หลินมู่อวี่หายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเฮือกใหญ่ พลังวิญญาณยุทธ์ของเขาราวกับสระน้ำที่แห้งเหือด ตั้งแต่รอดชีวิตมาได้เขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูพลัง เมื่อผ่านไปห้านาทีสีหน้าหลินมู่อวี่ก็ดีขึ้น ทว่ายังคงมีบาดแผลฉกรรจ์อยู่หลายแห่ง
ฉินจิ้นจับมือของฉินอินและเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เสี่ยวอิน บาดเจ็บหนักหรือไม่?”
“ไม่เพคะ เสด็จพ่อมิต้องเป็นกังวล…”
ฉินอินจับผมที่เต็มไปด้วยเมือกเหนียวก่อนจะเม้มรีฝาก “กระนั้น…ลูกคงต้องทำความสะอาดตัวก่อน ด้วยพระวรกายสกปรกเช่นนี้ ลูกรู้สึกไม่สบายตัวเลย…เสด็จพ่อเพคะ ลูกขอใช้อ่างอาบน้ำที่ลานกลางตำหนักได้หรือไม่?
ฉินจิ้นแย้มพระสรวล “ข้าหลวง! พาองค์หญิงอินไปที่อ่างอาบน้ำของลานกลางตำหนักที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินหันพระพักตร์ไปที่หลินมู่อวี่ “อาอวี่ ข้าจะกลับมาหาหลังจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว เจ้าเองก็…ถูกปกคลุมไปด้วยเมือก เช่นนั้นก็ควรรีบล้างตัว เข้าใจหรือไม่?”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลินมู่อวี่เผยยิ้มด้วยความเคารพ
ฉินจิ้นเลิกพระขนงและตรัสว่า “ทหาร! พาหลินมู่อวี่ไปห้องน้ำที่ลานตะวันตก และเตรียมชุดเกราะองครักษ์อวี้หลินตัวใหม่ให้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
เฟิงจี้สิง ฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และคนอื่นๆ ต่างเดินเข้ามาถามไถ่อาการบาดเจ็บของหลินมู่อวี่ ด้วยร่างกายที่อาบไปด้วยเลือด มันดูน่ากลัวมากไม่ว่าจะมองจากมุมไหน
“อาอวี่ เจ้าไม่เป็นอะไรจริงหรือ?” ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนถามขึ้นพร้อมขมวดคิ้ว “ดูสภาพเจ้าสิ ดูเหมือนพร้อมจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ! อย่าฝืนตัวเองเลย หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา ข้าคงไม่รู้จะบอกอาเหยาอย่างไรดี…”
“วางใจเถิด!”
หลินมู่อวี่ตบเสื้อเกราะที่หน้าอกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ร่างกายข้าสบายมาก จริงสิ…ข้าส่งสารไปหาฉู่เหยาเพื่อเตือนท่าน ได้รับหรือไม่ขอรับ?”
ฉินเหลยพยักหน้า “อืม เราได้รับแล้ว ทว่ามันมาช้าไปเล็กน้อย สาวน้อยฉู่เหยาผู้นั้นจึงต้องมาส่งสารด้วยตัวเอง ดังนั้น…เจ้าควรคุยกับนางเอง!”
พูดจบฉินเหลยก็ขยับออกเผยให้เห็นผู้ที่อยู่ด้านหลัง นั่นคือฉู่เหยาที่สวมเครื่องแบบสมาพันธ์โอสถ
“ฮะ?”
หลินมู่อวี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่สาว ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? ให้นกส่งสารมาก็ได้มิใช่หรือ?”
ดวงตาคู่งามของฉู่เหยาเต็มไปด้วยความตำหนิและกังวล “ยังมาพูดเรื่องนี้อยู่อีก…ข้ามิได้ฝึกนกส่งสารตัวที่สอง จึงต้องมาด้วยตนเอง สมาพันธ์โอสถไม่มีม้า ข้าต้องใช้เบี้ยของทั้งเดือนเพื่อซื้อม้าหนึ่งตัว ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาถึงที่นี่ก่อน!”
“ฮ่าฮ่า…” หลินมู่อวี่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ข้าไม่มีทางเลือก เป็นเพราะข้ากังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นที่ตำหนักกวางโศกา จึงรีบรุดหน้าไปรังอินทรีเพื่อนำกองทหารสามร้อยนายมาเป็นกำลังเสริม”
ไม่ไกลออกไป ฉินจิ้นแย้มพระสรวลและตรัสว่า “หลินมู่อวี่ เป็นการดีที่เจ้านำองครักษ์อินทรีสามร้อยนายมาทันเวลา มิเช่นนั้น…ตัวข้าและเหล่าขุนนางคงถูกทหารของสำนักอัศวินจัดการไปแล้ว”
“ฝ่าบาทได้รับพรจากสรวงสวรรค์ ไม่มีทางจะเกิดเหตุร้ายขึ้นได้พ่ะย่ะค่ะ” พูดจบหลินมู่อวี่ก็รู้สึกขนลุก นี่เขาเรียนรู้การประจบผู้คนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
หลังจากฉินจิ้นตรัสไม่กี่ประโยค ก็พาเหล่าขุนนางไปที่ลานกลางเพื่อหารือเกี่ยวกับการค้าอย่างเป็นทางการ
หลินมู่อวี่ชักกระบี่เหลียวหยวนและลงมือดึงศิลาวิญญาณของงูมังกรอายุกว่าหมื่นปีด้วยความยากลำบาก จากนั้นคว้าทวนหลีฮวาและทำความสะอาดก่อนจะโยนเข้าถุงสรรพสิ่ง หลินมู่อวี่เดินตามฉู่เหยา ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และเฟิงจี้สิงไปที่สวนทางทิศตะวันตกเพื่ออาบน้ำ ทุกคนต่างต้องการล้างตัวหลังรบเสร็จ และแม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหารยศสูง ทว่าสภาพตอนนี้ไม่เหมาะที่จะเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ
“พี่เฟิง งูมังกรทะลวงดินตายแล้ว ทว่าชางไป๋เฮ่อล่ะ?” หลินมู่อวี่ถามขณะที่พวกเขากำลังเดิน
เฟิงจี้สิงนึกย้อนไปและกล่าวว่า “ฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และทหารอวี้หลินนายอื่นๆ ล้อมรอบชางไป๋เฮ่อด้วยอาวุธหลากหลาย อีกทั้งยังใช้การโจมตีด้วยไฟ ทว่าชางไป๋เฮ่อก็หลบหนีไปได้ และไม่รู้ว่าไปกบดานอยู่ที่ใด”
“โอ้…”
หลินมู่อวี่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าเราจะไม่สามารถจับกุมผู้นำได้สักคน ชางไป๋เฮ่อหนีไปได้ รวมทั้งจีหยางและหลี่เฉียนซุน ข้าแทรกซึมในสำนักอัศวินมาเป็นเวลานาน ทว่าก็ไม่พบจุดประสงค์ในการลอบสังหารครานี้ หรืออาจเป็นเพราะพวกนั้นต้องการแต่งตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่?”
เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างระมัดระวัง “อาอวี่ เราควรรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาท…สำนักอัศวินโจมตีเราหลายครั้งจนถึงจุดที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไป”
“อืม!”
…
ห้องอาบน้ำของลานทางทิศตะวันตกเองก็เป็นน้ำพุร้อน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นบนน้ำพุร้อนธรรมชาติ ฉู่เหยายืนอยู่เคียงข้างหลินมู่อวี่และไม่มีท่าทีจะเดินออกไป เมื่อหลินมู่อวี่ถอดเกราะออก เธอก็มองบาดแผลบนร่างกายเขาพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “อาอวี่ ร่างกายเจ้า…”
หลินมู่อวี่ก้มมองก่อนจะยิ้มให้ “มันไม่เป็นไร ผิวของข้าจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ดังนั้นจึงไม่สงผลต่อความหล่อเหลาของข้ามากนักหรอก”
“เจ้าอย่าปล่อยให้อาการบาดเจ็บหลงเหลืออยู่เลย…รีบอาบน้ำแล้วมาหาข้า พี่สาวคนนี้จะนวดให้เอง”
“นวดเหรอ?”
ดวงตาหลินมู่อวี่เบิกกว้างและอดไม่ได้ที่จะดื่มด่ำอยู่กับจินตนาการ
หลังอาบน้ำเสร็จ หลินมู่อวี่ก็สวมเสื้อผ้าที่ข้าหลวงเตรียมมาให้ ฉู่เหยานั่งรออยู่และหยิบเข็มสีเงินออกมา “นอนลงสิ”
“โอ้…”
หลินมู่อวี่นอนลง และฉู่เหยาก็ฝังเข็มให้ทันที เธอใช้ทักษะฝังเข็มอย่างเชี่ยวชาญโดยการฝังเข็มราวแปดเล่มลงบนร่างกายของหลินมู่อวี่ จากนั้นฉู่เหยาก็ผายฝ่ามือพร้อมปลดปล่อยปราณสีเขียวเข้าสู่เส้นเลือดของหลินมู่อวี่ ส่งความรู้สึกผ่อนคลายผ่านอวัยวะต่างๆ และฉู่เหยาก็ชำระล้างเส้นเลือดอุดตันของเขาได้อย่างง่ายดาย
“นี่คือการรักษาแบบใดกัน?”
หลินมู่อวี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “พี่ฉู่เหยา บ้านเกิดข้ามีหญิงสาวมากมายที่เชี่ยวชาญในการนวด ทว่าไม่มีใครที่มีทักษะขั้นสูงเช่นนี้เลย…”
ฉู่เหยาหัวเราะ “อาอวี่เด็กโง่ นี่คือการนวดแบบไหนน่ะเหรอ…นี่เป็นหัตถ์ศักดิ์สิทธิ์จากการแพทย์เทวาซึ่งเป็นทักษะขั้นสูงที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้ ข้าเป็นคนของสมาพันธ์โอสถ และข้ามิได้ฝึกฝนเพียงการปรุงโอสถเท่านั้น หัตถ์ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นตัวช่วยให้ข้าได้เป็นแพทย์ที่โดดเด่น”
“ฮ่าๆ นั่นดีมากเลย…”
หลินมู่อวี่กล่าวอย่างยินดี “หากข้ามีกองทัพเป็นของตัวเองในภายภาคหน้า ข้าจะจ้างพี่ฉู่ด้วยค่าตอบแทนที่สูงเพื่อเป็นแพทย์ประจำตัว”
“จริงหรือ?”
ฉู่เหยาหัวเราะคิกคัก “ข้าไม่เพียงแต่เก่งด้านการปรุงโอสถและใช้หัตถ์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น…อาอวี่ ข้าเริ่มจับทางการใช้ธาตุไฟและธาตุลมของกระบี่จตุธาตุได้แล้ว ทว่ายังต้องฝึกเพิ่มอีกมากเพื่อที่จะใช้ธาตุสายฟ้าและธาตุน้ำของกระบี่ได้ ภายภาคหน้าข้าจะไม่เป็นเพียงแพทย์ที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นทหารที่แข็งแกร่งอีกด้วย!”
“ฮ่าๆ ช่างเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่…” หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่
ฉู่เหยามองไปที่กล้ามเนื้อของหลินมู่อวี่ก่อนจะหน้าแดงก่ำ “เอาล่ะ สวมชุดเกราะได้แล้ว ร่างกายเจ้าควรจะดีขึ้นแล้ว และอย่าลืมใช้โอสถทาบาดแผลล่ะ”
“อื้อ”
ขณะเดียวกันฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและเฟิงจี้สิงออกจากห้องอาบน้ำ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนสวมชุดเกราะซึ่งทำให้ดูหล่อเหลาและโดดเด่นมาก พี่ชายฉู่เหยาเป็นชายหนุ่มรูปงามอย่างแท้จริง ส่วนเฟิงจี้สิงนั้นมีความสง่างามน้อยกว่า ทว่ากลับให้ความรู้สึกกันเองมากกว่าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เฟิงจี้สิงกอดอกพร้อมกล่าวว่า “บัดซบ!…งูมังกรของชางไป๋เฮ่อเกือบจะทำให้ข้าพิการ…พลังยุทธ์ขอบเขตนภาชั้นที่สองยังคงอ่อนแอเกินไป…”
“พี่เฟิงเข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สองแล้วหรือขอรับ?” หลินมู่อวี่ถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่!”
เฟิงจี้สิงยกแขนขึ้นและปล่อยปราณยุทธ์เป็นเกราะรอบฝ่ามือ “เจ้าไม่เห็นเกราะปราณยุทธ์ของข้าระหว่างการต่อสู้กับงูมังกรหรือ?”
“โอ้…ข้ามิทันได้สังเกต…”
“เจ้าเด็กนี่…” เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ทุกอย่างต้องขอบคุณโอสถฝันคืนสู่สูงสุดของเจ้า มิเช่นนั้นฉินเหลยและข้าคงมิสามารถเข้าสู่ขอบเขตราชันสวรรค์ได้ ฮ่าๆ…ขอบคุณเจ้ามากอาอวี่!”
“พูดเกินไปแล้วขอรับ”
“ไม่เลย โอสถฝันคืนสู่สูงสุดเป็นโอสถที่หายสาบสูญเป็นเวลานาน แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับราชาโอสถก็มิสามารถปรุงมันได้ ข้าเกรงว่าแม้แต่คุณหนูฉู่เหยาก็คงไม่สามารถ…นี่เจ้าแอบซ่อนทักษะมากมายถึงเพียงไหนกัน?”
“ฮ่าๆ…” หลินมู่อวี่เกาหัวอย่างอึดอัด “ทุกคนต่างก็มีความลับ เช่นนั้นอย่าถามข้ามากเลยขอรับ…ทักษะการปรุงโอสถของข้าเป็นเพียงการเล่นกล ไม่คุ้มค่าที่จะถามแม้แต่น้อย พี่เฟิงอย่าได้ถามข้าอีกเลย”
“อืม!”
เฟิงจี้สิงนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงที่สุด เนื่องจากเขาเป็นผู้ยืนหยัดต่อสู้กับงูมังกรนานที่สุด งูมังกรอายุหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปีมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าขอบเขตปราชญ์ระดับเก้าสิบ และสำหรับจอมยุทธ์ที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตราชันสวรรค์ระดับที่เจ็บสิบ เขาสามารถรอดชีวิตมาได้หลังจากปะทะกับสัตว์ร้ายตัวนี้ ก็นับว่าแข็งแกร่งมาก
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเงยหน้าขึ้น “อาเหยา ช่วยผู้บัญชาการเฟิงฟื้นฟูอาการบาดเจ็บที วิญญาณยุทธ์ของเขาคือหมาป่าเพลิงสายฟ้าสีม่วงซึ่งเป็นเพียงไอ้งี่เง่าที่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีเท่านั้น แตกต่างจากความสามารถในการฟื้นฟูตนเองของอาอวี่”
เฟิงจี้สิงเม้มริมฝีปาก “เรียกวิญญาณยุทธ์ของใครว่างี่เง่า! ไอ้เด็กนี่…วิญญาณยุทธ์เตียวม่วงของเจ้านั่นแหละที่โง่เง่า…”
ฉู่เหยายกมือขึ้นก่อนที่วิญญาณยุทธ์เตียวม่วงจะปรากฏขึ้นบนไหล่ เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง หากท่านกล่าวหาวิญญาณยุทธ์เตียวม่วงว่าโง่เง่า ข้าจะไม่รักษาท่านนะเจ้าคะ”
“หา?” เฟิงจี้สิงรีบถอนคำพูดและกล่าวว่า “ข้าเพียงพูดว่าวิญญาณยุทธ์เตียวม่วงของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนโง่เง่า ทว่าข้าเห็นความฉลาดในวิญญาณยุทธ์เตียวม่วงของคุณหนูฉู่เหยาภายในพริบตา”
ฉู่เหยาหัวเราะก่อนจะใช้โอสถทาบนบาดแผลของเฟิงจี้สิง จากนั้นก็ใช้หัตถ์ศักดิ์สิทธิ์สลายลิ่มเลือดในเส้นเลือด ฉู่เหยาช่วยพันแผลและเข้าเฝือกแขนที่หักของเฟิงจี้สิง เขาเป็นชายหนุ่มแข็งแรง แม้แขนจะหักเป็นเวลานานและห้อยต่องแต่ง ทว่าเฟิงจี้สิงก็ไม่ร้องออกมาแม้แต่น้อย
…
ผ่านไปไม่นานผู้ส่งสารก็เข้ามา “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ท่านหลินมู่อวี่ ฝ่าบาทกำลังหารือเกี่ยวกับการค้าอยู่ที่ลานกลางตำหนัก เชิญพวกท่านมากับข้าด้วยขอรับ”
“อืม”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหันกลับมาหาฉู่เหยาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราจะรีบกลับมา อาเหยาจะรอพวกเราอยู่ที่นี่หรือไม่?”
“ข้าจะไปรออยู่ด้านนอกของลานกลาง”
“ก็ได้!”
…………………