บทที่ 36 เงินน่ะ ไม่สำคัญหรอก
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็จงตั้งใจฝึกมันเสีย หากเจ้าสามารถใช้กระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อยได้ในการแข่งขันวันพรุ่งนี้ โอกาสที่เจ้าจะสามารถชนะวิชาชั้นสูงของมู่ซินเยว่ได้ก็จะมีมากขึ้น”
อาจารย์ติงซานฉือกล่าวและมอบคำแนะนำสำหรับกระบวนท่าให้
หลินเป่ยเฉินแสร้งทำเป็นตั้งใจฟัง
หลังจากนั้น อาจารย์ติงก็เปลี่ยนเรื่องและกล่าวว่า “หากเจ้าสามารถเป็นอันดับ 1 ในการประลองวันพรุ่งนี้ เจ้าจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้ มันเป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีลูกศิษย์คนใดเลยสามารถเข้าร่วมการประลองประจำเมืองนี้ได้ และในตอนนี้เจ้ามีโอกาสแล้ว จงคว้ามันไว้ซะ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าข้าอยากจะเข้าร่วมการประลองประจำเมือง”
เพ้อเจ้อน่ะ
หลินเป่ยเฉินก็เพียงเข้าร่วมการประลองกลางภาค ก็เพื่อทำให้ตัวเองสามารถอยู่ต่อในโรงเรียนนี้ได้เท่านั้น
หลังจากได้อันดับหนึ่งแล้ว เขาก็จะสามารถเอาตัวรอดจากกับดักของอู๋เสี่ยวฟางได้
เราไม่มีทางเลือกต่างหาก
และเมื่อพูดถึงเรื่องการเป็นตัวแทนไปแข่งขันการค้นหาผู้มีพรสวรรค์อะไรนั่น
หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
แต่นี่มันไม่ตลกเลยนะ
หลินเป่ยเฉินน่ะอยากจะนอนเฉย ๆ ในสถานศึกษานี้ แค่นอนอาบแดดเป็นคนไม่เอาไหนและไม่ทำอะไรเลยนอกจากอยู่เฉย ๆ เท่านั้นมากกว่า
เพราะที่สำคัญที่สุดคือการหาวิธีการกลับไปยังโลกมนุษย์ !
แล้วทำไมหลินเป่ยเฉินจะต้องเข้าร่วมการประลองประจําเมืองด้วยล่ะ
อาจารย์ติงซานฉือรู้สึกประหลาดใจมาก และกล่าวว่า “อะไรนะ! เจ้าไม่อยากเข้าร่วมการประลองประจำเมืองงั้นหรือ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและทำท่าเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเห็นดังนั้น อาจารย์ติงซานฉือจึงได้กล่าวอธิบายกับหลินเป่ยเฉินว่า “งั้นแสดงว่าเจ้าคงอยากจะทิ้งเงิน 50 เหรียญทองคำกับรางวัลอีกมากมายสำหรับผู้ชนะเลิศอันดับ 1 ในการประลองความสามารถประจำเมืองอย่างนั้นสิ?”
“หือ”
หลินเป่ยเฉินเบิกตากว้าง
“มีรางวัลสำหรับที่ 1 ด้วยงั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวถามด้วยความตกใจอย่างไม่เคยรู้มาก่อน
อาจารย์ติงซานฉือได้ถามไปว่า “นี่เจ้าไม่รู้งั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินนั้นได้แต่ยิ้มอย่างเขินอายและกล่าวตอบว่า “ก็ข้าไม่ได้สนใจเกี่ยวกับรางวัลเล็ก ๆ มากนัก”
อาจารย์ติงซานฉือถึงกับพูดไม่ออก
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาลองคิดดูดี ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เหรียญทอง 50 เหรียญนั้นแทบจะไม่ได้สำคัญอะไรเลยกับหลินเป่ยเฉินเมื่อในอดีต
“ฟังนะ สุดยอดลูกศิษย์ที่ได้สี่อันดับแรกของการประลองกลางภาคในแต่ละสถานศึกษานั้น จะถือว่ามีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการประลองความสามารถประจำเมือง และในตอนนี้ เจ้าก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดลูกศิษย์ของสถานศึกษาเราแล้ว เพราะฉะนั้นจึงถือว่าเจ้ามีความสามารถมากพอ ถ้าเกิดว่าเจ้าสามารถเป็นอันดับ 1 ได้ในวันพรุ่งนี้ เจ้าก็จะได้รับรางวัลเป็นเงินมูลค่า 50 เหรียญทองคำ และสามารถเลือกคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ระดับสูงได้ 1 เล่ม อีกทั้งยังมียาสมุนไพรอีกหลายชนิดให้เลือกสรร แต่เจ้าจะได้สิ่งของเหล่านี้ด้วยข้อแม้เดียวเท่านั้น คือเจ้าจะต้องเข้าร่วมการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ไม่เช่นนั้น ทางสถานศึกษาก็จะคิดซะว่าเจ้ายืนยันจะไม่รับของรางวัลทั้งหมด”
อาจารย์ติงซานฉือได้อธิบายเรื่องราวโดยละเอียด
หลังจากได้ฟังดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็สนใจขึ้นมาทันที
รางวัลมันไม่ได้น้อยแบบที่คิดนี่นา
ทั้งคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์ใหม่ ๆ สมุนไพรและยาชนิดต่าง ๆ มันไม่ได้มีความหมายอะไรกับหลินเป่ยเฉินเลย
สิ่งล่อใจของหลินเป่ยเฉินคือเหรียญทอง 50 เหรียญต่างหาก
ที่สำคัญคือโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่แบตเตอรี่ก็ลดลงเรื่อย ๆ ราวกับตัวสูบเงินอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา นอกจากเงินที่หลินเป่ยเฉินใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ที่เหลือนั้นเป็นเงินสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ทั้งหมด จำนวนเงิน 20 เหรียญทองที่หลินเป่ยเฉินได้มา ตอนนี้เหลือเพียง 6 เหรียญทองเท่านั้น และมันไม่มีทางลดค่าใช้จ่ายลงได้เลย
50 เหรียญทอง ฟังดูเป็นโอกาสดีในการชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็มอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินคิดใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจังว่า “อันที่จริงแล้ว ข้าก็ไม่ได้สนใจเงินทองหรือว่าพวกยาต่าง ๆ มากนักหรอกนะขอรับ ข้าน่ะไม่ใช่คนประเภทที่หลงใหลเพียงเงินทอง แต่ข้าอยากจะนำพาความยิ่งใหญ่มาให้สถานศึกษาของเรามากกว่า เพราะฉะนั้น ข้าจึงตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการประลองประจำเมือง”
อาจารย์ติงซานฉือมีท่าทีเหมือนไม่อยากเชื่อ
เจ้าเด็กคนนี้ต้องเปลี่ยนใจหลังได้ยินเรื่องเงินรางวัลแน่ ๆ
ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่สนใจหรอก
แต่ไม่ว่าจะสนใจด้วยเหตุผลอะไร แค่ยอมเป็นตัวแทนสถาบันก็พอแล้ว
อาจารย์ติงซานฉือจึงกล่าวเสริมว่า “เลือกได้ดีมาก การเข้าร่วมค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง มีแต่จะเป็นประโยชน์กับเจ้าเท่านั้น โดยเฉพาะหากสามารถกลายเป็นผู้ชนะได้ ตัวเจ้าจะได้รับแผ่นป้ายประจำตัวผู้มีพรสวรรค์ ซึ่งใครก็ตามที่ครอบครองแผ่นป้ายนี้ จะได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายของจักรวรรดิ ไม่ว่าศัตรูคนใดในเมืองจะอยากเข้ามาแก้แค้นเจ้า พวกเขาก็คงจะต้องคิดให้ดีก่อนลงมือทำอะไร”
หือ?
หลินเป่ยเฉินงงงวยอีกครั้ง
อะไรนะ?
แผ่นป้ายประจำตัว
หลินเป่ยเฉินนั้นครุ่นคิดอีกพักหนึ่ง
ทำไมถึงไม่เคยมีใครบอกเรื่องนี้กับเขามาก่อน
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเสียดายหน่อย ๆ
อาจารย์ติงซานฉือทำให้เด็กหนุ่มเริ่มคิดหนัก
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกลับไปแล้ว หลินเป่ยเฉินก็คิดว่าปัญหามันอาจมาจากตัวเขาเองก็ได้ เพราะเขาไม่เคยฟังอะไรในคาบเรียนเลยต่างหาก
“ขอรับอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อว่า “ข้าจะตั้งใจและหมั่นฝึกฝน ข้าจะต้องเป็นผู้ชนะการแข่งขันประจำเมือง และนำป้ายประจำตัวผู้มีพรสวรรค์มาให้สถาบันเราให้ได้”
“ดีแล้ว ดีมาก”
เมื่อเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นของหลินเป่ยเฉิน อาจารย์ติงซานฉือก็ยิ้มอย่างพึงพอใจและกล่าวว่า “เอาล่ะ รีบไปฝึกวิชากระบี่ของเจ้าเถอะ ไปนอนซะ และก็ฝึกฝนทุกอย่างในความฝัน จงตั้งใจให้ดี”
หลังจากนั้น อาจารย์ชราก็มอบกระบี่ให้กับหลินเป่ยเฉิน “กระบี่ด้านนี้อยู่กับข้ามาถึง 20 ปี แต่วันนี้ ข้าจะมอบเป็นของขวัญให้กับเจ้า อ่านคำจารึกบนกระบี่ให้ดีล่ะ มันจะบอกถึงตัวตนของกระบี่ด้ามนี้ และคุณสมบัติที่มือกระบี่ควรมี”
หลังจากพูดจบ อาจารย์ติงก็หายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินเริ่มตื่นเต้นขึ้นอีกครั้ง
แบบนี้ก็…
เจ๋งไปเลยน่ะสิ !
อาจารย์เฒ่าคนนี้สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วจริง ๆ
ในอดีตสมัยอยู่โลกมนุษย์ เมื่อหลินเป่ยเฉินอ่านนิยายหรือดูภาพยนตร์ในโทรทัศน์ เขามักจะมีคำถามกับตัวเองอย่างหนึ่งคือ ทำไมบรรดาจอมยุทธ์มากฝีมือถึงต้องลอยตัวข้ามหลังคาหรือข้ามกำแพงไปอย่างยากลำบาก ทั้ง ๆ ที่เดินจากไปดี ๆ ก็ได้
ไม่คิดว่ามันจะเป็นการสูญเสียพลังงานบ้างเหรอ
ตอนนี้หลินเป่ยเฉินเข้าใจแล้ว
เพราะมันโคตรเจ๋งยังไงล่ะ
หลินเป่ยเฉินมองลงไปยังกระบี่ที่ถืออยู่ในมือ
ตัวอักษรตัวหนึ่งสลักอย่างเรียบง่ายอยู่บนด้ามกระบี่
คุณธรรม
หลินเป่ยเฉินถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อได้เห็นคำนั้น
ไม่ใช่ว่าอาจารย์ติงซานฉือกล่าวว่า คำบนกระบี่นี่ สื่อถึงคุณสมบัติของมือกระบี่ที่ดีหรอกหรือ
ทำไมมันถึงฟังดูเป็นคำหยามเหยียดยังไงชอบกล
หลินเป่ยเฉินพลิกดูกระบี่อีกด้าน
และเห็นอีก 2 คำจารึกอยู่ว่า
ไม่มีสิ่งใดเทียบได้
เมื่อนำสองคำรวมกันจึงกลายเป็น คุณธรรมไม่มีสิ่งใดเทียบได้
หลินเป่ยเฉินเอามือกุมหัว
แบบนี้ก็แสดงว่านี่คือกระบี่แห่งคุณธรรมสินะ
หากจะใช้กระบี่เล่มนี้จัดการกับใครสักคน ก็คงจะต้องใช้เพื่อช่วยคนอื่นหรือผดุงคุณธรรมงั้นสิ
ในที่สุด เด็กหนุ่มก็กลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินปลดล็อกโทรศัพท์มือถือและเปิดเข้าไปยังแอปสโตร์
ให้ตายเถอะ มันไม่มีแอปพลิเคชันสำหรับกระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อยเลยเหรอ
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย
เขาค้นหาการแจ้งเตือนและไอคอนต่าง ๆ ของกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตอย่างทุกซอกทุกมุม
ตรวจพบการอัปเดตแอปพลิเคชัน ท่านต้องการอัปเดตหรือไม่
ดูเหมือนว่าแอปพลิเคชันนั้นจะมีเวอร์ชันอัปเดตปรากฏขึ้นมา
นั่นสินะ เพราะกระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าที่แตกแขนงออกมาจากกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาต ยังไงซะมันก็มีต้นกำเนิดเดียวกันอยู่ดี
และหลินเป่ยเฉินจึงกดเลือกอัปเดต
การอัปเดตต้องการพื้นที่ 500 MB ท่านมีพื้นที่ทั้งหมด 3 GB ท่านต้องการดาวน์โหลดหรือไม่
ข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินรู้สึกตกใจอีกครั้ง
อะไรนะ
พื้นที่ 3 GB งั้นเหรอ
งั้นแสดงว่าพลังลมปราณในร่างกายของหลินเป่ยเฉินตอนนี้ มีค่าเท่ากับพื้นที่เก็บข้อมูล 3 GB งั้นหรือ
นั่นเป็นปริมาณที่เยอะอยู่นะ
อีกอย่างหนึ่ง การอัปเดตนี้ต้องการเนื้อที่ 500 MB ซึ่งใช้เนื้อที่มากกว่ากระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตที่เคยติดตั้ง 246 MB งั้นแสดงว่าเจ้ากระบวนท่าพิเศษนี้ คงจะต้องสำคัญมากยิ่งกว่ากระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตอีกสินะ
เขากดปุ่มดาวน์โหลดโดยไม่ลังเล
แถบแสดงสถานะการดาวน์โหลดปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์
ไม่กี่อึดใจ การดาวน์โหลดก็เสร็จสิ้น
และในที่สุด ก็เข้าสู่กระบวนการการติดตั้ง
เพียงไม่นาน การติดตั้งก็เสร็จสมบูรณ์
หลินเป่ยเฉินกดเข้าไปยังไอคอนใหม่บนหน้าจอและเข้าไปยังแอปพลิเคชันกระบี่สามพิฆาต
ในแอปพลิเคชันนั้น ยังคงมีรูปวาดจากน้ำหมึก และตัวการ์ตูนอวตารที่หน้าตาเหมือนตัวเขากำลังฝึกฝนกระบวนท่ากระบี่ และกระบวนท่านั้นก็เห็นได้ชัดเลยว่าคือกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตอย่างไม่ผิดแน่ และเมื่อตัวอวตารนั้นสำเร็จกระบวนท่ากระบี่สามพิฆาตแล้ว กระบวนท่ากระบี่ดาราคล้อยก็ตามมา
เขาเดาถูกจริง ๆ ด้วย
ในค่ำคืนนี้เอง หลินเป่ยเฉินได้นอนหลับอย่างมีความสุข และรู้สึกมั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน