เสียงค้อนกระทบเหล็กดังสนั่นไปทั่วบริเวณ หลังจากหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีรอมากว่าสองชั่วโมง ในที่สุดปลอกกระบี่เล่มใหม่ของหลินมู่อวี่ก็แล้วเสร็จ ด้วยช่างตีเหล็กระดับสูงห้าคนช่วยกันตีทำให้ใช้เวลาไม่นาน ไม้โลหิตทองคำ เป็นไม้ที่มีสีทองปนสีแดงเลือดและมีลักษณะเป็นเงามันวาว ลวดลายที่สลักบนปลอกเหมือนกับลายของเหล็กที่ใช้หลอมกระบี่วิญญาณมังกร
“ถูกใจหรือไม่ขอรับนายท่าน?” หัวหน้าช่างตีเหล็กเอ่ยถาม
หลินมู่อวี่จับปลอกกระบี่ขึ้นมาชม มันมีน้ำหนักราวสามปอนด์กำลังดี ก่อนจะใช้ห่อผ้าสีดำมาคลุมปลอกไว้ทำให้หัวหน้าช่างตีเหล็กไม่ทันได้โยนโฉมตัวกระบี่ก่อนที่จะเก็บลงฝัก มันเข้ากันได้พอดีอย่างเหลือเชื่อสมแล้วที่เป็นงานของช่างฝีมือชั้นเยี่ยม!
ถังเสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นหลินมู่อวี่เผยท่าทีพอใจ “หากเรียบร้อยแล้วเราไปกันเถิด”
“รอสักประเดี๋ยว”
“รอทำไมหรือ?”
“อีกสักพักเว่ยโฉวกับทหารคนอื่นๆ จะมาที่นี่”
“หืม?”
ถังเสี่ยวซีไม่เข้าใจ นางยังอยากไปเดินเล่นที่ถนนทงเทียนกับหลินมู่อวี่อยู่ ไม่นานเว่ยโฉวก็นำกองทหารองครักษ์อินทรีหลายร้อยคนมาพร้อมกับม้าหลายตัวเพื่อไปรับโล่งูมังกรตามที่ได้นัดหมายไว้
“ท่านผู้บัญชาการ!” เว่ยโฉวคำนับ “เตรียมการพร้อมแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นไปกันเถิด”
“ขอรับ!”
เมื่อมาถึงร้านขายเหล็ก คนขายที่จำหลินมู่อวี่ได้จึงรีบออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่ โล่งูมังกรเสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญทางนี้…”
“อืม”
เมื่อเข้าไปยังลานกว้างในร้านขายเหล็กมีโล่งูมังกรวางกองอยู่ คนขายหยิบโล่อันหนึ่งขึ้นมาอย่างยากลำบากก่อนจะใช้มือลูบไปตามผิวโลหะของมัน “วัตถุดิบหลักในการทำโล่คือเกล็ดงูมังกร หลอมเคลือบเป็นชั้นด้วยเหล็กนิลอายุร้อยปี ด้ามจับสร้างจากหนังทนไฟทนน้ำ และด้วยเกล็ดของงูมังกรอายุหมื่นปีที่ไม่มีอาวุธใดทำลายได้ จึงไม่เกินจริงเลยหากจะกล่าวว่านี่เป็นโล่ที่แข็งที่สุด”
“อย่างนั้นหรือ?”
หลินมู่อวี่คลี่ยิ้มเตรียมชักกระบี่ออกมา เพียงพริบตา…กระบี่วิญญาณมังกรเคลือบด้วยปราณยุทธ์จนเกิดเป็นเปลวเพลิงฟันเข้ากลางโล่โดยตรง ก่อนจะเก็บเข้าฝักในเวลาไม่ถึงวินาที! ทั้งเว่ยโฉว ถังเสี่ยวซีและคนขายเหล็กต่างก็ทึ่งในความเร็วของกระบี่ที่รวดเร็วปานสายฟ้า!
“ฉึบ…”
ชั้นเหล็กนิลของโล่งูมังกรแตกออกก่อนจะแยกเป็นสองส่วนร่วงคามือคนขายเหล็ก…
“น…นี่มัน…”
คนขายเหล็กอ้าปากพูดด้วยความตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้…เราทดสอบมันหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่อาวุธที่ดีที่สุดของช่างตีเหล็กอันดับหนึ่งในร้านยังไม่สามารถผ่าโล่นี้เป็นสองซีกได้…ไม่แม้แต่จะสร้างรอยขีดข่วน ท่านหลินมู่อวี่…ท่านใช้กระบี่อะไรหรือขอรับ?”
หลินมู่อวี่ตอบ “ข้าเพียงแสดงให้เจ้าเห็นว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่ทำลายไม่ได้ ช่างเถิด…ช่วยข้าขนโล่งูมังกรพวกนี้ขึ้นรถม้า”
“ขอรับ!”
เว่ยโฉวมองโล่งูมังกรกองใหญ่แล้วหันมาถามหลินมู่อวี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “โล่พวกนี้…เป็นของรังอินทรีใช่หรือไม่ขอรับ?”
หลินมู่อวี่ราดน้ำเย็นใส่เว่ยโฉว ก่อนจะตอบกลับด้วยคำพูดอันสิ้นหวังแก่เขา “เสียใจด้วยที่ต้องตอบว่าไม่! และเจ้าก็ต้องตามข้าไปเขาผามังกรเพื่อส่งโล่พวกนี้ให้กับกลุ่มมังกรผงาดของข้าด้วย”
“หืม?” เว่ยโฉวทำหน้าสงสัย “ทหารรับจ้างขอท่านหรือขอรับ?”
“ใช่ ได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการแล้ว…”
“ขึ้นทะเบียนแล้วรึ? แล้วช่างน่าอิฉาเสียจริง…กลุ่มมังกรผงาดได้รับโล่ชั้นยอด ในขณะที่ทหารจักรวรรดิอย่างเราได้ใช้แต่โล่ไร้คุณภาพ!”
“หากริษยามากนักเจ้าก็ลาออกแล้วไปเข้าร่วมกลุ่มมังกรผงาดในฐานะรองผู้บัญชาการเสียสิ!” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างประชดประชัน
เว่ยโฉวยิ้ม “ข้าหยอกเล่นขอรับ ในเมื่อปฏิญาณตนจงรักภักดีต่อจักรวรรดิแล้วจะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”
“ฮ่าๆๆ” หลินมู่อวี่ไม่ได้ต่อความใดๆ
กลุ่มมังกรผงาดเป็นเพียงกองกำลังที่ก่อตั้งขึ้นเอง จะให้เทียบกับทหารองครักษ์อวี้หลินคงทำไม่ได้ เพราะทหารองครักษ์เป็นกองกำลังชั้นสูงของอาณาจักร ในขณะที่กลุ่มมังกรผงาดเป็นเพียงทหารรับจ้างไร้ชื่อไร้พลัง
กระบะขนสัมภาระทั้งห้าบรรทุกโล่มังกรไว้จนเต็มและคลุมไว้ด้วยผ้าดำก่อนจะเคลื่อนทัพมุ่งสู่ถนนทงเทียน
ถังเสี่ยวซีต้องกลับที่พักเมื่อขบวนผ่านมาถึงจวนเจ้าเมืองชีไห่ นางทำหน้ามุ่ยขณะบอกลาหลินมู่อวี่และสัญญาว่าต้องได้เจอกันอีก แม้จะไม่ได้ระบุเวลาไว้ชัดเจนหลินมู่อวี่ก็สัญญาว่าจะมาพบนางที่นี่เมื่อมีเวลา
ขณะขบวนขนค่อยๆ เคลื่อนทัพไปได้ไม่นานนักก็มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านหน้า กลุ่มหญิงสาวในชุดผ้าขี้ริ้วเดินอยู่บนถนนโดยมีทหารคอยควบคุมอยู่ แทบไม่ต้องเดาเลย…คนกลุ่มนี้คือพวกค้าทาส
ขณะที่พวกหลินมู่อวี่กำลังเคลื่อนทัพผ่านไป ก็เห็นเด็กสาวน่ารักคนหนึ่งซึ่งอายุไม่น่าถึงสิบห้าปี ซึ่งคราบสกปรกที่อยู่บนใบหน้านั้นไม่สามารถปิดบังความงดงามของนางได้เลย มือและเท้าถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา แผลที่ถูกเฆี่ยนยังดูสดใหม่ราวกับเพิ่งโดนลงโทษมา หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปหานาง เมื่อทั้งคู่สบตากันหญิงสาวพยายามเอ่ยปากพูดบางอย่างทว่าไม่กล้าเปล่งเสียงออกมา
“รอก่อน!” หลินมู่อวี่ตะโกนบอก
เว่ยโฉวเมื่อเห็นดังนั้นจึงเข้ามาเตือน “โปรดตริตรองให้ดีก่อนเถิดขอรับ ต่อให้ท่านช่วยหญิงพวกนี้ไป ก็มีคนอื่นถูกจับเข้าไปเพิ่มอีกอยู่ดี…ท่านคงไม่อยากถูกส่งไปเจดีย์ทงเทียนอีกใช่หรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่อยาก…”
หลินมู่อวี่ยิ้มก่อนจะหันกลับคุยกับหญิงสาว “เจ้ามาจากที่ใด?”
หญิงสาวตอบอย่างหวาดกลัว “ทงเทียน…ข้ามาจากมณฑลทงเทียน…”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงมายังเมืองหลันเยี่ยนเล่า?” หลินมู่อวี่ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรเพื่อให้นางคลายความกลัว
หญิงสาวเงียบปากแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางรู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านี้คือนายทหารระดับสูง หากไม่รู้วังคำพูดมีหวังได้ชะตาขาดเป็นแน่ หญิงสาวก้มหัวลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “ท่านพ่อกับท่านแม่โดนทหารรับจ้างสังหาร ข้าจึงถูกจับมาขายที่นี่ ข้า…”
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
หลินมู่อวี่นั่งบนหลังม้าคิดลังเลเล็กน้อย
ทันใดนั้น ผู้บัญชาการกองร้อยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาหลินมู่อวี่ “ท่านหลินมู่อวี่ ผู้หญิงทั้งสี่สิบคนนี้ถูกค่ายทหารซื้อไป ฉะนั้นข้าอยากจะขอความกรุณา…ท่านอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นวายเลยขอรับ เราเพียงทำตามคำสั่งที่ได้รับเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “ผู้บัญชาการทหาร ข้าอยากรู้ว่าหญิงที่ถูกจับมาขายพวกนี้มีอีกกี่คนที่พวกเจ้าเก็บไว้?”
ผู้บัญชาการกองร้อยละล่ำละลัก “มีทั้งหมด…ห้าสิบคน ท่านคิดจะทำสิ่งใดหรือขอรับ?”
“อย่างนั้นรึ…” หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนจะยิ้มตอบ “อย่ากังวลไป พาพวกนางไปตามคำสั่งเถิด ทว่าอย่าให้ใครแตะต้องตัวพวกนางภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนข้าจะตามไป ทำได้หรือไม่?”
ผู้บัญชาการกองร้อยประสานกำปั้นคำนับ “ท่านผู้บัญชาการช่างมีอารมณ์ขันเสียจริง ข้าเป็นผู้น้อยก็ต้องทำตามอยู่แล้วขอรับ”
“ดีมาก”
เว่ยโฉวมองเหล่าหญิงสาวถูกส่งไปค่าย ก่อนจะหันมาถามผู้เป็นนายด้วยความสงสัย “ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ขอรับ?”
หลินมู่อวี่ลอบหัวเราะ “เมื่อก่อนข้าคิดว่าข้ายิ่งใหญ่ คิดว่าตนจะสามารถเปลี่ยนแปลงและไม่เพิกเฉยต่อปัญหาเล็กน้อยทุกอย่างได้ ตอนนี้ข้าเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเราและยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้’ ลำพังพลังของข้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาค้าทาสนี้ได้ แต่มีบางสิ่งที่ข้าทำได้ เว่ยโฉว…เจ้าพอจะรู้จักแหล่งซ่องสุมในเมืองหลันเยี่ยนแห่งนี้หรือไม่?”
เว่ยโฉวประหลาดใจ “ข้าเป็นเพียงคนธรรมดาที่เกิดในตระกูลยากจน ทุกวันนี้เงินเดือนที่ได้ยังต้องส่งเสียให้ทางบ้านใช้ ข้าจะไปมีเงินพอให้ใช้กินใช้เที่ยวได้อย่างไร? ถึงกระนั้น…ข้าน้อยก็พอรู้แหล่งอยู่บ้างขอรับ เป็นตรอกเล็กๆ ชื่อว่า ‘ตรอกแดง’ มีทั้งร้านเหล้าและโรงเตี๊ยมต่างๆ นับว่าเป็นแหล่งซ่องสุมชั้นยอดเลยขอรับ”
“ทันทีที่ส่งข้าถึงที่นั่นแล้ว พวกเจ้าก็นำโล่งูมังกรไปเก็บที่รังอินทรีก่อน ต่อเมื่อเสร็จธุระข้าจะกลับไปเจรจาเอง”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่กับเว่ยโฉวเข้าไปยังตรอกที่มีโคมไฟส่องสว่างที่อยู่ไม่ไกลนัก รอบบริเวณมีแต่ป้ายที่ตกแต่งด้วยดอกไม้หลากชนิด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ลานหลี่ชุนจนหลินมู่อวี่เผลอยิ้มออกมา
หลินมู่อวี่และเว่ยโฉวเป็นทหารหนุ่มรูปร่างกำยำทั้งยังสวมเกราะอันเจิดจรัส เป็นที่หมายตาของบรรดาแม่เล้าในซ่อง กระทั่งมีแม่เล้าคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลเข้ามาทักทายอย่างรวดเร็ว แม่นางที่มีใฝบนใบหน้าเกาะแขนหลินมู่อวี่อย่างไม่เกรงกลัวอำนาจ ก่อนจะจีบปากจีบคอเอ่ยขึ้น “นายท่าน…เหตุใดจึงหายไปนานเช่นนี้เล่าเจ้าคะ?
เว่ยโฉวหลุดหัวเราะ “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะ…”
หลินมู่ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “หยุดความคิดอันลามกของเจ้าเสีย! ข้าสาบานด้วยเกียรติของข้าเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่มา! มันเป็นการหว่านล้อมของพวกนาง!”
“เช่นนั้นหรือขอรับ?” เว่ยโฉวทำหน้าตาล้อเลียน
ทันทีที่หลินมู่อวี่ลงจากม้าแม่เล้าก็รีบเข้ามาคว้ามือเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านมีหญิงที่คุ้นเคยบ้างหรือไม่เจ้าคะ? หากท่านต้องการสิ่งใด บอกข้าได้ทุกอย่าง…ไม่ต้องเขินอายไปเจ้าค่ะ”
“อืม”
หลินมู่อวี่สะบัดแม่เล้าออกเบาๆ และยิ้มให้ “ข้ามีเรื่องจะถามแม่นางสักเรื่อง เหล่าหญิงงามที่นี่ เจ้าเป็นคนขายหรือ?”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ…มิเช่นนั้นคงไม่มีลูกค้ามา ดูทางนี้เจ้าค่ะ คนนี้คือชั้นหนึ่งของเราคืนละสองเหรียญทอง ชั้นสองคืนละห้าสิบเหรียญเงิน และชั้นสุดท้ายจะถูกที่สุดเพียงคืนละสิบเหรียญเงินเจ้าค่ะ!”
หลินมู่อวี่กล่าว “ข้าไม่ได้หมายความถึงการขายเช่นนั้น…”
“แล้วท่านหมายถึงสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
“ข้าหมายถึงขายส่งโดยตรง…”
แม่เล้าหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ “เรื่องนั้นเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะนายท่าน…สาวงามของเราขายร่างกายไม่ได้ขายของ…”
หลินมู่อวี่รู้สึกปวดหัวจนอยากตาย เว่ยโฉวยึงช่วยตัดบทให้ “สาวงามขั้นสามคืนละสิบเหรียญเงินเชียวรึ? แล้วมีสาวงามชั้นไหนที่ขายราคาคืนละสิบเหรียญทองแดงบ้างเล่า?”
แม่เล้ายิ้มตอบ “ท่านช่างเป็นคนตลกเสียจริง คืนละสิบเหรียญทองแดงคงไม่มีสาวงามคนไหนรับหรอกเจ้าค่ะ นอกจากแม่หมูในเล้า…”
เว่ยโฉว “…”
…………………
Related