองคนก็ดีเหมือนกัน จริงๆ นะ ฉันไม่เอาลูกชายก็ได้ นายอย่าหลับตานะ ห้ามหลับตาเด็ดขาด ฟางเหมี่ยว!”
ตงฟางหยุนเอ๋อร์ตะโกนขึ้นมาอย่างสุดเสียง ทำให้เหล่าสตรีของตระกูลฟางต้องแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจขึ้นมาตามๆ กัน น้ำตาไหลรินจากดวงตาไม่ขาดสาย สตรีหลายคนน้ำตาอาบใบหน้า มือกุมใบหน้าแสดงถึงความเสียดาย
ฟางไห่อิงฉีกเสื้อเชิ้ตที่เต็มไปด้วยเลือดของฟางเหมี่ยวออกมา ดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็ต้องตกตะลึงไป บาดแผลตั้งแต่หัวไหล่ไปจนถึงปลายกระดูกสันหลัง เป็นรอยยาวทั้งแผ่นหลัง บาดแผลลึกจนเห็นกระดูก ช่างน่าตกตะลึงโดยแท้
และเมื่อหลี่เยว่เห็นแผ่นหลังของฟางเหมี่ยวแล้วนั้น ก็ตกใจจนเป็นลมหมดสติไปทันที!
ฟางไห่อิงพันแผลอย่างเรียบง่าย โดยที่อดกลั้นความเจ็บปวดใจเอาไว้ หลังจากที่พันแผลเรียบร้อยแล้ว ร่างกายก็เริ่มสั่นเทา ผู้ใดจะรู้ว่าเธอต้องแบกรับความเจ็บปวดมากมายเพียงใด