ชายหนุ่มมองไปยังฟางเหยียน เอ่ยว่า “สหาย นายทำตามที่เจ้าตระกูลโจวบอกเถิด! เรื่องบางเรื่องคลาดไปแล้วก็คลาดไปเลย ผู้หญิงเขาก็พูดแล้วว่าไม่อยากให้นายมายุ่งเรื่องนี้ ทำไมนายจะต้องทำเรื่องแบบนี้ด้วยเล่า นำความกล้าในวันนี้ของนายออกไป จากนี้ก็จะเป็นลูกผู้ชายที่สง่าผ่าเผย มีความรับผิดชอบ”
คำพูดของชายหนุ่มทุกคนราวกับนักบุญกำลังโน้มน้าวชายหนุ่มที่หลงทางอยู่ คำพูดคำจาของเขาไม่สามารถที่จะให้ความรู้สึกที่สูงส่งเหนือหัวได้ การกระทำเช่นนี้ของเขาเรียกว่าอะไร? ขโมย? ขโมยท่าทางของตน ยังคิดจะมายุ่งกับตนอีก?
เขาคิดจริงๆ หรือว่าตนเองหรือจอมพลโผ้จวินตัวจริง? หากเป็นผู้อื่น บางทีเขาคงทำสำเร็จไปแล้ว ทว่าวันนี้เขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับโผ้จวินแห่งประเทศหวาตัวจริง เจ้าหมอนี่ช่างน่าขำเกินไปแล้ว ในสายตาของฟางเหยียนเขาก็ราวกับเป็นตัวตลก
ฟางเหยียนจ้องตาของชายหนุ่มผู้นั้น พร้อมเอ่ยถามว่า “แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องของฉันด้วยงั้นเหรอ?”
“ตู้ม!” เมื่อคำพูดนี้สิ้นสุดลง ก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา ณ สถานที่จัดงาน เจ้าหมอนี่ไม่มีความคิดเกินไปแล้ว ทำให้ผู้คนในสถานที่ต้องสั่นไหวโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นถึงเทพแห่งสงครามของประเทศหวาเชียวนะ ในเมื่อมีคนพูดคำพูดเช่นนี้กับเทพแห่งสงครามออกมา
“เจ้า เจ้า เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วหรือไง? ทำไมเขาถึงได้มาพูดกับเทพแห่งสงครามของประเทศหวาแบบนี้ได้”
“แกคิดว่าใครหน้าไหนก็สามารถรู้จักกับเทพแห่งสงครามได้อย่างนั้นเหรอ? เจ้าหมอนี่มีตาหามีแววไม่! เขาไม่รู้จักเทพแห่งสงครามของประเทศหวาด้วยซ้ำ และไม่รู้ด้วยว่าโผ้จวินคือใคร”
“ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำชัดๆ ทำไมหยางกงถึงได้ไปผูกสัมพันธ์กับคนหนุ่มที่หยิ่งยโสแบบนี้ได้นะ นี่มันเป็นการตบหน้าตนเองชัดๆ เลยไม่ใช่เหรอ? เห็นสีหน้าของหยางกงหรือยัง เคร่งขรึมมาโดยตลอด ไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ”
“ยุ่งกับเรื่องแบบนี้แล้ว จะต้องโดนตระกูลโจวเล่นงานเป็นแน่ แกคิดว่าหยางกงยังมีอะไรอยากจะพูดอีกไหม?”
“เฮ้อ! เศร้าใจแทนหยางกงจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะไปรู้จักกับคนหนุ่มที่หยิ่งยโสแบบนี้ได้”
สองพ่อลูกตระกูลโจวรู้สึกขบขันอย่างช่วยไม่ได้ เจ้าหมอนี่หยิ่งยโสไร้มารยาทเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังรนหาที่ตาย เห็นฟางเหยียนตาย เป็นภาพที่สองพ่อลูกตระกูลโจวต้องการเห็นมากที่สุด ความรู้สึกปีติผุดขึ้นมา โจวชื่อเจี๋ยรีบเอ่ยขึ้น “ฉันว่าแกตาบอดสินะ รนหาที่ตายจริงๆ ! จอมพล ท่านเลิกห้ามปรามได้แล้ว เจ้าหมอนี่จงใจรนหาที่ตายชัดๆ ”
“นายน้อย!” อยู่ๆ หวังชิงชิงก็ยกมือขึ้นมาเปิดผ้าคลุมศีรษะออก ดวงตาของเธอมองจ้องไปยังฟางเหยียน ดวงตาสองคู่ประสานกัน ฟางเหยียนเห็นภายในแววตาของหวังชิงชิงเต็มไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า เธอส่ายหน้าให้กับฟางเหยียน เอ่ยว่า “รับปากที่พวกเขาบอกเถอะ คุณรีบออกไปจากที่นี่ คุณสู้พวกเขาไม่ชนะหรอก”
สายตาของฟางเหยียนสังเกตเห็นรอยแดงเจือจางบนใบหน้าของเธอ แถมยังมีความบวมปูดขึ้นมาเล็กน้อยด้วย
เขาสาวเท้าไปเบื้องหน้าครึ่งก้าว เอ่ยถามว่า “พวกมันทำร้ายคุณ?”
หวังชิงชิงส่ายหน้า เอ่ยว่า “ไม่ เปล่า คุณกลับไปเถอะ คุณรีบกลับไปเถอะนะ! คุณสู้กับตระกูลโจวไม่ไหวหรอก รีบไปซะ”
การที่เธอทราบว่านายน้อยทำเพื่อเธอได้จนถึงขั้นนี้ก็พึงพอใจมากเพียงพอแล้ว อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องนึกเสียใจที่ตนฆ่าโจวเจิ้งเพื่อนายน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนคุ้มค่า
ชายหนุ่มผู้ที่สวมรอยเอ่ยต่อว่า “ผู้ที่ไม่รู้เป็นคนไม่ผิด อายุเท่านี้เป็นอายุที่คึกคะนองพอดี ผมไม่มีทางนำคำพูดเดียวมาตำหนิชายหนุ่มวัยรุ่นที่กล้าหาญแบบนี้ได้หรอก ตรงกันข้าม ผมจะรู้สึกชื่นชมชายหนุ่มแบบนี้ด้วยซ้ำ พ่อหนุ่มน้อย ไม่ทราบว่าพ่อหนุ่มน้อยมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร! หลังจากวันนี้หากว่างๆ ฉันจะต้องไปเยี่ยมเยียนครอบครัวถึงบ้าน”
ทุกคำพูดของหมอนี่ ล้วนเปล่งออกมาด้วยท่าทีของผู้ใหญ่ อีกทั้งทุกประโยคล้วนจองหองพองขน เขาได้กำหนดตนเองไว้ในตำแหน่งที่สูงที่สุดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับทุกอย่างนอกเหนือจากตำแหน่ง ล้วนมองว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอ
ฟางเหยียนกลับไม่ใส่ใจชายหนุ่มผู้นี้แม้แต่น้อย เพียงแค่จ้องหน้าหวังชิงชิง เอ่ยว่า “ผมเคยบอกว่า ใครก็ไม่สามารถบังคับคนของผมทำในสิ่งที่ไม่ชอบได้ ผมก็คิดดีแล้ว ถ้าวันนี้คุณรับปากว่าจะแต่งงานกับโจวเจิ้งอย่างมีความสุขก็ถือว่าแล้วไป แต่ว่าไม่ใช่ ตระกูลโจวก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีตัวตนอีกต่อไป”
ฟางเหยียนเพิ่งจะเอ่ยจบ รังสีอำมหิตบนร่างของเขาก็ท่วมท้นขึ้นมาทันที ทันใดนั้นบรรยากาศรอบกายก็ลดอุณหภูมิลงหลายองศา
ชายหนุ่มผู้นั้นสัมผัสได้ถึงแรงคุกคาม สองคนที่อยู่เบื้องหลังของเขากำลังเคลื่อนไหวเพื่อจะบุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แกเป็นใคร?” คำพูดของชายหนุ่มเอ่ยสอบถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา สายตาของเขาก็เห็นได้ชัดว่ากำลังสั่นคลอน
ฟางเหยียนเคลื่อนสายตาไปยังชายหนุ่มอย่างช้าๆ เขาเอ่ยขึ้นมาทีละคำ “แกน่าจะชัดเจนดีว่าฉันเป็นใคร สวมรอยเป็นฉันมาตั้งนาน แกคิดจริงๆ ใช่ไหมว่าแกกลายเป็นฉันจริงๆ ไปแล้ว?”
ฟางเหยียนจ้องใบหน้าของชายหนุ่ม ดวงตาคู่นั้นได้แผ่ซ่านลำแสงอันเฉียบคมแห่งความอำมหิตออกมา
ชายหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา บางทีคำพูดนี้คนอื่นอาจไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าเขาชัดเจนดี เนื่องจากเขาไม่ใช่จอมพลโผ้จวิน สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือตนเองจะถูกคนที่ตนสวมรอยจับได้ หากถูกจับได้ ตนก็จำต้องตายเป็นแน่ จำต้องตายโดยไร้ที่กลบฝังอย่างแน่นอน
ภายในใจของเขาเต้นระรัว สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นมีความกระวนกระวายขึ้นมา
แน่นอนว่าโจวชื่อเจี๋ยฟังออกถึงความหมายอีกความหมายหนึ่งของประโยคนี้ ความหมายของเขาก็คือจอมพลโผ้จวินผู้นี้เป็นผู้ที่สวมรอย และเขาถึงจะเป็นตัวจริงเสียงจริง นี่ถือเป็นคำพูดที่คุยโวโอ้อวดโดยแท้จริง เขาเป็นตัวจริง หากว่าเขาเป็นจอมพลโผ้จวินจริงๆ จำเป็นต้องเดินตามหลังนายท่านตระกูลหยางหรือ? ทว่าตนเพียงแค่โบกมือหนึ่งครั้ง ก็มีกองกำลังเป็นหมื่นๆ พันๆ คนตามอยู่ข้างหลังแล้ว
บัดนี้เขาบุกเดี่ยวตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ชีวิตหรือพลังอำนาจ ล้วนสู้บุคคลเบื้องหน้าผู้นี้ไม่ได้ ผู้ใดเป็นตัวจริงผู้ใดเป็นตัวปลอม มองด้วยตาเปล่าก็แยกแยะออกแล้ว ทว่าเขาไม่ว่าอะไรที่จะฉวยโอกาสนี้ในการไปสังหารชายหนุ่มผู้นี้
เมื่อคิดมาจนถึงตอนนี้ เขาจึงชี้หน้าฟางเหยียน เอ่ยว่า “ไอ้หนุ่ม อย่ามาพูดเพ้อเจ้ออยู่ที่นี่ เหยียดหยามชื่อเสียงบารมีของโผ้จวินแห่งประเทศหวาหน่อยเลย แกรู้หรือเปล่านี่เป็นโทษทัณฑ์ใหญ่หลวง! โทษถึงประหารชีวิตเลยนะ!”
ฟางเหยียนหันหน้าไปมองโจวชื่อเจี๋ยแวบหนึ่ง จากนั้นก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา เอ่ยว่า “แกกลัวว่าฉันจะจำแกไม่ได้ขนาดนี้เลยเหรอ? ดีมาก ฉันจำแกได้แล้ว แกสบายใจได้ วันนี้แกจะต้องตาย แต่ว่าฉันกลับต้องขอบใจที่แกเตือนสติฉัน การสวมรอยเป็นโผ้จวินแห่งประเทศหวา ตัดหัว! ฉันคิดว่ากฎเหล็กนี้ แกน่าจะทราบดีสินะ?”
สายตาของฟางเหยียนจับจ้องไปยังชายหนุ่มอย่างมีชีวิตชีวา ภายในดวงตาของชายหนุ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเขาแม้ว่าจะสงบนิ่งอยู่เสมอ ทว่าความกระวนกระวายในสายตานั้นได้เปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจเขาเรียบร้อย
สายตาของฟางเหยียน มีการสั่นสะเทือน สิ่งนี้บีบให้ชายหนุ่มเผยถึงความกระวนกระวายใจออกมาเล็กน้อย แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความกระวนกระวายใจที่มองจากสายตาของฟางเหยียน ในสายตาของผู้อื่น เขายังคงมีท่าทางที่ไม่สะทกสะท้าน
โจวชื่อเจี๋ยทำเสียงเหอะ ขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยดุด่าเสียงดัง “แกคิดว่าฉันจะกลัวแกงั้นเหรอ? ที่นี่คือบ้านตระกูลโจวนะ”
ชายหนุ่มกระแอมสองครั้ง ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือเอามาปิดปากเอาไว้ เขาคิดว่าหรือว่าเจ้าหมอนี่ที่ตนพบเจอนั้นจะเป็นจอมพลโผ้จวินจริงๆ ? ไม่สิ ไม่มีทางที่จะบังเอิญขนาดนั้น ไม่มีทางที่ตนเองจะบังเอิญเจอเขาได้! พวกเขาเลือกที่จะมาที่ดินแดนตะวันตก ก็ปักหลักเรียบร้อยก่อนล่วงหน้าหนึ่งเดือนแล้ว เมื่อมั่นใจแล้วว่าเจ้าหมอนั่นจะไม่มาที่นี่ จึงได้มา
อีกทั้ง เพื่อเป็นการป้องกันเหตุสุดวิสัย กองทัพก็เริ่มดำเนินแผนการเรียบร้อยแล้ว เขาไม่มีทางปลีกตัวแล้วมายังสถานที่แห่งนี้ได้ ดังนั้น ดังนั้นเจ้าหมอที่อยู่ข้างหน้านี้จำต้องเป็นผู้ที่ปลอมตัวมาแน่ เขาต้องไม่ใช่โผ้จวินแห่งประเทศหวาเป็นแน่