เมื่อได้ยินดังนั้น โจวปินคางที่เดิมเลือกที่จะนิ่งเงียบ เฝ้ามองสถานการณ์เตรียมรับมือนั้นก็ได้สติขึ้นมา อันที่จริงเมื่อฟางเหยียนเอ่ยขึ้นมาว่าตนเองเป็นโผ้จวินแห่งประเทศหวาตัวจริง ก็เริ่มสั่นคลอนแล้ว เนื่องจากเขามักจะรู้สึกว่าฟางเหยียนผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นเมื่อโจวชื่อเจี๋ยต้องการที่จะลงมือโจมตีฝ่ายนั้น เขาจึงไม่อนุญาต ประจวบกับเมื่อสักครู่นี้ที่ฟางเหยียนเอาชนะสองคนนั้นได้ ก็ยิ่งทำให้โจวปินคางประหลาดใจยิ่งขึ้น
แน่นอนว่า ไม่เว้นจากฟางเหยียนเป็นเพียงยอดฝีมือ จอมพลแห่งประเทศหวาตัวจริงเป็นชายหนุ่มวัยรุ่น
เขาลุกจากเก้าอี้ยืนขึ้น เอ่ยว่า “รีบไปเชิญเข้ามา!”
ใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มอันมั่นใจขึ้นมา เขามองสำรวจฟางเหยียน พร้อมเอ่ยด้วยท่าทางที่สูงส่งเหนือกว่า “คำโกหกของแกใกล้จะถูกเปิดโปงแล้ว จุดจบที่ต้องเผชิญในลำดับต่อมา เกรงว่าไม่ต้องให้ฉันพูดแกก็คงจะรู้ใช่ไหม? ตอนนี้แกยังมีโอกาสที่จะยอมรับผิด ขอแค่แกขอโทษท่านโจวต่อหน้าทุกคน ฉันก็จะปล่อยแกไป”
“นายน้อย!” หวังชิงชิงสาวเท้าเดินเข้ามาหาฟางเหยียน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ ฟางเหยียนมองแก้มของเธอ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เชื่อผม!”
เป็นคำพูดห้าพยางค์ที่สงบนิ่งเช่นนี้อีกครา ขณะที่นายน้อยเอ่ยคำว่าเชื่อผมสองคำนี้ออกมานั้น ก็จะสามารถทำให้คนรู้สึกถึงความอบอุ่นใจ ก็เหมือนกับครั้งที่แล้วที่ตระกูลเซียว นายน้อยก็พูดเช่นนี้ออกมา อีกทั้งภายในคำพูดของนายน้อยไม่ได้มีเพียงคำปลอบโยน
ฟางเหยียนยังเป็นการรับปาก และความมั่นใจอีกด้วย
นี่คือความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดที่นายน้อยมอบในตน!
โจวเจิ้งจ้องหวังชิงชิงด้วยความโกรธเคือง หากภายในแววตาของเขาสามารถปล่อยลำแสงออกมาได้ ลำแสงนี้อาจจะแผดเผาทั้งสองคนเป็นที่เรียบร้อย ที่น่าเสียดายก็คือ ลำแสงนี้เปล่งออกมาไม่ได้เสียที ดังนั้นเขาทำได้เพียงขึงตาใส่
ขณะนี้เอง ก็มีชายสวมชุดทหารสีเขียว ท่าทางเคร่งขรึม แก้มสองข้างมีหนวดเคราชัดเจน หนวดนี้ทำให้เขามองดูคล้ายกับหมาป่าตัวหนึ่ง
รูปร่างของเขาท้วมใหญ่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ให้ความรู้สึกที่ว่ามาจากนักรบกองทัพ เขาเพิ่งจะเดินมายังหน้าประตู ก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งกำมืออยู่หน้าอก จากนั้นก็เปล่งเสียงดังฟังชัดรายงานว่า “รายงาน โผ้จวิน รายงานด่วนและขอความช่วยเหลือจากด่านชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ กองทัพขนาดใหญ่ศัตรูภายนอกจำนวนสามแสนรายใกล้เข้ามาประชิด กระผมเทียนหลังมาตามหาโผ้จวินโดยเฉพาะ เพื่อเรียนเชิญโผ้จวินออกสนามรบกำจัดคนชั่ว!”
เมื่อคำพูดนี้เปล่งออกมา ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างก็ตื่นตระหนกตกใจ แต่ละคนจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยสีหน้างงงวย พวกเขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน อยู่ๆ ก็บอกว่ามีกองทัพขนาดใหญ่จำนวนสามแสนรายประชิดเข้ามา นี่เป็นฉากที่จะมีเฉพาะตอนถ่ายหนังเท่านั้น
สมัยนี้ถือว่าเป็นยุคสันติแล้ว จะมีกองทัพใหญ่สามแสนรายเข้ามาประชิดได้อย่างไรกัน
ทว่าสายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมาอยู่บนตัวของชายหนุ่มผู้นั้น หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดขึ้นเล็กน้อย คิดภายในใจว่าช่างมาได้ประจวบเหมาะเสียจริง ใช้วิธีเช่นนี้เพื่อทำให้ตนถอนตัวออกได้ ช่างมืออาชีพเสียจริง
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย เทียนหลังผู้นี้ช่างคล้ายหมาป่าเสียจริง ไม่แน่ว่าตนเองคงจะคล้ายกับเทพคนนั้นมากจริงๆ ก็เป็นได้ เมื่อนึกได้ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึกอยู่ในใจ จากนั้นก็มองไปยังเจ้าตระกูลโจวที่อยู่บนเวที เอ่ยว่า “ท่านโจว รายงานด่วนขอความช่วยเหลือจากตะวันตกเฉียงเหนือ ผมจะต้องกลับไปขับไล่ข้าศึกศัตรูเสียก่อน! วันหลังผมจะต้องมาเยี่ยมเยียนใหม่อีกครั้งเป็นแน่”
สิ้นเสียงเขาก็ไม่รอให้โจวปินคางตอบสนองใดๆ กลับหันหลังไปทันที เดิมทีคิดที่จะจัดการคนของตระกูลโจว ครั้นคิดไม่ถึงว่าจะเจอเจ้าหมอนี่ สายตาคู่นั้นของเขามองไปยังฟางเหยียนอีกครั้ง และเอ่ยว่า “รอก่อนเถอะ พวกเราจะต้องได้เจอกันในอีกไม่ช้าแน่นอน”
สิ้นเสียง เขาก็มองไปยังชายหนุ่มที่คุกเข่าหนึ่งข้างอยู่บนพื้นผู้นั้น เอ่ยว่า “เทียนหลัง ไป!”
โจวชื่อเจี๋ยรีบเอ่ยอย่างอ่อนน้อม “ขอคำนับส่งโผ้จวิน!”
เดิมโจวเจิ้งอยากจะบอกว่าท่านช่วยฆ่าเจ้าหมอนี้ให้ผมทีได้หรือไม่ หากท่านลงมือเองเขาจำต้องตายสถานเดียวแน่นอน ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ปริปากเอ่ยขึ้น ทำได้เพียงเอ่ยคำนับส่งโผ้จวินตามคุณพ่อตนเท่านั้น
หลายคนในสถานที่มองหน้ากันไปมา ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นตามๆ กัน โค้งคำนับด้วยความสุภาพ เอ่ยว่า “ขอคำนับส่งโผ้จวิน!”
ท่ามกลางการจับจ้องจากทุกคน และการโค้งคำนับ ชายหนุ่มสาวเท้าเดินออกไปข้างนอก เขาไม่รู้เลยว่านี่จะเป็นช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์สุดท้ายของเขา
เพิ่งจะเดินได้ไม่กี่ก้าว เทียนหลังก็เงยหน้ามองชายหนุ่มผู้นั้น ภายในแววตาของเขาได้แผ่ซ่านลำแสงอันร้อนแรงออกมา เจ้าหมอนี่เป็นใคร? ทำไมคนเหล่านี้จึงเรียกเขาว่าโผ้จวิน ดังนั้นเทียนหลังจึงเอ่ยถาม “แกเป็นตัวอะไร?”
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็หยุดชะงัก อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา ภายในใจเต้นตุ้บๆ ระรัว เขารับรู้ถึงความสิ้นหวังเป็นประวัติการณ์!
เขาครุ่นคิด ตัวเองคงไม่ใช่ว่าเจอกับตัวจริงเข้าแล้วหรอกนะ!
ไม่มีทาง องค์กรไม่มีทางเปิดโปงเขา องค์กรไม่มีทางทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้ออกมาได้ เขาได้ทำมาตั้งนานหลายครั้งเช่นนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะล้มเลิกในเวลาเช่นนี้ได้ เขายังมีเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ที่จะต้องไปทำ นี่ไม่ใช่จุดจบของเขา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงชักสีหน้าตะคอกขึ้นมา “แกตาบอดหรือไง? ฉันคือ…”
เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบ ฟางเหยียนก็หันหน้ามาพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้ที่สวมรอยเป็นโผ้จวินแห่งประเทศหวา จัดการตามกฎของทหาร! ใช้เลือดบนหัวของมันเซ่นไหว้ก็แล้วกัน!”
เทียนหลังได้ยินก็ยืนขึ้นมาทันที เอ่ยว่า “รับทราบ โผ้จวิน!”
สิ้นเสียง สีหน้าของเขาก็ถอดสี เขากำหมัดขึ้นทันที ดวงตาทั้งสองก็ปรากฏเป็นแสงอำมหิต จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและดุดัน “ผู้ที่สวมรอยเป็นโผ้จวินแห่งประเทศหวา ประหาร!”
เมื่อคำพูดนี้ของเทียนหลังเปล่งออกมา ทุกคนต่างก็แยกแยะอะไรออกมาได้ การที่เขาฟังคำสั่งจากชายหนุ่มผู้นั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะอธิบายได้ว่า เจ้าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นผู้ที่สวมรอยมา ทว่าผู้ที่มองดูธรรมดาไม่โดดเด่น ท่าทางไม่ค่อยเพียบพร้อมนั้นจึงจะเป็นโผ้จวินแห่งประเทศหวาตัวจริง
หวังชิงชิงก็ประหลาดใจขึ้นมายกใหญ่เช่นเดียวกัน เขาทราบเพียงว่าฟางเหยียนเก่งกาจมาก ทราบเพียงว่าเขาสามารถทำลายตระกูลเซียวได้ ครั้นไม่ทราบเลยว่าเขาเป็นโผ้จวินแห่งประเทศหวา เจ้าคนที่ถูกผู้คนขนานนามว่าเป็นเทพแห่งสงคราม บัดนี้ เธอนึกอะไรบางอย่างออก เหตุใดตอนแรกตระกูลฟางจึงได้ขอร้องเขาให้สืบทอดกิจการของครอบครัว แถมยังก่อสร้างฟางซื่อกรุ๊ปที่เมืองจินโจวให้กับเขาโดยเฉพาะอีกด้วย ต่อให้ฟางซื่อกรุ๊ปจะไม่ได้บริหารอันใดเลย ตั้งอยู่ที่นั่นเฉยๆ รับคำสั่งจากเขา ที่แท้ก็มาจากสถานะและตำแหน่งอันทรงเกียรติของเขานี่เอง
ตระกูลฟางไม่ได้ทำเพื่อชดเชยการติดค้างกับเขา แต่เพื่อประจบสอพลอเขา! พระเจ้าช่วย นี่เป็นถึงคนที่แม้แต่ตระกูลฟางก็ประจบสอพลอ
บัดนี้ ในที่สุดหวังชิงชิงก็ทราบแล้วว่าตนโง่เขลาถึงเพียงใด ที่แท้คนที่เธอมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะปกป้องไม่เสื่อมคลายก็มีสถานะเช่นนี้
คนแบบนี้ จำเป็นต้องให้เธอมาปกป้องด้วยหรือ? เพียงแค่เขาออกคำสั่งคำเดียว ต่อให้ตระกูลโจวจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็สู้เขาไม่ได้
มองดูใบหน้าอันเย็นชาของฟางเหยียน หวังชิงชิงก็เริ่มรู้สึกต้อยต่ำอีกครั้ง เขาคือเทพแห่งสงคราม จะมาต้องตาคนธรรมดาอย่างเธอได้อย่างไรกัน หลายคนที่จะรู้สึกต้อยต่ำอยู่เบื้องหน้าของตน จะรู้สึกด้อยกว่าผู้อื่นหนึ่งขั้น ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฟางเหยียน ความรู้สึกเช่นนี้ หวังชิงชิงได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งแล้ว
ฝ่ายหยางจิ่งเซียนก็ได้สูดหายใจเข้าลึก ตลอดเรื่องที่เกิดขึ้นเขาไม่ได้เอ่ยอันใด เขาฟังคำสั่งจากฟางเหยียนเท่านั้น เฝ้ามองสถานการณ์เตรียมรับมือ แม้ว่าระหว่างนี้เขาจะมีความสั่นคลอนไปบ้าง เคยสงสัยในตัวฟางเหยียน ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็อดกลั้นโทสะเอาไว้ได้
ผลเป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเป็นเทพแห่งสงครามแห่งประเทศหวาตัวจริง คุณสมบัติเฉพาะตนไม่สามารถที่จะทดแทนได้ แม้ว่าคนผู้นั้นจะลอกเลียนแบบได้คล้ายคลึงมาก ทว่าลอกเลียนแบบอย่างไรก็เป็นเพียงการลอกเลียนแบบ
“พ่อ นี่ นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หยางซงเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย