ยิ่งขวังซือแข็งแกร่งมากเพียงใด ความมั่นใจของคนตระกูลฟางก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ทั้งหมดในตระกูลฟางล้วนแล้วแต่มีความรู้สึกภาคภูมิใจเกิดขึ้นทั้งนั้น ความหนักอึ้งทำให้คนในตระกูลฟางต่างก็ไม่สบายใจยิ่ง อีกทั้งบัดนี้ขวังซือได้จัดการห้าคนนั้นไปด้วยมือของตนเอง ทำให้ความรู้สึกกระส่ายกระสับว่าจะพ่ายแพ้ของผู้คนในนั้นหมดสิ้นไป ที่มาแทนก็คือความตื่นเต้นและความคับแค้นใจ แทบที่จะต้องการแก้แค้นให้ผู้ที่เสียชีวิตของตระกูลฟางทันทีทันใด!
ทุกคนต่างก็เร่งรีบอยากจะลองดูสักตั้ง ท่าทางฮึกเหิม อดไม่ได้อยากที่จะเข้าไปสู้รบแทนขวังซือเสียเองจนใจจะขาด นี่เป็นโอกาสดีที่จะ ‘สร้างคุณงามความดี’ให้แก่ตระกูลเชียว ผู้ใดจะอดใจไหวที่จะให้โอกาสเช่นนี้หลุดลอยไปได้ในชั่วพริบตา?
มีเพียงฟางเหมี่ยวเท่านั้นที่ไม่เหมือนกับผู้คนอื่น เขาจ้องมองหญิงหน้ากากพยัคฆ์ มักจะมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ออกบางประการผุดขึ้นอยู่เรื่อยมา สงบนิ่ง ใช่แล้ว ก็คือเธอสงบนิ่งเกินไป การเกิดโทสะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ทว่าสิ่งที่หญิงสาวผู้นี้แสดงออกมานั้นเกินความผิดปกติจนเกินไป
ตงฟางหยุนเอ๋อร์อิงอยู่ข้างๆ ฟางเหมี่ยวเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ฟางเหมี่ยวเมื่อก่อนนายบอกว่าขวังซือจะเชื่อฟังแค่ผู้มีตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูลใช่ไหม?”
ฟางเหมี่ยวจ้องตงฟางหยุนเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเอ่ยถามเสียงเบา “เธอคิดแผนการเจ้าเล่ห์อะไรออกมาอีกแล้วล่ะ ฉันจำได้ว่าฉันเคยบอกเธอแล้วว่า ขวังซือแข็งแกร่งมาก แต่น้องชายของฉันแข็งแกร่งกว่า อย่าล้อเล่นแบบนี้”
“ชิ!” ตงฟางหยุนเอ๋อร์สบถขึ้นมาอย่างเยือกเย็น “พูดอย่างกับฉันจะทำเรื่องอย่างนางสนมผู้ร้ายกาจอย่างนั้นแหละ? เล่นตลกกับอำนาจของตระกูลหรือไง?”
“หืม? งั้นเธอหมายความว่าไง?”
“ฉันหมายถึง ขวังซือแกร่งขนาดนี้จะต่อต้านเจ้าของเข้าสักวันหรือเปล่า!”
ต่อต้านเจ้าของ?
เรื่องนี้ฟางเหมี่ยวคิดไม่ถึงจริงๆ เขาชัดเจนดีอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่ตระกูลฟางตั้งหลักปักฐานที่เจียงตู ขวังซือก็เป็นตำนานหนึ่ง หากมิใช่เพราะช่วงเวลานี้ มีเรื่องยุ่งยากมากมายก่ายกอง บางทีทั้งชาตินี้เขาอาจจะไม่เจอขวังซือเลยก็เป็นได้ ทว่าคำเตือนของตงฟางหยุนเอ๋อร์นี้ ทำให้เขารู้สึกตระหนักขึ้นมาได้เล็กน้อย
ฟางไห่เซิงส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ลูกชายและลูกสะใภ้ของตนเองอายุยังน้อยกันทั้งคู่ ทว่าความกังวลของพวกเขานั้นก็เป็นเรื่องที่ปกติ ขวังซือแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ยากที่จะไม่มีความคิดอื่นได้ ทว่าในฐานะพี่ใหญ่ในตระกูลฟาง เขาเคยได้ยินอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่เด็กแล้วว่าสัตว์ในตำนานคุ้มครองเรือนนั้นจะซื่อสัตย์จงรักภักดีอย่างไร ต่อให้จำต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีในการต่อสู้ ก็ไม่มีทางหักหลังตระกูลตนได้ เทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีจิตใจจงรักภักดีเพียงนี้ ลูกสะใภ้ของตนเองยังจะมาสงสัยอีกเช่นนั้นหรือ?
นี่มันไม่ใช่การแหย่เล่นหรอกหรือ?
เมื่อเห็นว่าฟางจินหยวนไม่ทันได้สังเกตเห็น ฟางไห่เซิงจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “คำพูดนี้ฉันไม่อยากได้ยินเป็นครั้งที่สองนะ ความจงรักภักดีของขวังซือไม่อนุญาตให้ตั้งข้อสงสัย เข้าใจไหม?”
ตงฟางหยุนเอ๋อร์ยิ้มขึ้นอย่างข่มขื่น รู้สึกทำตัวไม่ถูกเป็นอย่างยิ่ง ครั้นฟางเหมี่ยวเองกลับได้มองขวังซือที่นอนแผ่อยู่เบื้องหน้าหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว เรื่องความเคารพนั้น จะไม่ขาดไปกลางทาง ดั่งน้ำที่ไหลไปไม่ขาดสาย ไม่มีทางย้อนกลับได้ สำหรับการตั้งข้อสงสัยของเขานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ขวังซือไม่ได้ขยับตัว อีกทั้งห้าคนฝั่งตรงข้ามก็ไม่ได้ลงมือ หญิงหน้ากากพยัคฆ์จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “อีกสักครู่ฉันจะนำอีกสองคนไปหยุดขวังซือไว้ก่อน และอีกสองคนที่เหลือ ฆ่าอย่าให้เหลือซาก เข้าใจไหม?”
สี่คนที่อยู่ข้างหลังตอบรับเสียงเบา
ฟางจินหยวนขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ภายในใจมีลางสังหรณ์อันไม่ดีเกิดขึ้นอย่างรุนแรง หรือว่าพวกเขาต้องการที่จะตอบโต้กลับเช่นนั้นหรือ?
“พี่ใหญ่ พาคนในครอบครัวออกไปจากข้างหลังซะ ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด”
ฟางไห่เซิงชะงักไป คำพูดนี้ของพ่อหมายความว่าอย่างไร?
นี่เป็นปัจจัยที่ไม่ส่งผลดีต่อความสามัคคีในกลุ่มตอนนี้เลย ราวกับถูกคนใช้น้ำเย็นราดตั้งแต่หัวจรดเท้า
“พ่อ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีในการบุกเข้าไปอย่างมีชัยชนะ ใกล้จะกำจัดภัยอันตรายได้อยู่แล้ว นี่พ่อคิดจะทำอะไร?”
ฟางจินหยวนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงมีน้ำโห เสียงเบา “ไห่เซิง นายพาไห่ถาง ฟางไห่อิง ฟางเหมี่ยวและคนอื่นๆ ออกไปจากตรงนี้เถอะ เอาละไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย รีบทำตามที่บอกซะ ห้ามหยุดแม้แต่วินาทีเดียว!”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็งุนงง แม้ว่าจะฉงนใจ ทว่าในเมื่อเป็นคำพูดของฟางจินหยวน จึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะไม่ฟัง จึงทำได้เพียงกลับหลังแล้วเดินจากไป และขณะนั้นเอง ข้างหลังของหญิงหน้ากากพยัคฆ์ก็มีสองคนพุ่งออกมา ขวางทางผู้คนที่กำลังจะเดินจากไปเอาไว้ทันที
“ทำไม? คิดจะเผ่นแล้วงั้นเหรอ?” หญิงหน้ากากพยัคฆ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงถากถาง “เมื่อครู่ทะนงตัวเองมากเลยไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้วเหรอ? ทำไมขี้ขลาดแบบนี้ล่ะ?”
ฟางจินหยวนแค่นหัวเราะหึหึขึ้นมา “สำหรับพวกแก ฉันกับขวังซือก็พอแล้ว!”
“ถ้างั้นในเมื่อพูดมาแบบนี้ คนตั้งมากมายก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่แล้วแหละ ถูกต้องไหม?”
สีหน้าฟางจินหยวนนิ่งไป กักเก็บบันดาลโทสะเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อทำดีด้วยไม่ได้แล้ว ถ้างั้นคงต้องฆ่าพวกแกเท่านั้นแล้ว พอดีเลยตระกูลฟางฉันเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องตักเตือนพวกโง่เขลาบางคนด้วย ตระกูลฟางไม่ใช่ผู้อ่อนแอที่จะยอมให้ใครก็ตามมารังแกได้หรอกนะ ที่อยากจะอวดดีก็เข้ามาอวดดีด้วยได้น่ะ!”
สิ้นเสียง เขาไม่เคยรู้สึกโล่งใจเช่นนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยมต่อหน้าหญิงหน้ากากพยัคฆ์ผู้นี้ ได้ครอบครองสิทธิ์การกระทำก่อน ถึงอย่างไรเกาทัณฑ์เมื่อขึ้นสาย ก็ต้องยิงเต็มเหนี่ยว ต่อให้ต้องบากหน้าก็จำต้องทำ ถึงอย่างไรก็ไร้ซึ่งการถอยหลังแล้ว!
ขี้โม้อย่างนั้นหรือ?
มิใช่ ทุกอย่างนี้มาจากความเชื่อใจในความสามารถของขวังซือต่างหาก
เมื่อขวังซือลงมือ จำต้องชนะทุกศึก!
ประโยคนี้มิได้เป็นคำพูดเล่นๆ เท่านั้น
อีกทั้งเวลานี้ก็เป็นโอกาสดีในการคิดบัญชีย้อนหลังให้ตระกูลฟางอีกด้วย ประจวบเหมาะกับที่ตระกูลฟางก็ต้องการที่จะพิสูจน์ให้ตนเองสักครั้ง มิเช่นนั้นผู้อื่นจะคิดว่าตระกูลฟางเป็นเพียงพี่ใหญ่ของวงการธุรกิจเท่านั้น และเพิกเฉยต่อความน่ายำเกรงของตระกูลฟางไป
การจำเป็นต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มิใช่การเข้าป่าเพื่อไปเป็นโจร เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการพูดใหม่เท่านั้น สำหรับหญิงหน้ากากพยัคฆ์นั้น ภายในใจของเขากลับไม่มีความมั่นใจ
“ขวังซือ จัดการสองคนนั้นก่อน” ฟางจินหยวนตะโกนบอกขวังซือด้วยความหนักแน่น
ขวังซือคำรามขึ้นมา จากนั้นก็วิ่งพุ่งเข้าไปหาสองคนนั้น และในช่วงเวลาอันสั้นที่ขวังซือขยับร่างกายนั้น หญิงหน้ากากพยัคฆ์ก็ขยับร่างกายเช่นกัน!
ยามไม่เคลื่อนไหวแลดูสงบนิ่ง ครั้นเมื่อเคลื่อนไหวแล้วกลับคล่องแคล่วราวกับกระต่าย!
หญิงหน้ากากพยัคฆ์สมควรที่จะได้รับคำชมเช่นนี้ เธอเดินเข้าหาฟางจินหยวนตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทุกประการ อีกทั้งรอบๆ ร่างกายมีพลังอำนาจอันเฉียบขาดแผ่ซ่านออกมาเงียบ ๆ ราวกับว่าผู้ที่เดินเข้ามานั้นมิใช่สตรี แต่เป็นภูเขาลูกใหญ่ โดยที่ภูเขาลูกนี้บีบรัดพวกเขาจนยากที่จะหายใจ
“ฆ่าฉันงั้นเหรอ? ตลกละ ฉันจะให้พวกแกได้เห็นว่าอะไรคือความน่ากลัวที่แท้จริง!”
จากนั้นเธอก็ยื่นแขนขาวบริสุทธิ์ออกมาสองข้าง บีบเพียงเล็กน้อย คนทั้งตระกูลฟางก็รับรู้ได้ถึงพละกำลังอันแรงกล้าที่กดทับอย่างรุนแรงเข้ามาทันทีทันใด กระดูกของทุกคนเกิดเป็นเสียงดังกรอบขึ้นมา ราวกับว่าต้องการที่จะบีบจนคนทั้งตระกูลฟางแหลกละเอียดอย่างไรอย่างนั้น
แข็งแกร่ง!
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ช่างอาจหาญแข็งแกร่งเสียจริง!
มีเพียงขวังซือเท่านั้นที่คำรามเสียงทุ้มต่ำอยู่ไม่หยุด เขาเข้าไปกำบังพลังกดทับนี้โดยตรง
ปังปังปัง…
เสียงโครมครามดังขึ้นมา ผู้คนตระกูลฟางเริ่มทนต่อพลังกดทับอันนี้ไม่ได้แล้ว ทุกคนล้วนล้มพับลงไปกองอยู่บนพื้น หายใจหอบระรัวกันยกใหญ่ ราวกับถูกคนโยนเข้าไปในคอมเพรสเซอร์อย่างไรอย่างนั้น!
“เหอะๆ …” หญิงหน้ากากพยัคฆ์แค่นหัวเราะอย่างเย็นชาไม่หยุด “ผู้นำตระกูลแห่งตระกูลฟาง แกนี่ทำให้ฉันคาดไม่ถึงจริงๆ สายตาดีเฉียบแหลมเสียจริง รู้ว่าตัวเองหนีรอดจากความตายได้ยาก ยังคิดที่จะปกป้องลูกหลานของตระกูลฟางไว้อีก ช่างเป็นสไตล์ของตระกูลที่มีชื่อเสียงและสถานะสูงส่งเสียจริงนะ ก็แค่น่าเสียดาย…จึ๊จึ๊…ในเมื่อแกปกป้องครอบครัวตระกูลฟางเช่นนี้ งั้นฉันก็ไม่รังเกียจที่จะนำแกมาใช้เป็นเครื่องสังเวยคนแรก!”
นี่ต้องการจะประลองศึกชี้ชะตาแล้วเช่นนั้นหรือ?
ในเวลานี้ สีหน้าของฟางจินหยวนตึงเครียดถึงที่สุด ความรู้สึกเป็นกังวลผุดขึ้นมาอยู่บนใบหน้าที่ตึงเครียด เขาหันหน้าไปมองขวังซือตามสันชาตญาณ ฝากฝังความหวังทั้งหมดไว้ที่เขาแล้ว
“หม่างเทียน ฆ่า ไม่ต้องเหลือไว้แม้แต่คนเดียว!”
หญิงหน้ากากพยัคฆ์เอ่ยประกาศสุดท้ายอย่างเด็ดขาด อันที่จริงก่อนหน้านี้ เธอไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลอันใดมากมายถึงเพียงนี้เลย ทว่าในเวลานี้ ไม่ทราบว่าเนื่องจากอันใด ภายในใจของเธอจึงเริ่มไร้ความมั่นใจขึ้นมาเสียแล้ว ราวกับจะมีเรื่องไม่ดีอันใดเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกกระส่ายกระสับภายในใจทวีรุนแรงขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ ทำให้เธอ หวาดกลัวและกระส่ายกระสับ
คนสิบคนมาล่าสังหารถึงที่ ภายในเวลาอันรวดเร็วก็ถูกทำลายทิ้งห้าคน ทว่าสิ่งนี้มิใช่เรื่องที่ทำให้เธอต้องเป็นกังวลแต่อย่างใด ชีวิตและความตายถูกกำหนดโดยโชคชะตา โดยเฉพาะคนอย่างพวกเขาที่ ‘ออกมาเร่ร่อน’จึงเห็นความเป็นความตายเป็นเรื่องปกติไปตั้งนานแล้ว การตายมิใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การเกรงกลัว แม้ว่าขวังซือจะแข็งแกร่งแต่นี่มิใช่สิ่งที่เธอเป็นกังวล ความรู้สึกกระส่ายกระสับนี้เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกของเธอทั้งนั้น