บทที่ 272 ความน่าเกรงขามของ ‘ภูเขาฟีนิกซ์’
การแสดงพลังของมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยต่างตกเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนมาก ซึ่งหลายคนที่เห็นฉากการสังหารของพวกนางยังรู้สึกว่าพวกนางอำมหิตโดยแท้
ในฐานะชาวเมืองเจินไห่ ในสายตาของพวกเขาที่เห็นหญิงสาวทั้งสองคนที่มีระดับการบ่มเพาะเพียงแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 นั้นไม่น่าสนใจแม้แต่เพียงนิดเดียว
อย่างไรก็ตามความคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นภาพอันแปลกประหลาดที่จู่ ๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้วิชาอะไรก็ไม่รู้ที่พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้ทำให้อุณหภูมิภายในร่างของคนคนหนึ่งร้อนขึ้นจนคนเหล่านั้นขาดใจตาย
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น
และมิหนำซ้ำในขณะที่พวกเขากำลังไม่เข้าใจว่าวิชาของมี่ไลคืออะไร เมื่อพวกเขาได้เห็นพลังของหลิวเฟ่ยเฟ่ย ซึ่งมีกลิ่นอายของปราณน้ำแข็งทมิฬ พวกเขาก็ต้องตกตะลึง
ปราณน้ำแข็งทมิฬ เป็นพลังเยือกแข็งที่เย็นสุดขั้ว มีผู้คนมากมายใฝ่ฝันที่จะฝึกฝนให้บรรลุถึงพลังขั้นนี้ โดยเฉพาะพวกคนของตำหนักเทพเหมันต์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ครอบครองกระบี่เทวะเหมันต์เยือกแข็งในตำนาน ซึ่งมันได้รับการกล่าวขานว่าสร้างขึ้นมาจากน้ำแข็งที่มีอายุนับล้านล้านปี
อย่างไรก็ตาม แม้แต่สำหรับคนอย่างตำหนักเทพเหมันต์ที่บ่มเพาะพลังภูติแห่งน้ำแข็งมานานแสนนาน แต่ก็ยังมีไม่กี่คนที่สามารถบรรลุพลังน้ำแข็งทมิฬได้ ดังนั้นแล้วทำไมพลังเช่นนี้มันกลับถูกใช้ได้ด้วยน้ำมือของคนที่มีระดับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12?
ในเวลานี้ที่ชั้นสามของหอการค้าพิรุณทองคำ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ 2 คนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้
“ถ้าผู้หญิงคนนี้ถูกตำหนักเทพเหมันต์พบ นางคงจะถูกยกย่องให้กลายเป็นเทพธิดาของตำหนักทันที!” หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์พูด
“ถ้าสามารถนำข่าวนี้ไปบอกให้ตำหนักเทพเหมันต์รู้ได้ก็คงจะดี!” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์อีกคนหนึ่งส่ายหัว “แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว พวกเขาได้พลาดไปขัดแย้งกับตระกูลจื่อแห่งเมืองเจินไห่เข้าซะแล้ว มันคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะรับมือไหวแน่ ๆ”
ในขณะที่เขาพูด เขามองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงที่อยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิงและพูดต่อ “แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชายขอบเขตสวรรค์สามัญอยู่ 1 คน แต่ข้าเกรงว่าคงไม่อาจต้านทานได้ ใคร ๆ ก็รู้กันอยู่ว่าจื่อคงเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตหลุดพ้นสามัญไปแล้ว และนี่ถ้าไม่ใช่ว่าเขายังไม่มีสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ที่ดีพอที่จะให้เป็นแหล่งพลังกฎแห่งสวรรค์ของเขาในห้วงทะเลวิญญาณของเขาแล้วล่ะก็ เขาคงจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งมากกว่านี้หลายเท่าเลยล่ะ”
สำหรับเสี่ยวเยว่เฟิงนั้น เนื่องจากพวกเขามองเห็นแค่ระดับการบ่มเพาะของนาง ในสายตาของพวกเขานางจึงเป็นแค่เพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์สามัญธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ในขณะเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งสวรรค์ที่อยู่ข้าง ๆ จื่อหวงก็เคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่เขาเปิดเผยระดับการบ่มเพาะของเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของพลังกฎแห่งสวรรค์หล่นลงมาทับเขาจากบนฟ้าทันที เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้เขาจึงอุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ขอบเขตสวรรค์?”
ตอนนี้เขารู้สึกตัวได้แล้วว่าระดับการบ่มเพาะของเสี่ยวเยว่เฟิงและซือโถวเหวินหยวนนั้นแข็งแกร่งมาก เขาแน่ใจว่าความแข็งแกร่งของทั้งคู่นั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตัวของเขาเลย
แต่ถึงแม้จะเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เขากลับไม่กลัวแม้สักนิด
เพราะที่นี่คือเมืองเจินไห่ ซึ่งเป็นดินแดนของตระกูลจื่อ และจื่อคงก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเจินไห่ทั้งหมด จื่อคงคือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตหลุดพ้นสามัญ ซึ่งใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตถัดไปแล้ว แม้แต่เจ้าแห่งเมืองเจินไห่ก็มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าจื่อคง
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์สามัญ เขาก็ไม่กลัว
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้ออกคำสั่งใด ๆ เสี่ยวเยว่เฟิงจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “พาคนของเจ้าไสหัวกลับไปซะ”
เนื่องจากนางไม่ได้รับคำสั่งนางจึงยังไม่ฆ่าเขา
เมื่อผู้ติดตามชราของจื่อหวงเห็นว่าเสี่ยวเยว่เฟิงไม่กล้าลงมือ เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าตระกูลจื่อของเราไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์รึยังไง? ตราบใดที่พวกเจ้าอยู่ในเมืองเจินไห่ พวกเจ้าไม่มีโอกาสรอดไปได้แน่นอน!”
ในขณะที่เขาพูดจบผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ก็มาถึง
“หลิวหนิง เกิดอะไรขึ้น ทำไมส่งสัญญาณฉุกเฉิน?” ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ที่มาใหม่กำลังพูด เขาก็ได้เห็นสภาพของจื่อหวงที่หมดสติและผู้คนมากมายที่เสียชีวิตอยู่รอบตัวเขา
เขามองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงอย่างเย็นชาทันทีและถามว่า “เจ้าเป็นใคร? กล้าดียังไงถึงได้มาโจมตีสมาชิกตระกูลจื่อของข้า!”
เสี่ยวเยว่เฟิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงจะต้องถามตระกูลจื่อ ของเจ้าเองแล้วล่ะ ว่าทำไมพวกเขาถึงทำตัวเป็นโจรสันดานหยาบบนท้องถนน”
ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ คือ จื่อเซี่ยง ผู้เป็นบิดาของจื่อหวง
ในตอนนี้หลิวหนิงได้บอกจื่อเซี่ยงแล้วเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
จื่อเซี่ยงที่ได้รู้เรื่องทั้งหมด เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นคนหน้าใหม่ใช่ไหม? เพิ่งมาใหม่แท้ ๆ แต่กลับกล้าขโมยของของตระกูลจื่อของข้างั้นเหรอ? จงทิ้งผลึกปฐพีเวหาไว้ที่นี่ ส่วนสำหรับเจ้าทั้งสองในฐานะที่พวกเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์และครึ่งสวรรค์ ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่พวกเจ้าต้องคอยรับใช้ตระกูลจื่อของข้า 100 ปี แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”
เสี่ยวเยว่เฟิงมองไปที่จื่อเซี่ยงอย่างเย็นชา แต่ก่อนที่นางจะพูดอะไรออกไป ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็เปิดปากของเขา
“ทำไมเจ้ามัวเปลืองคำพูดไปกับมัน รีบ ๆ ไล่พวกมันไปให้พ้น ๆ ได้แล้ว!” หลิงตู้ฉิงพูด “และถ้าพวกมันยังไม่ไป เจ้าก็จงจัดการกับพวกมันให้เร็วที่สุด เรายังต้องไปที่หมู่ตึกหยูอี่กันต่อ ข้าไม่ต้องการจะมาเสียเวลากับอะไรแบบนี้”
เมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงตู้ฉิง ในที่สุดเสี่ยวเยว่เฟิงก็รีบพูดว่า “รับทราบนายท่าน ข้าจะทำให้มันจบโดยไวที่สุด!”
นางหันหน้าไปมองจื่อเซี่ยง และพูดอย่างเย็นชา “พวกเจ้าทั้งหมดไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
ในขณะที่เสี่ยวเยว่เฟิงพูด นางก็ได้ปลดปล่อยพลังเพลิงฟินิกซ์บรรพกาลออกจากร่างกายของนางทันที
แม้ว่านางจะไม่ได้เปิดเผยร่างกายที่แท้จริงของฟีนิกซ์ แต่การปรากฏของพลังเพลิงฟินิกซ์บรรพกาลก็เป็นการแสดงให้เห็นตัวตนที่มาของเสี่ยวเยว่เฟิงอย่างชัดเจน
“คนจากภูเขาฟีนิกซ์!” หัวใจของจื่อเซี่ยงเต้นผิดจังหวะ
ผู้คนต่างเคยได้ยินเกี่ยวกับภูเขาฟีนิกซ์อันยิ่งใหญ่ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนมีเรื่องเล่าว่ามีขุมกำลังมหาอำนาจกลุ่มหนึ่งได้เริ่มก่อสงครามกับภูเขาฟีนิกซ์ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นานกลุ่มขุมกำลังนั้นทั้งหมดก็ได้ถูกสังหารลงอย่างหมดจด หลายหมื่นปีผ่านไปและสถานที่นั้นก็ยังคงไม่มีร่องรอยของชีวิตหลงเหลืออยู่เลย และตั้งแต่นั้นมาผู้คนที่เคยได้ยินเรื่องราวประวัติแบบนี้ใครกันที่จะกล้ารุกรานคนจากภูเขาฟีนิกซ์ง่าย ๆ?
“เอ่อ…ที่แท้ก็เป็นท่านแขกผู้มีเกียรติที่มาจากภูเขาฟีนิกซ์นี่เอง ข้าน้อยขออภัยที่ได้ล่วงเกินพวกท่านไปด้วย เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลา!” จื่อเซี่ยงฝืนยิ้ม เขาไม่กล้าทำตัวหยิ่งผยองอีกต่อไป
ถึงแม้ในเมืองเจินไห่ ตระกูลจื่อของพวกเขานั้นจะสามารถทำตัวหยิ่งผยองได้ แต่บางครั้งมันก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากำลังจะหยิ่งผยองกับใคร เพราะถ้าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นคนจากภูเขาฟีนิกซ์ มันก็คงจะดีกว่าถ้าเขาจะเก็บความหยิ่งผยองเอาไว้และถอยออกมา!
หลังจากยอมรับความผิด จื่อเซี่ยงก็รีบอุ้มจื่อหวงที่ยังคงหมดสติขึ้นหลังและจากไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับหลิวหนิง และผู้คุ้มกันขอบเขตรวมแสงดาราคนอื่น ๆ ต่างก็พากันก้มศีรษะลงและจัดการเก็บศพที่พื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำและจากไปอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะไปที่หมู่ตึกหยูอี่กันได้แล้ว!” หลิงตู้ฉิงสั่ง จากนั้นกลุ่มคนของเขาก็ค่อย ๆ พากันเดินไปที่หมู่ตึกหยูอี่
ที่ชั้นสามของหอการค้าพิรุณทองคำ ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์คนหนึ่งร้องอุทาน “ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าพวกเขาจะเป็นคนจากภูเขาฟีนิกซ์!”
ผู้จัดการหลินขมวดคิ้วและพูดว่า “น่าแปลก ทำไมคนของภูเขาฟีนิกซ์ถึงมาปรากฏตัวที่เมืองเจินไห่ได้กัน?”
“มันจะมีอะไรแปลกกัน? ทำหยั่งกับว่าท่านไม่เคยได้ยินเรื่องที่มีกลุ่มคนที่หนีออกมาจากภูเขาฟีนิกซ์และยังคงถูกตามล่า แถมตอนนี้คนพวกนั้นยังมีค่าหัวอีกด้วย ข้าได้ยินมาว่ากลุ่มของคนพวกนั้นจำนวนหนึ่ง หนีไปที่ทะเลชางหมาง ข้าคิดว่าสาเหตุที่พวกเขามาที่นี่คงเป็นเพราะเรื่องนี้!”
ผู้จัดการหลิน ถามขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แล้วท่านคิดว่าจะเป็นไปได้ไหมว่ากลุ่มคนกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่หักหลังและหนีมา?”
“จะเป็นไปได้ยังไง ถ้านางเป็นคนกลุ่มนั้น นางจะกล้าแสดงตัวขนาดนั้นเลยเหรอ? นางกลัวว่าตะตายเร็วไม่พองั้นเหรอ?” อีกฝ่ายชักสีหน้าตอบกลับ
อันที่จริงผู้จัดการหลินเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ขณะนี้ในสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองเจินไห่ มีชายผู้หนึ่งที่กำลังทำหน้ามุ่ยมองไปทางหลิงตู้ฉิงและกลุ่นคนของเขา
เป็นเพราะเมื่อครู่ที่รัศมีพลังของเสี่ยวเยว่เฟิงปรากฏขึ้น จางเฉียนจากตระกูลจางก็รู้สึกได้ทันทีว่านางคือคนที่เขากำลังตามหา
“นังผู้หญิงนั่นกล้าที่เข้ามาในเมืองเจินไห่จริงงั้นเหรอ?” จางเฉียนพึมพำกับตัวเอง “นางไม่น่าจะกล้าถึงขนาดนั้นใช่ไหม?”
ด้วยความสงสัยเขา จึงรีบพุ่งไปยังสถานที่ที่เสี่ยวเยว่เฟิงแสดงพลังของนางและสอบถามกับผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน จางเฉียนก็ตบต้นขาของเขาอย่างได้ใจและพูดว่า “เยี่ยมมากสวรรค์อยู่ข้างข้าแล้วคราวนี้! ข้าต้องไปหาคนตระกูลจื่อซะก่อน และจากนั้นล่ะก็…หึหึหึ”
Related