ตอนนี้ผ่านมาแล้วสี่ปีตั้งแต่ผมเกิด แต่ก็ไม่ได้มีการฉลองวันเกิดสักปีเลย รู้สึกน้อยใจนิดหน่อยนะเนี่ย
แต่ว่า ตั้งแต่ที่ผมเรียนเวทย์มนต์มา ตอนนี้ผมสามารถใช้เวทย์มนต์ทุกธาตุได้ถึงขั้นสูงแล้วนะ สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ!
เวทย์วิญญาณก็สามารถใช้ได้ถึงขั้นสูงแล้วนะ แล้วคุณยูริก็สอนให้ผมใช้เวทย์อัญเชิญด้วย อย่างตอนนี้ผมก็ใช้เวทย์อัญเชิญอย่างอื่นนอกจากคุณคุโระได้แล้วล่ะ แต่ถ้าถามว่าคุณยูริรู้ไหมว่าผมเป็นคนอัญเชิญคุณคุโระออกมา
แน่นอนว่ารู้ ก็ผมเป็นคนบอกล่ะนะ แต่ว่านั่นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ แต่มันเป็นความบังเอิญ เพราะถ้าผมเรียกวิญญาณออกมา แล้วสั่งให้ไปทำอะไรที่ต้องสัมผัสสิ่งของ หรืออะไรบางอย่างเมื่อไหร่ ก็จะทำการอัญเชิญเมื่อนั้น ผมก็เลยต้องเรียนเวทย์อัญเชิญด้วย ถึงจะเป็นทฤษฎีอย่างเดียวก็เถอะ แต่อย่างน้อยมันก็ฟรีล่ะนะ
“นี่ มาฮิโระจัง”
“คะ?”
รู้สึกแปลกๆเวลาพูด ค่ะ จริงๆเลยแฮะ ถึงผมจะเป็นเด็กผู้หญิงมาสี่ปีแล้วก็เถอะ
“เธอน่ะ…อยากจะเป็นจอมเวทย์ไปเพื่ออะไรอย่างนั้นเหรอ”
คุณยูริถามผมด้วยความสนใจ ถึงน้ำเสียงจะเย็นๆเหมือนเดิมก็เถอะ
แต่จะให้ตอบยังไงดีล่ะ ถ้าพูดตามความคิดจากโลกก่อนก็คือมันเท่ดี หรือเจ๋งดี ทำนองนี้ แต่พอมาอยู่ที่โลกนี้แล้วพอได้รู้ว่าจริงๆแล้วเวทย์มนต์มันใช้ทำอะไรได้บ้าง และจุดประสงค์ของมันคืออะไร ผมก็เริ่มจะสับสน แต่ถ้าให้ตอบแบบดูเป็นคนดีหน่อยก็คงต้องตอบว่า เพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรัก และ ผจญภัย อย่างนี้ล่ะมั้ง
“เพื่อปกป้องคนที่ตัวเองรักและผจญภัยค่ะ”
ผมพูดเสร็จก็หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาเพื่อจิบ คุณยูริที่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้น เธอมาประลองกับชั้นซะ”
ผมที่กำลังจะจิบชาก็ชะงักทันที
“เอ๊ะ! ทำไมล่ะคะ!”
“ก็ถ้าบอกว่าอยากจะผจญภัย ชื่อเองก็บอกอยู่ว่าภัย งั้นก็ต้องฝึกเอาไว้ก่อนสิ และชั้นจะได้เห็นพัฒนาการของเธอด้วยยังไงล่ะ”
เหมือนการสอบสินะเนี่ย ก็คงได้อยู่ล่ะมั้ง ผมเองก็อยากจะรู้ว่าตัวเองน่าจะเก่งเท่ากับเกณฑ์ทั่วไปที่เหมือนคนปกติหรือยัง
“ก็ได้ค่ะ แต่ขอใช้ดาบด้วยได้ไหมคะ”
ถ้าให้ผมใช้เวทย์อย่างเดียวเนี่ย ผมน่าจะไม่ชนะหรอก ก็คุณยูริน่ะระดับศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ
“ได้สิ แต่ห้ามฟันโดยตรงนะ อย่างมากแค่ให้ใช้ด้ามดาบกระทุ้งลิ้นปี่ชั้นก็พอ”
“ได้ค่ะ”
ผมเองก็จะได้ลองเวทย์ที่คิดขึ้นเองเหมือนกัน ถึงจริงๆจะมาจากเกมในโลกเก่าก็เถอะ แต่ในโลกนี้ ผมก็น่าจะเป็นคนคิดเองล่ะนะ ซึ่งแน่นอนว่าผมก็ไม่เคยลองเหมือนกัน
“ถ้าอย่างนั้นเราไปเรียกคุโระคุงมาเป็นกรรมการกันเถอะ”
“ทำไมทุกคนถึงมากันหมดเลยล่ะคะ”
จำได้ว่าผมกับคุณยูริไปเรียก มาแค่คุณคุโระนะ
“อย่าลืมสิว่าแม่ของลูกเป็นจิ้งจอกน่ะ”
ลืมไปสนิทเลยแฮะ เพราะตอนที่ผมยังไม่ได้ผนึกพลังไว้ก็ได้ยินเสียงไปทั่วบ้านอยู่เหมือนกัน
“คุณยูริช่วยออมมือหน่อยได้ไหมคะ นี่เป็นการประลองครั้งแรกของหนูเองนะคะ”
“ไม่รู้สิ เพราะว่าถ้าเป็นมาฮิโระจังล่ะก็ ชั้นอาจจะเอาจริงขึ้นมาก็ได้นะ เพราะมาฮิโระจังเป็นนักเรียนที่ชั้นภูมิใจที่สุดนี่นา”
คุณยูริพูดด้วยความภูมิใจ
“ถึงจะรู้สึกดีใจก็เถอะค่ะ แต่ไม่ออมมือให้นี่…หนูจะไหวไหมคะเนี่ย”
ผมพูดเสร็จก็ถอนหายใจ
“ลองประลองกันก่อนเถอะน่า ชั้นว่าเธอต้องได้เชื้อสายของคุณจิฮิโระบ้างแหละ”
แสดงว่าคุณยูริไม่รู้จริงๆนั่นแหละว่าผมเป็นเก้าหาง แต่ผมผนึกพลังอยู่นะ ผมเอาจริงไม่ได้หรอก ปลดผนึกก็ไม่เป็นด้วย
“เฮ้อ…พร้อมแล้วค่ะ”
“ชั้นเองก็พร้อมแล้ว”
จากนั้นคุณคุโระก็ส่งสัญญาณให้เริ่มได้ด้วยการตะโกน
“เริ่มได้!!”
คุณยูริเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน
“ดวงวิญญาณรอบตัวของข้าและดวงวิญญาณที่รับใช้ข้าจงพุ่งจู่โจมใส่เป้าหมายที่บังอาจขวางหน้าข้า Soul Strike”
เกิดเป็นคลื่นสีขาวพุ่งเข้ามาทางผม ผมจึงป้องกันด้วยการใช้เวทย์โล่วิญญาณ
“อะไรน่ะ! ไม่ร่ายอย่างนั้นเหรอ!”
คุณยูริตกใจจนพูดออกมา
คือเวลาเรียนผมก็ร่ายไง แต่พอคล่องผมก็แค่ไม่ร่ายแล้วคุณยูริเองก็จะเห็นแต่ตอนที่ผมร่าย ก็เลยไม่รู้ว่าผมสามารถใช้เวทย์โดยไม่ต้องร่ายก็ได้ แต่โกหกไปว่าย่อการร่ายดีกว่า
“ก็แค่ย่อการร่ายแค่นั้นเองค่ะ!”
“ไม่ยอมหรอกนะ! ด้วยพลังแห่งธรรมชาติแด่เทพเจ้าแห่งเปลวเพลิงจงสถิตในมือข้า Fire Ball!!”
คุณยูริร่ายเวทย์ไฟบอลมาทางผม โดยมีขนาดเท่าลูกตะกร้อ
“วอเทอร์บอล!”
ผมร่ายเวทย์วอเทอร์บอลให้ไปชนใส่ไฟบอลให้สลายไป
จริงๆผมไม่ต้องพูดก็ได้นะ แต่ก็พูดเอาไว้เพื่อความเท่เฉยๆ ไม่หรอก จริงๆแล้วก็แค่เพื่อให้คำพูดที่บอกว่า ย่อการร่าย เนี่ยดูเป็นความจริงขึ้นเฉยๆ
“เธอไปฝึกย่อการร่ายมาจากไหนเนี่ย!”
“ฝึกเองค่ะ! คราวนี้หนูจะเป็นฝ่ายโจมตีบ้างล่ะนะคะ!”
ผมพูดเสร็จก็อัญเชิญดวงจันทร์ออกมา
““อะไรน่ะ!?””
ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก นี่เป็นเวทย์ที่ผมคิดเอง คือก็ไปลอกเขามานั่นแหละ ในหนังสือนิทาน มันจะมีเวทย์นึงที่ผมเห็นแล้วชอบมากเลย ก็เลยลอกมา แต่มันจะต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นแหละ
“Moon Slash!!”
ผมฟันพระจันทร์ที่อัญเชิญออกมาขาดครึ่งในแนวนอน เกิดเป็นคลื่นสีขาวเย็นเฉียบพุ่งออกไปทางคุณยูริอย่างรวดเร็ว ดีนะที่คุณยูริให้ผมใช้ดาบได้
ว้าว ให้ความรู้สึกเหมือนเล่มเกม รังมังกรเลยแฮะ
“อะไรน่ะ! หลับไม่ทันแล้ว!!!”
คุณยูริกรี๊ดออกมา
เอ๊ะ ไม่สินี่มันแรงเกินไปนี่นา! …หยุดไม่ได้ด้วย! แย่แล้ว ถ้าเกิดโดนคุณยูริขึ้นมาได้ตายแน่!
เอ๊ะ…อะไร…น่ะ..ความรู้สึกนี้…มึนหัวจัง..
ไม่..ไหว..แล้ว…
จากนั้นผมก็ล้มลงสลบไป
อีกฝั่งหนึ่ง
“คิดว่าป้องกันได้ไหม ชิโระ”
อิกนัสถามชิโระ
“ดูจากท่าทางแล้ว รุนแรงมากค่ะ แต่คิดว่าน่าจะป้องกันได้อยู่ค่ะ”
ชิฝดระตอบกลับพร้อมคำนับหนึ่งที
“งั้นฝากหน่อยนะชิโระ”
“รับทราบค่ะ นายท่าน”
“เฮ้ย…ไอ้นายท่านทำไมปล่อยให้ชิโระไปคนเดียววะครับ”
คุโระถามอิกนัสเสียงเย็น
“เอาน่า นายจะได้เห็นว่าชิโระเก่งขึ้นจากตอนนั้นขนาดไหนไง”
“ชิ”
“เป็นพ่อบ้านที่แย่จริงๆเลยนะนายเนี่ย”
อิกนัสพูดเสร็จก็เกาหัว
ทันใดนั้นชิโระก็พุ่งไปที่คลื่นพลังที่มาฮิโระได้ปล่อยออกมาพร้อมกับโล่ที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
พอคลื่นพลังได้ปะทะกับโล่ของชิโระก็ได้หายไปในทันที จากนั้นยูริก็ได้สลบไป
“เกือบแย่เลยนะคะเนี่ย”
ชิโระพูดเสร็จก็ถอนหายใจออกมา
“ไม่ว่าจะดูกี่ที การป้องกันของเธอก็ยังคงงดงามอยู่เสมอเลยนะชิโระ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ชั้นก็แค่คนที่ใช้วิชาการร่ายเวทย์ของโล่องค์รักษ์ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นเองค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าเธอออกมาก่อนเหรอ”
อิกนัสพูดแหย่ชิโระ
“จริงๆมันก็แค่เสริมความสามารถให้กับร่างกายนิดเดียวเท่านั้นเองค่ะ แต่ถ้าไม่ได้กำแพงลมของคุณจิฮิโระก็คงแย่แล้วล่ะค่ะ”
ชิโระพูดพร้อมถอนหายใจ
“นั่นสินะ ขนาดผนึกพลังเก้าหางแล้วนะ”
อิกนัสพูดพร้อมทำหน้าลำบากใจ
“นั่นสินะ อิกนัส ลูกของเรานี่ความจุพลังเวทย์มากเกินไปรึเปล่า”
จิฮิโระพูดพร้อมเอามือทาบแก้มด้วยความลำบากใจ
“คงอย่างนั้นละมั้ง ถึงปัจจุบันพลังเวทย์จะยังไม่ได้มากมาย แต่ความจุพลังเวทย์นี่มันมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
อิกนัสพูดเสร็จก็เอามือลูบหัวจิฮิโระ
“ว่าแต่ยูริจังล่ะคุโระ”
“ถ้าคุณยูริล่ะก็ สลบไปพร้อมกับคุณหนูมาฮิโระแล้วล่ะครับท่านจิฮิโระ”
“งั้นพาทั้งคู่ไปพักหน่อยก็แล้วกัน”
“รับทราบ ค่ะ/ครับ”
อืม…ที่นี่ไหนอีกแล้วเนี่ย ลองขยับตัวหน่อยแล้วกัน…
ขยับไม่ได้อีกแล้ว! ผมตายแล้วเกิดใหม่อีกรอบหรือยังไงเนี่ย!
“เธอยังไม่ตายหรอกนะมาฮิโระจัง”
นั่นเสียงใครกันน่ะ คุ้นๆนะ
“ไม่ได้เจอกันสี่ปีจำกันไม่ได้แล้วหรือยังไงกัน”
ยูกิเองหรอกเหรอ
“ก็เออสิยะ”
ถ้าผมยังไม่ตาย แล้วทำไมผมมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ
“ชั้นมาบอกสิ่งที่นายต้องรู้น่ะ”
เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเพิ่งจะมาหาเอาป่านนี้ล่ะ
“ขี้เกียจ”
จ้า เต็มที่เลยจ้า
ว่าแต่พรข้อสองของผมน่ะ มันเสียเปล่าไปเลยใช่ไหม
“ก็ไม่นะ เพราะว่าเพราะทุกคนสามารถใช้ได้ทุกธาตุ พรที่นายขอก็เลยยกระดับเป็นถนัดทุกธาตุ”
แล้วไอ้ที่บอกว่าถนัดธาตุไหน ไม่ถนัดธาตุไหน มันคืออะไรกันแน่เหรอ
“ก็น่าจะหาอ่านในหนังสือได้นะ แต่เอาเถอะ ก็คิดง่ายๆว่ามันคือความเข้ากันกับธาตุนั้นๆ ซึ่งนายก็ถนัดทุกธาตุ แล้วด้วยความถนัดจะทำให้รุนแรงขึ้นด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่ถนัดจะร่ายไม่รุนแรงนะ มันเหมือนบัพน่ะ อ้อ ถ้าเป็นนาย จะทำให้จดจำการร่ายได้ง่ายขึ้นเพราะความถนัดล่ะนะ”
อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
แล้วพรข้อที่สามของผมล่ะ เธอให้อะไรผมกัน
“บอกตอนนี้ชั้นก็ไม่สนุกสิ”
แล้วจะมาบอกอะไรผมล่ะ
“ก็นายเป็นเก้าหางใช่ไหมล่ะ นายเลยมีความจุพลังเวทย์ที่ใช้งานได้เยอะน่ะ แต่ถ้าเกิดนายใช้หมด มันจะทำให้นายใช้เวทย์ไม่ได้ไปสามวัน”
อย่างนั้นเองเหรอ แล้วมาบอกผมทำไม ผมว่าผมยังไม่ได้ใช้พลังเวทย์หมดหรอกนะ
“ใครว่าล่ะ นายน่ะใช้หมดไปแล้ว จะว่ายังไงดี ก็คือว่า นายใช้พลังเวทย์เกือบทั้งหมดไปในการอัญเชิญพระจันทร์ออกมา แต่ว่านายดันไปผ่ามันออกซะ นั่นก็นับเป็นการใช้เวทย์อีกเหมือนกัน ซึ่งจากเดิมที่นายพลังเวทย์ใกล้หมดอยู่แล้ว นายก็ใช้จนทะลุไปถึงความจุของพลังเวทย์ นั่นก็เลยทำให้พลังเวทย์ของนายมันหมดไม่เหลือเลย”
เป็นอย่างนี้นี่เอง
“แถมยังไม่พอนะเวทย์ผ่าพระจันทร์เนี่ย มีแค่ผู้กล้าเท่านั้นที่ใช้ได้ แล้วนายก็ใช้ออกไปทั้งอย่างนั้น ยังโชคดีที่ไม่มีใครรู้ว่ามีแค่ผู้กล้าเท่านั้นที่ทำได้ ไม่อย่างนั้นนายจะได้ปวดหัวแน่ๆ”
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า…ผมเป็นผู้กล้าอย่างนั้นสินะ!
“ก็ไม่เชิงหรอก นายก็อ่านหนังสือมาแล้วใช่ไหมล่ะ นายน่ะเป็นผู้กล้าศักดิ์สิทธิ์ แต่ผู้กล้าในตำนานน่ะอีกคน”
เอ้า…ไหงเป็นอย่างนั้นได้ล่ะ
อ๋อ ก็ส่งผมมาเป็นผู้ชายผู้กล้านี่นะ
“ก็เออไง จากนี้ห้ามนายใช้ผ่าพระจันทร์อีกนะ จนกว่าชั้นจะอนุญาต”
จะอนุญาตยังไงล่ะกว่าจะมาหาก็ผ่านไปแล้วตั้งสี่ปีเชียว
“ชั้นมีวิธีก็แล้วกัน แต่ก็นั่นแหละ ชั้นมาหานายได้แค่ในฝัน เพราะนายเป็นจิ้งจอกเก้าหางนั่นแหละ”
นี่เป็นความฝันนี่เอง ถ้าต้องฝันแล้วเจอยัยนี่ก็ไม่อยากฝันเท่าไหร่เลยแฮะ
“เดี๋ยวก็สาปซะหรอก!!”
ขอโทษจากใจอย่างหาที่สุดมิได้เลยครับ
“อะอ๊า มาฮิโระจัง เป็นสาวเป็นนางทั้งที ต้องพูดว่าค่ะสิจ๊ะ”
เฮ้ย พูดอย่างนี้เอาคำขอโทษจากผมคืนมาเลยนะเฟ้ย แล้วใครกันล่ะที่ส่งให้ผมมาเกิดเป็นผู้หญิงน่ะ! ห๊า!
“ก็นายขอเองว่าจะเป็นเก้าหาง แต่เพราะก็หางน่ะเป็นได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นนี่นา ฮิฮิ”
นี่เธอ!! ทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะว่าต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้นน่ะห๊า!
“อะไรกัน ถึงนายไม่ขอ ชั้นก็จะส่งนายมาเป็นเก้าหางอยู่ดี”
งั้นพรที่ผมขอไปข้อแรกก็เสียเปล่าอีกแล้วสิเนี่ย!
“ชั้นให้พรอย่างอื่นไปแล้วล่ะ แต่ได้อะไรนั้น…ชั้นไม่บอกหรอกนะ”
นั่นไง! โดนพระเจ้าเล่นแล้วไหมล่ะ!
“แต่ชั้นก็ปรับความทรงจำของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นให้เห็นว่าเธอเอาดาบกระทุ้งลิ้นปี่ของยูริแล้วสลบไปนะ สบายใจเถอะ”
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ รู้สึกอยากโชว์พลังจังเลยแฮะ
“อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ นั่นเป็นการเปิดเผยตัวตนเก้าหางของนายเลยนะ”
ทำไมล่ะผมว่าแค่อัญเชิญพระจันทร์มาแล้วผ่าก็เท่ดีนี่ แล้วอีกอย่างมันก็ไม่เห็นเกี่ยวกันกับเก้าหางสักหน่อย
“ชั้นว่าแล้วว่านายต้องพูดแบบนั้น นายรู้ไหม มันมีหนังสือของประวัติเก้าหางในโลกด้วยนะ มันจะบอกถึงว่าความจุเวทย์มนต์ของเก้าหางมันมากเท่าไร แล้วยิ่งคนที่มีความสามารถจะตรวจสอบได้ว่าพลังเวทย์นั้นมากแค่ไหน แล้วตัวนายมีเท่าไร”
ใครทำได้กันล่ะ ขนาดผมยังทำไม่ได้เลย
“ก็พวกมนุษย์สัตว์มีดวงตาที่มองเห็นพลังเวทย์ในสิ่งมีชีวิตและสิ่งของออกนะ แต่มองออกแค่ตอนใช้เท่านั้นแหละ”
แล้วผมจะใช้ได้ตอนไหนล่ะ
“เดี๋ยวก็ใช้ได้เองแหละ เรื่องสุดท้ายแล้วนะ ถ้านายอยากใช้พลังเก้าหางล่ะก็ อัญเชิญพระจันทร์มาก็พอ เพราะมันทำให้นายได้พลังของพระจันทร์ไปฟื้นฟูความจุพลังเวทย์ แต่มันไม่คุ้มหรอกนะ ที่นายจะอัญเชิญพระจันทร์เพราะมันกินพลังเวทย์มากเกินไปสำหรับนายตอนนี้”
แล้วผมจะเพิ่มพลังเวทย์ยังไงล่ะ
“ตอนนี้นายใช้ Soul Strike ได้หกสิบเจ็ดครั้งในหนึ่งวัน ลองใช้ให้หมด แล้วนายจะรู้เอง”
ถามจริง นี่เรื่องของผมหรือรูดี้คุงกันแน่เนี่ย?
“กลับไปได้แล้วล่ะ ตอนนี้นายต้องพักผ่อนให้เยอะๆนะ เพราะพลังเวทย์จะได้กลับมาไวๆ”
ไม่ใช่ว่าสามวันเหรอ
“ถามเยอะจริง ไปดูเองเถอะ แล้วก็นะ…เป็นเด็กดีด้วยนะ มา-ฮิ-โระ-จัง ฮิฮิ”
แล้วภาพตรงหน้าของผมก็วูบลงไป…อย่ามาเรียกชื่อผมตามด้วยจังนะเฟ้ย!!