ราชินีพลิกสวรรค์ – ตอนที่ 209 ผู้ที่ฝืนลิขิตฟ้า ไม่ใช่ข้า

จากจยาเซียนไปประเทศมหาอำนาจอย่างซีเฉียน ต้องผ่านประเทศสุ่ยหัน เดินทางตอนกลางวัน พอตกกลางคืนก็พัก เมื่อคำนวณจากการเดินทางเช่นนี้ ก็ต้องใช้เวลาทั้งหมดถึงสามเดือน

 

 

ช่วงเวลานี้ มีลู่จ้านคุ้มกัน เดินทางปลอดภัยตลอดทาง

 

 

หลังจากที่เจียงหลีออกจากซั่งตู นางก็ออกจากรถม้ามาน้อยมาก ในทุกๆ วัน อวี้ซูจะส่งอาหารให้ถึงรถม้า เมื่อมีคนมาถามหา ก็จะได้รับคำตอบว่า ‘องค์หญิงฝึกฝนอยู่ ไม่ควรถูกรบกวน’

 

 

สาวน้อยผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ยังขยันเช่นนี้ จึงเป็นแรงผลักดันให้ลู่เสวียน และเจียงเฮ่าเพียรฝึกฝนด้วย

 

 

หลังจากเดินทางมาได้สองสามวัน ทั้งสองก็ใช้เวลาส่วนมากไปกับการฝึกฝนเช่นกัน

 

 

……

 

 

ตูมตูมมม!

 

 

ในเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ บนสนามฝึกฝนการต่อสู้ที่ดูเหมือนไร้ขอบเขตนั้น มีฝุ่นละอองสีทองลอยขึ้นมา

 

 

ฝุ่นละอองเหล่านี้ ลอยอยู่ในอากาศ ฟุ้งกระจายแล้วหายไป

 

 

มีเสียงหายใจหอบดังอยู่ตลอด

 

 

เจียงหลีสวมใส่ชุดฝึกฝนสีดำทั้งตัว เพียงแต่ลวดลายบนผ้างดงามกว่าชุดเดิมมาก รูปแบบก็วิจิตรมากขึ้น ดูงดงามยิ่ง นางยืนอยู่บนสนามฝึกฝนการต่อสู้ หอบแฮกๆ เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้เมื่อกี้นี้ นางใช้พลังไปไม่น้อย

 

 

“ยิ่งอยู่ ยิ่งรับมือได้ยากขึ้น” เจียงหลีด่าอย่างแรง

 

 

ทันใดนั้น นางเงยหน้ามองไปยังบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ตะโกนเสียงดังว่า “นี่ เสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ ครั้งหน้าเจ้าคิดจะปล่อยอะไรออกมาสู้กับข้า”

 

 

ก่อนหน้าที่มันจะปล่อยฝูงวิญญาณยุทธ์มารุมนาง! นางสู้มาแล้วห้าครั้งติด ถึงได้สังหารวิญญาณยุทธ์เหล่านั้นให้สิ้นไปในครั้งที่สี่ แน่นอนว่านางถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย

 

 

เจียงหลีได้แต่แอบคิดในใจ ไม่มีทางเลือก ความอาฆาตที่มีต่อเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อเพิ่มมากขึ้น

 

 

น่าเสียดาย คำถามของนางไม่ได้รับการตอบกลับจากเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ

 

 

ท้องฟ้าที่ว่างเปล่า ค่อยๆ ปรากฏตัวหนังสือสีทองขึ้นมา [ยินดีด้วย ผ่านด่านแล้ว รางวาลคือเวลาหนึ่งปี]

 

 

หนึ่งปี!

 

 

พอเห็นรางวัลนี้ เจียงหลีหรี่ตา ความอาฆาตในใจหายไปทันที

 

 

ตัวหนังสือสีทองเปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นตัวหนังสือตัวเล็กๆ ที่ตามมาติดๆ ความหมายโดยรวมก็คือ จะมีประตูบานหนึ่งปรากฏขึ้น อัตราการไหลของเวลาที่เร็วขึ้นจะอยู่ด้านหลังประตู หนึ่งปีข้างในประตู เท่ากับหนึ่งเดือนในโลกภายนอก หลังจากระยะเวลาการฝึกฝนครบแล้ว เจียงหลีจะถูกดีดออกมา ตอนนั้นสามารถออกจากเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อได้ หรือว่าจะท้าประลองต่อ เพื่อรับรางวัลที่เหมาะสมต่อไป

 

 

เจียงหลีจ้องมองตัวหนังสือบนฟ้าที่ค่อยๆ จางหายไป นางแอบกลัวในใจ แท้จริงแล้วเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ มีความเกี่ยวข้องอะไรกันกับวิญญาณอีกดวงที่มาจากสามร้อยปีข้างหน้านั้น แล้วก็หลังจากที่ข้าเข้าสู่ขั้นหลิงเจี้ยงเหมือนรางวัลของเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อจะดียิ่งกว่าเดิมอีกนะ!

 

 

ความสงสัยในใจของนาง ไปตกอยู่ที่วิญญาณอีกดวงที่มาจากสามร้อยปีข้างหน้านั้น

 

 

“ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นหลิงเจี้ยงแล้ว รางวัลที่ได้รับก็ดีขึ้นมาก แต่เหมือนว่าเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อไม่ได้เปลี่ยนไปมากมายอะไร” เจียงหลีพูดพึมพำ

 

 

ทันใดนั้น แววตาของนางเปล่งประกาย คิดออกแล้ว “ใช่แล้ว! เนี่ยนซือ! เนี่ยนซือคือพลังควบคุมเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ และเนี่ยนซือที่เลื่อนขั้นพลังขั้นสูงๆ แล้ว จึงจะควบคุมเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อได้”

 

 

เนี่ยนซือ เห็นทีข้าต้องเร่งฝึกฝนให้เป็นเนี่ยนซือแล้ว เจียงหลีเม้มปาก

 

 

ด้านหน้าของนาง ประตูบานหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า หลังประตูบานนั้น แตกต่างจากโลกภายนอก

 

 

เจียงหลีกำหมัดทั้งสองข้าง แล้วรีบเดินเข้าไป

 

 

นางต้องแข็งแกร่งขึ้น! แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ! ถึงจะไม่ถูกรังแก ถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตอนนี้ได้!

 

 

การล้มลงของตระกูลลู่ การตายอย่างน่าเวทนาของลู่อ๋องและภรรยา การเสียสละของอวี้เฉิน การเดินหมากของลู่เจี้ย การเปลี่ยนผ่านของราชวงศ์ในใต้หล้า ทำให้นางรับรู้ได้มากยิ่งขึ้นว่านางได้เป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้แล้ว จะมีความคิดแบบคนนอกไม่ได้อีก

 

 

ตัวเองกลายเป็นหมากในกระดานนี้ จะรู้สึกว่าตนไม่ใช่ส่วนหนึ่งอีกต่อไปได้อย่างไร

 

 

ร่างของเจียงหลีเข้าไปแล้ว ประตูบานนั้นก็หายไปทันที นอกจากเจียงหลีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าโลกข้างหลังประตูบานนั้นเป็นอย่างไร และไม่มีใครรู้ว่าเมื่อเจียงหลีเดินกลับออกมาอีกครั้ง นางจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

 

 

……

 

 

หลายวันที่เดินทางมา ก็ถือว่าสงบดี

 

 

มีลู่จ้านนำองครักษ์ของตระกูลลู่คุ้มกัน โดยรวมแล้วไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

 

 

วันนี้ พวกเขามาถึงเมืองหลวงของประเทศซีเฉียนแล้ว ในเมืองอู๋เขิ่น ที่นอกเมือง ลู่จ้านยกมือขึ้น สั่งให้ขบวนหยุด

 

 

ลู่เสวียนและเจียงเฮ่าลงจากรถม้า ระยะเวลาไม่กี่เดือน พลังลมปราณของทั้งสองมีแนวโน้มว่าจะแข็งแกร่งขึ้น

 

 

แต่เจียงหลียังไม่โผล่หน้าออกมาเลย

 

 

ลู่จ้านหันไปมองรถม้าที่เงียบสนิทคันนั้นของเจียงหลี อวี้ซูเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างภักดี ไม่ให้ใครเข้ามารบกวนเจ้านายได้

 

 

ลู่จ้านหยุดมองแล้วพูดกับลู่เสวียนว่า “หยวนหวังขอรับ นายน้อยสั่งให้พวกเราส่งได้แค่ตรงนี้ จำเป็นต้องรีบกลับราชวงศ์จยาเซียนทันที การเดินทางต่อจากนี้ ต้องให้พวกท่านทั้งสามเดินทางต่อกันเองขอรับ”

 

 

“ข้ารู้แล้ว” ลู่เสวียนพยักหน้า

 

 

เขาไม่มีข้อสงสัยอะไรกับคำสั่งของพี่ชาย

 

 

“ท่านลู่จ้าน ข้าก็ต้องกลับไปหรือเจ้าคะ” อวี้ซูมองลู่จ้านอย่างจริงจัง ใจนางไม่อยากห่างจากเจียงหลี

 

 

ลู่จ้านมองนาง ตอบกลับโดยการพยักหน้า

 

 

อวี้ซูมองรถม้าที่เงียบสนิทด้านหลังด้วยแววตาสับสน กัดฟันพูดว่า “ท่านลู่จ้าน หลังจากกลับไปแล้ว ข้าสามารถเข้าร่วมฝึกฝนเป็นองครักษ์ของตระกูลลู่ได้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“เจ้าอยากเข้าร่วมการฝึกองครักษ์รึ” ลู่จ้านหรี่ตาทั้งสองข้าง

 

 

อวี้ซูเม้มปากแน่น แล้วพยักหน้า

 

 

มีเพียงแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น นางถึงจะสามารถปกป้องเจียงหลีได้ดีขึ้น

 

 

ลู่จ้านมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตกลง

 

 

ในตอนนี้ รถม้าด้านหลังอวี้ซู มีเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้น การเคลื่อนไหวนี้ ทำให้ทุกคนหันไปมองประตูรถม้าที่ปิดสนิทนั่น

 

 

ร่างเล็กๆ กระโดดลงมาจากรถม้า

 

 

เจียงหลีรับรู้ได้ถึงสายตาของผู้คน กะพริบตากล่าว “มีอะไรหรือ”

 

 

ทันใดนั้น ลู่จ้านหรี่ตาทั้งสองข้าง ขณะที่เจียงหลีปรากฏตัว “เจ้าเลื่อนขั้นแล้ว!”

 

 

เจียงหลีหันมามองเขา ยิ้มตาหยีแล้วพยักหน้า ที่จริงนางเพิ่งจะเลื่อนขั้น พลังลมปราณในร่างกายยังคงหลงเหลืออยู่ ดังนั้นจึงถูกลู่จ้านสังเกตเห็น

 

 

“พวกเราถึงหรือยัง” เจียงหลีมองไปรอบๆ

 

 

“อาหลี พวกเรามาถึงเมืองอู๋เขิ่นของประเทศซีเฉียนแล้ว” เจียงเฮ่าเดินมา สายตาที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใย

 

 

“อะแฮ่ม” ในตอนนี้ลู่เสวียนก็เดินมา ถามว่า “อาซะ……” แต่ว่าเพิ่งจะพูดได้คำเดียว สีหน้าของเขาก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

 

 

ด้านหลังนี้ ควรเรียกอะไรต่อ เป็นเรื่องยากนะ!

 

 

“เรียกว่าอาซ้อตัวน้อยก็ไม่เลว” เจียงหลีมองเขาอย่างหยอกล้อ

 

 

“อาหลี!” เจียงเฮ่าขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย แต่ว่ากลับถูกเจียงหลีแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

 

 

ลู่เสวียนรู้สึกแปลกๆ จึงเลี่ยงประเด็นด้วยคำถามนี้ “ตอนนี้เจ้าอยู่ขั้นไหนแล้ว หลิงเจี้ยงขั้นสาม?”

 

 

“ไม่ใช่” เจียงหลีเข้าไปใกล้ๆ ข้างหูเขา พูดเบาๆ คำหนึ่ง

 

 

ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองของลู่เสวียนเบิกโพลง ถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่งทันที ชี้นางแล้วพูดว่า “นี่เจ้า เจ้าฝืนลิขิตฟ้าเกินไปแล้ว… ความเร็วในการฝึกฝนนี้มันอะไรกัน!”

 

 

เจียงหลียิ้มไม่พูดอะไร แต่กลับพูดในใจ ‘ที่ฝืนลิขิตฟ้าคือเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ ไม่ใช่ข้า ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าข้าเป็นเนี่ยนซื่อขั้นเจ็ดแล้ว’

 

 

“อาหลี ตอนนี้เจ้าขั้นอะไรแล้ว” เจียงเฮ่าก็ถามด้วยความอยากรู้

 

 

เจียงหลียังไม่ตอบ ลู่จ้านกลับเปิดปาก “จากเมื่อกี้ที่พลังลมปราณลงเหลืออยู่ อย่างน้อยก็หลิงเจี้ยงขั้นห้าแล้ว”

 

 

ห้ะ!

 

 

เจียงเฮ่ามองน้องสาวอย่างตกใจ ลมหายใจหยุดไปชั่วขณะ

Related

ราชินีพลิกสวรรค์

ราชินีพลิกสวรรค์

หลังศึกใหญ่กับมู่เทียนอินร่างของ เจียงหลี ก็ถูกดูดเข้าไปในมิติอื่นจนเหลือเพียงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในมิติเคว้งคว้างไร้ขอบเขต แม้จะมีเพียงวิญญาณอ่อนแอ แต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของนางนั้นกลับไม่อนุญาตให้ตัวเองยอมพ่ายแพ้ นางจะต้องกลับไปให้ได้ เพื่อไปหาสหายสนิทของนางผู้นั้น… ในสนามประลองยิ่งใหญ่แห่งแคว้นซูหนาน สถานที่ที่ชีวิตของทาสทั้งหลายมีค่าเท่าเศษธุลี สถานที่ที่มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ และนาง เจียงหลี ก็ดันฟื้นขึ้นมาในร่างของนางทาสแห่งสถานที่นี้เสียได้! โลกแปลกหน้าที่ยึดถือผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ หลิงซือ เนี่ยนซือ วิญญาณยุทธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเจียงหลี แต่นางคือผู้ใด นางคือราชินีผู้เก่งกล้าแห่งแคว้นกู่วูเชียวนะ ก็แค่ต้องฝึกฝนเบิกเนตรญาณด้วยร่างเด็กน้อยอ่อนแอ สถานะกลับตาลปัตรจากผู้สูงศักดิ์กลายเป็นทาสในเรือนของ ลู่เจี้ย ผู้ที่ได้รับฉายาหนุ่มรูปงามขี้โรค ไหนจะยังต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคนานัปการเพื่อหาหนทางกลับไปยังโลกเดิมของตนเองอีก เพียงเท่านี้เอง นางทำได้สบายอยู่แล้ว!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset