เย่เฟยกำหมัดทั้งสองแน่น เห็นใครก็ต่อย เมื่อเขาและพลเอกแห่งยุโรปเข้าไปในสนามรบก็ตกอยู่ในสภาพการทำสงครามอันบ้าคลั่ง
ฆ่าคน ฆ่าคน ฆ่าคน! ในแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยการเข่นฆ่า อยากที่จะฆ่าคนที่มีชีวิตอยู่ทั้งหมดในสนามรบให้ตายไม่เหลือ
เมื่อเห็นทั้งสองเข้าสนามรบแล้ว แม้ว่าชายรูปงามจะมีเหตุผลมากมาย เขาก็ต้องเข้าร่วมการสู้รบครั้งนี้อยู่ดี
ไม่นาน สามคนยืนอยู่ตรงหน้าของฟางเหยียนอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กัน พวกเขาขัดขวางทางไปของฟางเหยียน
ฟางเหยียนหยุดลงโดยอัตโนมัติ แล้วโยนศพสองศพที่อยู่ในมือไป ศพสองศพนั้นเหมือนลูกเจี๊ยบอย่างไรอย่างนั้น เมื่อถูกเขาโยนก็ลอยไป
ความเย็นชาบนใบหน้าของเขา แววตาแดงก่ำ นั่นคืออยากฆ่าคนจนเลือดขึ้นหน้า แววตาของเขา ค่อยๆฟื้นกลับมา เริ่มมีชีวิตชีวาจ้องมองไปที่สามคนนั้น สุดท้าย แววตาของเขามองไปที่เย่เฟย แล้วกล่าว “ที่แท้ก็แก!”
เย่เฟยเงยหน้าขึ้น รู้สึกว่าการคนนี้จำตัวเองได้ เป็นเกียรติอย่างหนึ่ง
เขากล่าวอย่างอกผ่าไหล่ผึ่งว่า “ใช่ ฉันเอง! แกติดค้างฉัน ต้องชดใช้!”
ตอนพูด เย่เฟยกัดฟันแน่ เหมือนกับว่าเขาจะกลืนกินฟางเหยียนอย่างเป็นๆ
ฟางเหยียนไม่ตอบเขา เขาได้มองไปที่พลเอกแห่งยุโรปอีกแล้วถาม “สันนิษฐานว่าคนนี้คือคนนั้นที่มาล้างแค้นแทนผู้ใต้บังคับบัญชาของแกสินะ? เป็นใครนะ? พลเอกแห่งยุโรปใช่มั้ย?”
พลเอกแห่งยุโรปถูกเรียกชื่อ แต่แววตาทั้งสองแดงก่ำแล้ว เขากัดริมฝีปากกล่าว “ใช่!”
ฟางเหยียนพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าว “ฉันกำลังเศร้าที่พวกแกไม่มาพอดีเลย ในเมื่อมากันพร้อมแล้ว งั้นก็ตายพร้อมกันเลยละกัน! ผู้ใต้บังคับบัญชาของแกทำผิดที่ประเทศหวา เพียงพอที่จะให้ฉันฆ่าแกไปด้วยเลย ตอนนี้แกได้พาคนมารุกล้ำเขตแดนประเทศหวาของฉันอีก นี่มันเป็นการบดขยี้ฉันโดยสิ้นเชิง ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนไม่มีใครไม่มีชีวิตรอดไปได้”
ชายรูปงามรอให้ฟางเหยียนมองตัวเอง ใครจะรู้ว่าเขาจะไม่มองมา ไม่พูดอะไร เมื่อนึกถึงจุดนี้ ชายรูปงามก็โมโหขึ้นมา ชี้ชัดสองคนนั้นแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะไม่พูดถึงตัวเอง ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงรีบกล่าวว่า “แกลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเป็นใคร?”
ฟางเหยียนเพิ่งจะเลื่อนสายตาไปยังร่างกายของชายรูปงาม หลังจากมองไปหลายวินาที จึงกล่าวว่า “รู้ คนตายคนหนึ่ง!”
“แก…” ชายรูปงามรู้สึกว่าตัวเองถูกเหยียดหยาม แต่เขาเคยเห็นความยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ได้ฟังเรื่องที่อีกฝ่ายฆ่าจอมพลสิบประเทศ ยิ่งทำให้เขาตกใจอ้าปากค้าง
“ลงมือเถอะ! ฆ่าพวกแกเสร็จ ฉันยังต้องไปล้างบางเพลิงเสวนอีก” ตอนพูดคำนี้ สายตาของเขามองไปที่ชายรูปร่างโดยปริยาย เขารู้อยู่แล้วว่าชายรูปงามเป็นคนที่เพลิงเสวนส่งมา
และแล้วสีหน้าของชายรูปงามก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่แว็บเดียวก็กลับมาเหมือนเดิม
“อ้า!” พลเอกแห่งยุโรปกำหมัดทั้งสองแน่นโจมตีไปที่ฟางเหยียนอย่างรุนแรง เย่เฟยเอามีดสั้นสองด้ามออกมา ชายรูปงามถือกระบองสีทอง ทั้งสามพุ่งฆ่าฟางเหยียนโดยพร้อมเพรียงกัน นี่เป็นการประจันหน้าของสามนายพลกับจอมพลของสำนักเจ็ดพิฆาต เป็นฉากที่เห็นได้น้อยมากเป็นอย่างยิ่งในสนามรบ
ทั้งสามล้วนไม่ใช่อาวุธในปัจจุบัน แต่เลือกที่จะใช้วิชาต่อสู้ที่ดั้งเดิม อาวุธแหลมคม สำหรับยอดฝีมือจริงๆ อาวุธแหลมคมแข็งแกร่งกว่าอาวุธสมัยใหม่มากๆ
คนสามารถหลบการโจมตีของกระสุนได้ แต่กลับหลบการฟันของอาวุธแหลมคมไม่ได้ แน่นอน คนที่ใช้อาวุธแหลมคม แต่เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างน้อยก็ต้องอยู่เหนือกว่าระดับต้าชี่ ไม่งั้นก็ไม่มีสิทธิ์ได้ใช้อาวุธแหลมคมเลยแม้แต่น้อย
คนที่ต่อสู้ตามท้องถนนทั่วไปก็ใช้อาวุธแหลมคม แต่คนพวกนั้นเทียบกับผู้แข็งแกร่งไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เห็นสามคนที่โจมตีเข้ามาทางตัวเอง ฟางเหยียนตั้งฝ่ามือขึ้น ในฝ่ามือของเขาปรากฏเป็นดาบเล่มหนึ่งที่ผุดๆโผล่ๆ ฝ่ามือกลายเป็นดาบ นี่เป็นอาวุธปกติของฟางเหยียนเท่านั้น
ไม่นาน การต่อสู้เริ่มขึ้น ทั้งสี่คนเริ่มต่อสู้กัน การกระทำของทั้งสามแปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และในร่างกายของทุกคนต่างมีแสงที่ต่างสีกันออกไป ความเร็วของฟางเหยียนเร็วยิ่งกว่า สามารถตั้งรับการโจมตีของฟางเหยียนแต่ล่ะครั้งได้
แว็บเดียว การต่อสู้ของพวกเขาค่อยๆเร็วขึ้น เดิมที่สามารถเห็นเงาของคนได้ ทันใดนั้น เห็นเพียงแสงทั้งสีผ่าไปมาในสนามรบ การต่อสู้แบบนี้ สามารถใช้ทั้งโลกต้องตกใจมาอธิบายได้ เร็วมาก ทำให้คนตาลายสับสน
และแล้ว หลังจากการโจมตีที่ดุเดือดรอบแรก ร่างกายของทั้งสี่แตกต่างกัน สามคนเหงื่อไหลไคลย้อย แล้วยังถูกฟันด้วยดาบหลายที่อีกด้วย หันกลับมาที่ฟางเหยียน ร่างกายไร้ซึ่งการบาดเจ็บ แม้กระทั่งการหอบหืดก็ไม่มี
ความแตกต่างแบบนี้ทำให้สามคนเริ่มรู้สึกขี้ขลาดขึ้นมาบ้างแล้ว เย่เฟยที่เดิมทีอยากฆ่าฟางเหยียนอย่างตั้งมั่นก็ได้เห็นความแข็งแกร่งของฟางเหยียนเข้าให้แล้ว เขาก็รู้ ว่าทำไมหลังจากที่คนของสำนักเจ็ดพิฆาตพวกนี้เห็นเขาแล้วเลือดอันร้อนรุ่มก็ได้ปะทุขึ้นมาทันใด
ผู้แข็งแกร่งแบบนี้ จะไม่ทำให้เลือดอันร้อนรุ่มปะทุขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่า การที่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคนแบบนี้ สำหรับทหารพวกนั้นแล้ว น่าจะเป็นเกียรติไปทั้งชาติเลยละ! ราชาของสำนักเจ็ดพิฆาต ที่แท้ก็สมคำร่ำลือ!
“ระดับปรมาจารย์?” เย่เฟยบ่นพึมพำ “แกคือยอดฝีมือระดับปรมาจารย์?”
ฟางเหยียนกล่าวอย่างชิลล์ๆว่า “ระดับไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าพวกแกทั้งสามใกล้จะเป็นคนตายแล้ว!”
พูดจบ ที่ฝ่ามือของเขาปรากฏแสงสีทองขึ้นมา จากนั้นเห็นมือทั้งสองของเขาพนมมือ ระหว่างมือที่พนมทั้งสองปรากฏเป็นกระบี่ยาวที่ ไม่ชัดเจน จากนั้นการปรากฏของกระบี่ยาวนี้ จู่ๆท้องฟ้าก็เกิดเสียงฟ้าร้องขึ้น
ทันใดนั้น รอบๆเริ่มเกิดพายุที่แปลกประหลาดขึ้น ทำให้สนามรบที่เดิมทรายฟุ้งกระจายกลายเป็นยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก เมื่อเห็นท่าทีของเขา ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเขาจะเผยให้เห็นการเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้คนแล้ว
แม้สามคนจะได้รับบาดเจ็บมาแล้วบ้าง แต่ล้วนเป็นบาดแผลภายนอก สำหรับคนที่ผิวหนากล้ามเนื้อแน่นอย่างพวกเขา ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงแม้แต่น้อย พลเอกแห่งยุโรปกำหมัดทั้งสองแน่น หมัดของเขากลายเป็นไฟที่ลุกโพลง ในเปลวไฟที่ลุกโพลงนั้นราวกับปรากฏนกฟีนิกซ์ที่ไม่ชัดเจนขึ้นมา เขาก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน ยอดฝีมือที่สามารถสะเทือนสนามรบได้
เย่เฟยในมือถือมีดสองด้าม เริ่มแสดงกิริยาอย่างคุ้นเคยและบ้าคลั่งอยู่กับที่ออกมา ตอนแรกการกระทำนี้ช้าๆ ต่อมายิ่งอยู่ยิ่งเร็วขึ้น ยิ่งอยู่ยิ่งเร็วขึ้น และแล้วก็ถึงจุดของมันทันใด จากการแสดงของการกระทำนี้ เกิดเป็นดาบใหญ่ที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้เล่มหนึ่งอยู่เหนือหัวของเขา
ชายรูปงามมือถือกระบอง ก็เริ่มเคลื่อนไหวอยู่กับที่ จากการกระทำของเขาทำให้ ด้านหลังของเขาปรากฏแผนผังแปดทิศขึ้น สิ่งที่มือของเขาถือคือกระบองห้าผีแปดทิศและวิชากระบองที่เขาร่ายรำเรียกว่ากระบองห้าผีแปดทิศนี่เป็นวิชากระบองที่มีพลังสังหารแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อย่างน้อยคนที่เขาพบเจอ ไม่มีใครสามารถต้านทานไว้ได้
สี่คน ปล่อยทักษะที่ตัวเองถนัดที่สุดออกมา การต่อสู้ครั้งนี้ได้มาถึงจุดสุดยอดที่สูงสุดแล้ว!
ตอนนี่ ทั้งสนามรบกระจายไปด้วยความเงียบงัน ที่นี่ยิ่งเหมือนกับสนามรบชูร่า ยิ่งเหมือนกับนรกบนโลกเข้าไปใหญ่
ทะเลทรายลอยทั่วฟ้า ความโหดร้ายกำลังจะมา!
การต่อสู้ของทั้งสี่คนจะกระทบกับตอนจบของสงครามนี้ ดังนั้นไม่นานสงครามนี้จะปิดฉากลง