บทที่ 256 เริ่มการเดินทางอันแสนยาวนาน
ในหลายวันต่อ ๆ มา หลิงตู้ฉิงไม่ได้สนใจเรื่องราวของโลกภายนอกอีกต่อไป เขาเก็บตัวเงียบอยู่แต่ในคฤหาสน์สราญรมย์เพียงอย่างเดียว
นอกเหนือจากคนในคฤหาสน์แล้ว ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าเขากำลังหมกหมุ่นกับอะไรอยู่
หลายปีต่อมา หลิงตู้ฉิงก็ได้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง แต่การปรากฏกายของเขาในครั้งนี้คือเป็นการปรากฎกายเพื่อให้บรรดาคนในตระกูลของเขาได้ร่ำลา เนื่องจากว่าเขากำลังจะต้องออกเดินทางไปจากทวีปเทียนหยวนแล้ว
“ที่คฤหาสน์ ข้าได้ทำการเสริมอำนาจของมันเข้าไปมากมายจนเพียงพอที่จะปกป้องพวกเจ้าได้แน่นอน ถ้าหากพวกเจ้าเจอกับศัตรูที่ไม่สามารถรับมือได้ไหว พวกเจ้าจงกลับมาที่คฤหาสน์สราญรมย์เพื่อรอวันที่ข้ากลับมา” หลิงตู้ฉิงกล่าวสั่งกับบรรดาคนของเขาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
จ้าวเหมิงลู่มองไปที่หน้าของเขาและตอบกลับ “ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะทำตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง ส่วนท่านเองที่ต้องออกเดินทางก็โปรดรักษาตัวให้ดีด้วย”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างหนักแน่นและจากนั้นเขาก็เดินขึ้นรถม้า
แต่รถม้าคันนี้ไม่ใช่คันเดิมกับที่กงหนิวเคยลาก มันคือรถม้าที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นพาหนะวิเศษระดับวิญญาณ
ถึงแม้ว่ารถม้าคันเดิมจะมีความแข็งแกร่งที่มากกว่า แต่ด้วยเงื่อนไขที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นมีผนึกที่ไม่สามารถนำสมบัติใด ๆ ที่มีพลังแห่งกฎของสวรรค์ผ่านเข้าไปด้วยได้ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะนำมันไปด้วย
เขาจึงต้องทิ้งรถม้าคันเก่าและบรรดาสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ทั้งหลายไว้ที่คฤหาสน์
“ท่านพี่หญิง ท่านไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะดูแลสามีของพวกเราเป็นอย่างดี” มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยยิ้มตอบ
เมื่อพูดจบ พวกนางก็เดินขึ้นไปบนรถม้าเช่นกัน
มากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ระดับการบ่มเพาะของพวกนางทั้งคู่ในตอนนี้ได้ถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 เป็นที่เรียบร้อยและยังคงถูกหยุดไว้ที่ระดับนี้ไม่ขยับเลื่อนระดับขึ้นไปอีก เนื่องจากนี่เป็นคำสั่งพิเศษของหลิงตู้ฉิงที่สั่งไว้
และแน่นอนว่าทั้งคู่ก็ได้ทำตามเงื่อนไขที่หลิงตู้ฉิงเคยวางเอาไว้ให้พวกนางจนครบ ซึ่งมี่ไลในตอนนี้ก็ได้บรรลุวิชาเกล็ดน้ำค้างสารทฤดูเป็นที่เรียบร้อย ส่วนหลิวเฟ่ยเฟ่ยก็เองก็ได้บรรลุวิชาดรุณีเยือกแข็งไปถึงขั้นน้ำแข็งทมิฬแล้วเช่นกัน
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาระดับการบ่มเพาะของเขาเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่มันก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งทำให้ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาได้มาอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10
นอกจากมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่ขึ้นรถม้าแล้ว ยังมีหลิงเทียนหยุนที่เดินขึ้นมาบนรถม้าเช่นกัน
ซึ่งเมื่อทุกคนเห็นภาพเช่นนี้ก็ไม่มีใครที่เอ่ยปากคัดค้าน เนื่องจากหลิงเทียนหยุนเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่หลิงตู้ฉิงได้บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะให้เขาไปด้วย
และแน่นอนว่าระดับการบ่มเพาะของหลิงเทียนหยุนในตอนนี้ก็พอที่จะปกป้องตัวเองได้บ้างแล้ว ระดับการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ได้มาอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 5 บวกกับเขายังมีรากฐานการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งอีกต่างหาก
ซือโถวเหวินหยวนที่ในตอนนี้เขามองไปยังคนทั้งสี่ที่ขึ้นไปบนรถม้าแล้วด้วยสีหน้าที่ขัดแย้งจนเขาอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “นายท่าน กุญแจที่ไว้สำหรับเข้าไปยังเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นสามารถนำคนเข้าไปได้เพียงแค่ 3 คนเท่านั้น ต่อให้ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยอย่างข้าจะไม่ไปด้วย แต่บรรดาสมาชิกของครอบครัวที่ท่านนำไปด้วยมันก็ยังเกินจำนวนคนอยู่ดี”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “ไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้าเคยสัญญาไปแล้วว่าจะพาเจ้าไป เจ้าก็ต้องเข้าไปได้ ข้ามีวิธีของข้าอยู่แล้ว หรือต่อให้ข้าจะใช้วิธีของข้าพาเจ้าเข้าไปไม่ได้ ข้าก็ยังมีกุญแจอีกดอกที่ได้มาจากหลูซ่างเก๋อ ซึ่งอยู่ในมือข้ามาโดยตลอด”
เมื่อซือโถวเหวินหยวนได้ยินนี้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ค่อยโล่งใจ”
“กงหนิว ออกเดินทางได้!”
“เฟิงนำทางกงหนิวไปยังภูเขาเซียนนักปราชญ์ ที่ตั้งอยู่บนเกาะไท่อี้เป็นที่แรก”
“ซือโถว เจ้าไปนั่งบนพาหนะวิเศษของเจ้าเองซะ ข้าต้องการความสงบที่จะถ่ายทอดสุดยอดวิชาให้กับคนในครอบครัวข้า” หลิงตู้ฉิงกล่าวสั่งเป็นลำดับ
ซือโถวเหวินหยวนที่กำลังจะก้าวขึ้นพาหนะวิเศษของเขาเองได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน “เอ่อ…นายท่าน ท่านพอจะสอนสุดยอดวิชาอะไรก็ได้ที่มันเหนือกว่าที่ข้ามีให้หน่อยได้ไหม?”
หากว่าแม้แต่หลิงตู้ฉิงยังใช้คำว่า ‘สุดยอดวิชา’ ซือโถวเหวินหยวนรู้ได้ทันทีว่ามันต้องเป็นวิชาที่ไร้เทียมทานแน่นอน ฉะนั้นถึงแม้ว่าเขาจะแก่กว่าหลิงตู้ฉิงไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่รอบต่อกี่รอบ แต่เขาก็ยังพยายามทำสีหน้าน่าเอ็นดูเพื่อขอความเห็นใจให้หลิงตู้ฉิงสอนวิชาแบบนี้ให้เขาบ้าง
“ไม่มีทาง!” หลิงตู้ฉิงปฏิเสธเขาทันควัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซือโถวเหวินหยวนก็ทำหน้าจ๋อย และเดินขึ้นพาหนะวิเศษของเขาไป
ในหลายปีที่ผ่านมานี้ ซือโถวเหวินหยวนเองก็ทำการข่มระดับการบ่มเพาะของเขาให้อยู่ในขอบเขตครึ่งสวรรค์เพื่อรอเวลาที่จะได้ไปยังเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เขาไม่ต้องการที่จะทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตสวรรค์เช่นนี้ เขาต้องการที่จะเข้าไปวัดดวงตามหาสมบัติวิเศษที่จะทำให้เขาบรรลุระดับการบ่มเพาะไปถึงขอบเขตนภาระดับ 13 และจากนั้นถึงจะทะลวงขอบเขตไปยังขอบเขตสวรรค์
ไม่เช่นนั้นเขาคงจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ไปตั้งนานแล้ว
แต่ถึงแม้ซือโถวเหวินหยวนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ ความเร็วในด้านการใช้งานพาหนะวิเศษของเขาก็ยังห่างชั้นกับกงหนิวอยู่มาก
กงหนิวที่ในเวลานี้ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขอบเขตนภา กลับต้องข่มระดับความเร็วของเขาที่บังคับพาหนะวิเศษลงเป็นอย่างมากเพื่อที่จะให้ซือโถวเหวินหยวนตามมาได้ทัน
ด้านในรถม้า ตอนนี้หลิงตู้ฉิงได้ทำการสร้างกำแพงปิดกั้นเสียงอยู่ภายในเพื่อไม่ให้คนนอกได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะถ่ายทอดให้คนในครอบครัวเขา จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “สิ่งที่ข้ากำลังจะถ่ายทอดให้พวกเจ้าต่อไปนี้คือวิชาศักดิ์สิทธิ์ของแท้ ในอนาคต นอกจากคนในครอบครัวของเราแล้วพวกเจ้าห้ามถ่ายทอดวิชาศักดิ์สิทธิ์นี้ให้คนนอกรู้เป็นอันขาด”
มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยต่างรีบพยักหน้า “ไม่ต้องห่วงสามี พวกเราจะไม่มีวันถ่ายทอดวิชานี้ให้คนนอกรู้แน่นอน”
หลิงเทียนหยุนเองก็พยักหน้าเช่นกัน เนื่องจากเขายังไม่เคยเห็นหลิงตู้ฉิงย้ำเตือนเรื่องแบบนี้มาก่อน
“วิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ข้ากำลังจะถ่ายทอดให้พวกเจ้าคือ วิชาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเก็บมวลสารพลังงานทุกอย่างไว้ในร่างกายได้” หลิงตู้ฉิงอธิบายอย่างช้า ๆ “พวกเจ้ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะเรียนรู้วิชานี้ แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นการเรียนรู้ของพวกเจ้าไปในด้านการขยายพื้นที่เก็บมวลสาร แต่พวกเจ้าต้องมุ่งเน้นการเรียนรู้ไปด้านการย่อมวลสารให้เล็กลง ถึงแม้ว่าข้าจะมีกุญแจสำหรับเข้าไปยังเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับถึง 2 ดอก แต่ถ้าพวกเจ้าทุกคนบรรลุวิชานี้ได้กันครบจนหมด ข้าก็จะได้เอากุญแจอีกดอกที่เหลือนำไปแลกเปลี่ยนกับสมบัติที่เป็นประโยชน์กับเราแบบอื่น ๆ ได้”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงจึงเริ่มทำการถ่ายทอดเคล็ดวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง ฝังตรงเข้าไปยังวิญญาณของภรรยาทั้งสองและลูกของเขา เพื่อให้พวกเขาค่อย ๆ ได้ทำความเข้าใจมันอีกที
มี่ไล หลิวเฟ่ยเฟ่ย และหลิงเทียนหยุน เมื่อพวกเขาได้ลองอ่านเคล็ดวิชาที่ถูกฝังในร่างของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงได้ห้ามให้พวกเขาไม่สอนวิชานี้ให้กับคนนอก
วิชาศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นวิชาที่แปลกมาก ๆ ถ้าหากใช้มันอย่างชาญฉลาด ประโยชน์ของวิชานี้จะมีคุณอย่างมหาศาลเหนือกว่าที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้
“ท่านพ่อ วิชานี้นี่มันเกี่ยวข้องกับวิชาที่ไว้ใช้ย่อและขยายสิ่งของใช่ไหม?” หลิงเทียนหยุนถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “วิชาประทับตราย่อส่วนอันนั้นมันไว้สำหรับใช้กับสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว ซึ่งเป็นวิชาที่ธรรมดาหาฝึกได้ทั่วไป แต่วิชานี้ที่พ่อเพิ่งถ่ายทอดให้เจ้ามันเป็นวิชาที่มีไม่กี่คนบนโลกเท่านั้นที่รู้ว่ามีมันอยู่ ฉะนั้นพวกเจ้าห้ามใช้วิชานี้ต่อหน้าคนนอกเป็นอันขาด”
“พวกเราเข้าใจแล้ว!” ทั้งสามคนต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากย้ำเตือนทั้งสามคนเป็นที่เรียบร้อย หลิงตู้ฉิงจึงคลายกำแพงกั้นเสียงออก
เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงเห็นว่ากำแพงกั้นเสียงถูกคลายลงแล้ว นางก็ตะโกนจากด้านนอกเข้ามาว่า “นายท่าน ตอนนี้พวกเรามาถึงภูเขาเซียนนักปราชญ์ที่ตั้งอยู่บนเกาะไท่อี้แล้ว”
อันที่จริงรถม้าของพวกเขาได้มาถึงที่หมายได้สักพักแล้ว แต่เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงเห็นว่ากำแพงกั้นเสียงยังไม่ถูกคลายลง นางจึงยังไม่กล้าแจ้งหลิงตู้ฉิง เนื่องจากกลัวว่าจะเป็นการรบกวนพวกเขา
“ลงไปข้างล่างเพื่อฟังนางบรรยายบทเรียนอีกครั้งกันก่อน แล้วพวกเราค่อยเดินทางต่ออีกครั้งในวันพรุ่งนี้” หลิงตู้ฉิงพูดพลางเผยรอยยิ้ม
หลิงเทียนหยุนเผยรอยยิ้มขึ้นเช่นกันและพูดว่า “นี่มันก็เป็น 10 ปีแล้วตั้งแต่ที่นางจากไป ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าตอนนี้ครูถังเป็นยังไงบ้าง”
เมื่อพูดจบ ทุกคนก็กระโดดลงจากรถม้า ส่วนเสี่ยวเยว่เฟิงก็เก็บรถม้าเข้าไปในแหวนมิติ และกงหนิวก็ได้คืนร่างจากร่างกระทิงกลายเป็นร่างมนุษย์ภายในชั่วพริบตา
หลังจากที่เขาได้ก้าวมาถึงขอบเขตนภา ในที่สุดกงหนิวก็ได้รับการสอนวิชาคืนร่างสู่ร่างเดิม ซึ่งนับได้ว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่หลิงตู้ฉิงมอบให้หลังจากที่รับใช้เขามาเป็นเวลานานด้วยความซื่อสัตย์
เมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยทั้ง 7 คนก็ค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนเขาเซียนนักปราชญ์
แต่หลังจากเดินมาได้เพียงไม่กี่ก้าว หญิงสาวนางหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาหาและพูดกับหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ด้วยน้ำเสียงสุภาพเป็นอย่างมากว่า “แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ตอนนี้ท่านอาจารย์ของข้าได้รอทุกท่านอยู่ด้านบนแล้ว”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้ารับทราบและเดินนำคนของเขาขึ้นไปบนเขาต่อด้วยความเร็วฝีเท้าที่สม่ำเสมอ
ตอนนี้สภาพบนยอดเขาเซียนนักปราญช์นั้นเต็มไปด้วยบ้านเรือนน้อยใหญ่เต็มไปทุกหนทุกแห่ง เหล่าผู้คนทุกระดับการบ่มเพาะล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
เมื่อเหล่าผู้คนที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เห็นหลิงตู้ฉิงและคนของเขาค่อย ๆ เดินขึ้นเข้ามา พวกเขาต่างก็มองลงมาด้วยความสนใจ
เมื่อหลิงตู้ฉิงเดินขึ้นเขามาได้ครึ่งเส้นทาง ถังชี่หยุนที่ยืนอยู่หน้ากระท่อมฟางหญ้าของนางก็มองลงมายังหลิงตู้ฉิงที่ยังอยู่ห่างออกไปในระยะไกลและพูดขึ้นว่า “ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะ ท่านหลิง…”
หลิงตู้ฉิงเองก็มองไปยังถังชี่หยุนและพยักหน้าตอบกลับ พลางเดินเข้าไปหานาง
แต่เมื่อเดินเข้าไปถึงในระยะใกล้ หลิงตู้ฉิงก็เบนสายตามองไปยังป้ายหลุมศพที่อยู่ใกล้ ๆ อยู่ชั่วครู่ และจากนั้นเขาก็ถอนสายตากลับมองมาทางถังชี่หยุนอีกครั้ง
“บังอาจ นี่เจ้ากล้าลบหลู่ท่านอาจารย์ถังแบบนี้ได้ยังไง!” ใครบางคนที่อยู่ข้างเขาได้ตะโกนขึ้น
Related