เขาจ้องโจวปินคางอย่างเย็นชา จากนั้นได้มองไปที่ฟางเหยียน
ยกหมัดทั้งสองขึ้น แล้วกล่าวอย่างสุภาพมีมารยาทว่า “ถ้าฆ่าคุณ ผมจะมีโอกาสได้เป็นจอมพลโผ้จวินของประเทศหวาจริงๆใช่มั้ย?”
ฟางเหยียนไม่ได้พูดอะไร โจวปินคางได้ถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฉันถามแกอยู่นะ?เป้าหมายที่แกเข้าใกล้ตระกูลโจวคืออะไรกันแน่?”
เมื่อเสียงนี้ระเบิดออกมา สิ่งของรอบข้างเริ่มขยับไปมา ด้วยเฉพาะระหว่างฝาปิดของแก้วชากับแก้วชากระทบกันอย่างสุดๆ ดังนั้นจึงเกิดเป็นเสียงแกร๊กๆๆดังขึ้น
ใครก็ดูออก ว่านี้คือท่าทางโมโหของโจวปินคาง
มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เขาเข้าร่วมการประชุมก็เกิดเรื่องประมาณนี้ขึ้น มีคนยั่วเขา ตอนนั้นเขาหน้าตาบอกบุญไม่รับ ตะโกนใส่สถานที่แห่งนั้น โต๊ะของที่นั่นล้มลงโดยตรง
เหตุการณ์นี้อยู่ในใจของคนที่เข้าร่วมการประชุมเป็นความทรงจำที่ไม่เลือนหายไป ทำให้พวกนั้นที่สงสัยในความสามารถของตระกูลโจวล้วนไม่กล้าสงสัยอีกต่อไป
ในใจของทุกคนว้าวุ่น แต่สำหรับวัยรุ่น ไม่รู้สึกแปลกไปนานแล้ว
วัยรุ่นมองโจวปินคาง หัวเราะขึ้น แล้วกล่าว “ก็ต้องเพื่อได้รับความเชื่อมั่นจากตระกูลโจว แล้วให้ตระกูลโจวสวามิภักดิ์ต่อฉันไงล่ะ”
“ไร้สาระ!” โจวปินคางฮึดฮัดออกมา เสียงโมโหนี้ ทำให้คนที่อยู่ในห้องโถงเกิดความตึงเครียดขึ้นในใจอีกครั้ง เขาฮึ่มออกมา แล้วตะคอกเสียงดังว่า “ตระกูลโจวของฉันจงรักภักดีจากรุ่นสู่รุ่น ซื่อสัตย์ต่อจอมพลของประเทศหวา แกใช้วิธีการสกปรกชั้นต่ำแบบนี้ให้ได้มาเพื่อความเชื่อใจของตระกูลโจว มันช่างไร้ยางอาย ไร้ยางอายจริงๆ!”
วัยรุ่นดูแคลนเหอะๆออกมา พยายามปล่อยวางจิตใจของตัวเอง แล้วกล่าวอย่างสบายใจมากว่า “ถ้าไม่เจอเข้ากับจอมพลโผ้จวินตัวจริง ตระกูลโจวของแกก็ไม่ใช่เป็นอาวุธของฉันไปแล้วงั้นเหรอ?”
“พูดได้หน้าไม่อาย!” โจวปินคางตะคอกต่อ กล้ามเนื้อแก้มทั้งสองบนใบหน้าสั่นอย่างไม่หยุด ตอนนี้เขาแทบจะอยากดื่มเลือดของคนนี้ แทบจะควักเอ็นของเขาออกมาให้ได้ เพราะนี่เป็นการเหยียดหยามอันใหญ่หลวงต่อตระกูลใหญ่
เหมือนกับที่ฟางเหยียนคาดเดาไว้เป๊ะๆ ว่าที่แท้เขาทำเพื่ออยากได้ความเชื่อใจของตระกูลโจว
ถึงแม้จะเป็นตัวปลอม แต่เขาไม่ขี้ขลาดแม้แต่น้อย จุดนี้มีหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหมือนฟางเหยียน เห็นได้ว่าเขาก็เป็นคนที่มีความกล้าหาญ จะผิดก็ผิดที่ เขาไม่ควรปลอมตัวเป็นคนที่ตนไม่มีสิทธิ์ที่จะปลอมตัว
“สารเลว สารเลว งั้นมึงแม่งจะหากูทำไม?” โจวชื่อเจี๋ยใกล้จะร้องออกมาแล้ว ยังไงเขาก็ไม่คาดคิดว่าคุณชายของตระกูลฟางนั้น คุณชายของหวังชิงชิงจะมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้
ที่น่ากลัวที่สุดคือหลังจากที่คนนี้ปลอมเป็นจอมพลโผ้จวินแล้วนั้น ยังมาหาตนอีก
วัยรุ่นมองโจวชื่อเจี๋ยมองอีก แล้วกล่าว “เพราะทั้งตระกูลโจว แกหลงกลง่ายที่สุดยังไงล่ะ พูดอีกนัยคือ ตระกูลโจวตระกูลนินจาของพวกแก แกเป็นคนที่อวดฉลาดที่สุดไงล่ะ แกอยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลของพวกแกมาก ดังนั้นแกจะใช้ทุกวิถีทางแสดงจุดยืนของตัวเองออกมาอย่างตั้งใจ ใจคิดเพียงแค่สามารถตีสนิทฉันได้ แกก็สามารถได้รับความเชื่อใจส่วนหนึ่งต่อหน้าของผู้นำตระกูลแล้ว ความจริงแกกับลูกชายของแกเหมือนกันนะ ล้วนโง่เขลาสุดๆ”
อัปยศ อัปยศอย่างแท้จริง นี่เป็นความอัปยศของโจวชื่อเจี๋ยที่สุด
“เลว ตายซะ!” โจวชื่อเจี๋ยเกรี้ยวกราด คำรามใส่วัยรุ่นแล้วจู่โจมไป จู่ๆวัยรุ่นก็โบกมือ!ทันใดนั้นเห็นเพียงโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของโจวชื่อเจี๋ยลอยมา ในตอนที่โจวชื่อเจี๋ยวิ่งไปที่วัยรุ่น โต๊ะนั้นพุ่งชนเข้าทางหลังของโจวชื่อเจี๋ยอย่างรุนแรง ได้ยินเพียงเสียงปังดังขึ้น โต๊ะแตกเป็นเสี่ยงๆ และโจวชื่อเจี๋ยถูกชนเข้าอย่างหนักจนล้มลงกับพื้นไป
วัยรุ่นมองโจวชื่อเจี๋ยที่กระอักกระอ่วนใจ ก็ได้ใช้คำพูดเหยียดหยามต่ออีกว่า “แกไม่เพียงแค่เป็นไอ้งั่งนะ แล้วยังเป็นไอ้สวะอีกด้วย!ฝีมืออย่างแก ไม่มีสิทธิ์จะมาต่อสู้กับฉันหรอกนะ ในฐานะที่เป็นตระกูลนินจา มีสวะแบบนี้อยู่ ถ้าเป็นฉัน ฆ่าแกไปนานแล้วล่ะ”
จนปัญญาที่สุดก็โจวชื่อเจี๋ยแล้วล่ะ ทั้งอยากทุบคนนี้อย่างรุนแรงสักตั้ง ทั้งเอาไม่อยู่ ที่น่าเศร้าที่สุดคือ พลางวิ่งไปที่โจวชื่อเจี๋ย
เขายกมือขึ้นใส่วัยรุ่นด้วยสายตาเคียดแค้น แล้วตวาด “แกไอสารเลว นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำพ่อฉัน!”
วัยรุ่นมองโจวเจิ้งอย่างดูถูก แล้วกล่าว “แกก็ไม่มีสิทธิ์สู้กับฉันเหมือนกัน ก็แค่ไอ้สวะที่หลงตัวเองเท่านั้น ปกติรังแกคนทั่วไปก็ว่าแล้ว เจอคนแบบฉัน จะให้ดีแกหลบไปอีกฝั่งอย่างเงียบๆจะดีกว่านะ”
โจวเจิ้งถูกฟางเหยียนปรามจนแย่แล้ว เขาจะเสียเกียรติแบบนี้อีกได้อย่างไรกัน
เขากัดฟันตะคอกว่า “ฉันจะฆ่าแก!”
ตะโกนจบ เขาวิ่งไปทางวัยรุ่นอย่างเร็ว ร่างกายของวัยรุ่นถอยหลังไปหลายก้าว จู่ๆ มีพลังไร้รูประเบิดออกมาจากร่างกายของเขา เหมือนกับกำแพงเหล็กขวางไว้ด้านหน้าของวัยรุ่น
ได้ยินเพียงเสียงปังดังขึ้น ร่างกายของโจวเจิ้งชนเข้ากับ“กำแพงเหล็ก”นั่นให้อย่างจัง เมื่อกี๊เขาเกรี้ยวกราดเกินไป ความเร็วที่วิ่งเร็วมาก แล้วยังพร้อมไปด้วยความอาฆาต ไม่คาดคิดว่าร่างกายของตัวเองจะชนเข้ากับกำแพงชี่เข้าอย่างรุนแรง หลังจากที่ชนแล้ว ร่างของโจวเจิ้งก็ลอยไป ล้มลงกับพื้นอย่างแรง แล้วกระอักเลือดออกมา
“ไม่ประมาณตน!” วัยรุ่นดูถูกโจวเจิ้งต่อแล้วกล่าว “ฉันว่าตระกูลโจวล่มสลายแล้วล่ะ ไม่มีความกล้าของตระกูลนินจาเลยแม้แต่น้อย ไอ้สวะแบบนี้ ยังกล้าถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะอีกเหรอ?”
พูดจบ สายตาของเขามองไปที่ฟางเหยียนโดยปริยาย ทุกอย่างเกิดขึ้นในสายตาของฟางเหยียน เหมือนกับเด็กเล่นพ่อแม่ลูกอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่คิดที่จะไปสนใจสวะสองตัวนั่นแม้แต่น้อย
“ว่ามา แกอยากตายยังไง?จะจัดการเอง?หรือให้ฉันลงมือ?” ฟางเหยียนถามด้วยใช้น้ำเสียงที่ดูหมิ่น
วัยรุ่นฮึมออกมา แล้วกล่าว “ฉันพูดไว้แล้วไม่ใช่เหรอ มีเพียงฆ่าแก ฉันจึงจะเป็นแกได้อย่างเต็มตัว!”
“เด็กน้อยผู้โง่เขลา นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดจาสามหาว!วันนี้ฉันเทียนหลังจะฆ่าแก สังเวย!” เทียนหลังตะคอกออกมา แล้วพุ่งเข้าไปที่วัยรุ่น แต่วิกฤตในครั้งนี้ ได้ถูกฟางเหยียนห้ามไว้
เทียนหลังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนนี้ ให้เขาต่อสู้ สู้ตัวเองจัดการเองดีกว่า จะได้ไม่เกิดการทำร้ายของผู้บริสุทธิ์
“ผมไปเอง!” ฟางเหยียนกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นเขาเดินไปที่วัยรุ่น
วัยรุ่นโบกมืออีกครั้ง เห็นโต๊ะสามตัวลอยขึ้นจากพื้น ลอยอยู่ในอากาศ ฉากนี้ค่อนข้างเหมือนกับหนังแฟนตาซี แต่กลับเกิดขึ้นจริงต่อหน้าของทุกคน ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ใครจะเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีการต่อสู้ที่เต็มที่แบบนี้ สติของทุกคนล้วนตึงเครียดขึ้นมา กลัวว่าเพียงแค่สติหลุดนิดเดียว ตนก็จะต้องตายไป
จากนั้น วัยรุ่นก้าวขาทั้งสองข้างออก แล้วกล่าว “เตรียมตัวตายได้เลย! จอมพลโผ้จวิน”
เพิ่งพูดจบ โต๊ะหลายๆตัวนั้นต่างพากันพุ่งมาที่ฟางเหยียน ฟางเหยียนไม่ขยับใดๆ ในตอนที่โต๊ะกำลังจะชนตัวเอง จู่ๆ เข้าตั้งฝ่ามือ ได้ยินเพียงเสียงฟิวๆๆสามครั้ง
โต๊ะถูกฟันขาด ต่างร่วงลงกับพื้น แต่ฟางเหยียน ยังคงยืนอยู่ไม่ขยับใดๆ
ทุกคนต่างกลั้นหายใจ จ้องมองการต่อสู้ของทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
สำหรับผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ นี่เป็นการประลองฝีมือที่ฝีมือเท่าเทียมกัน เพราะวัยรุ่นนั่นก็สุดยอด ต่อให้เขาจะถูกจับได้แล้ว ก็ไม่ว้าวุ่นก็แต่อย่างใด เห็นได้ว่าฝีมือของเขาไม่ด้อยไปกว่าจอมพลโผ้จวินตัวจริงตรงหน้านี้เลย
ไม่ว่าทั้งสองคนใครจะแพ้ใครจะชนะ สำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว การต่อสู้แห่งยุคกำลังจะเริ่มขึ้นต่อหน้าของผู้คนแล้ว!