ตอนที่ 396 โหรวผิน
ผ่านไปอีกสองวันร่างกายของเซียงฉือดีขึ้นมาก ถึงแม้สีหน้าจะยังดูแย่อยู่ แต่ก็ไม่ถึงกับยกนิ้วมือยังไร้เรี่ยวแรง หรงจิงจึงปล่อยนางมากขึ้น เมื่อเซียงฉือว่างจนเบื่อหน่ายก็จะออกไปที่ตำหนักฉินเจิ้งในเขตตำหนักเพื่อนั่งสักครู่หนึ่งแล้วมองดูหรงจิงบนที่นั่งหลัก นางคิดอยากลองกลับมาทำงานใหม่โดยไว
แต่หากถูกหรงจิงเห็นเข้าก็จะถูกไล่กลับห้องไปพักผ่อนทันที
ดังนั้นหลายวันมานี้เซียงฉือจะไปนั่งในตำหนักฉินเจิ้งชั่วครู่ชั่วยามโดยไม่พูดจาและไม่รบกวนหรงจิง
วันนี้เมื่อเซียงฉือกำลังจะเข้าตำหนักฉินเจิ้งก็มีขันทีวิ่งเข้ามาจากด้านนอก
“ฝ่าบาท พระชายาโหรวผินส่งเทียบมาเพื่อขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิงได้ยินรายงานจากขันทีแล้วจึงพยักหน้า ขันทีจึงออกไปเรียกคน เซียงฉือเดินเข้าไปด้านใน ไม่ต้องการจะปรากฏตัวต่อหน้าโหรวผิน
แต่ใจของนางกำลังครุ่นคิดถึงโหรวผินซึ่งเป็นสตรีที่นางยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน
เซียงฉือมาอยู่ในตำหนักเจิ้งหยางก็เป็นเวลาไม่น้อยแล้ว ได้ยินหรงจิงพูดถึงนางอยู่เสมอแต่ทั้งสองคนยังไม่เคยได้พบหน้ากันจริงๆ
หรงจิงมักไปตำหนักเจียนเจียของโหรวผินเพื่อเยี่ยมนางเสมอ
เซียงฉือยืนอยู่หลังฉากบังลม มองเห็นสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาด้วยกิริยางดงาม รูปร่างระหง ท่าทางร่าเริงนั้นแลดูงดงามยิ่ง
เซียงฉือได้ยินเรื่องราวของโหรวผินมานานแล้ว ถึงแม้ในวังจะมีพระสนมหลักอยู่สามองค์อันมีจินกุ้ยเฟยที่ทรงอำนาจที่สุด ซูเฟยรู้การมัดใจคนอย่างยิ่งและจิ้งเฟยซึ่งได้รับความเคารพที่สุด สำหรับโหรวผินคนนี้นางมีชื่อว่าเฉินหนานซู บิดานางเคยเป็นชินอ๋องต่างแซ่คนหนึ่งของแคว้นเซียวจิ่งนามหรงอ๋องเฉินปิ่งคุน
สมัยนั้นหรงอ๋องหลั่งเลือดในสมรภูมิ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อราชวงศ์อยู่บ่อยครั้ง เป็นขุนนางคนสำคัญที่ร่วมรบไปทุกสารทิศกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน ต่อมาเสียชีวิตลงในวัยฉกรรจ์ด้วยอาการบาดเจ็บดั้งเดิมกำเริบ ทิ้งเฉินหนานซูบุตรสาวกำพร้าไว้คนหนึ่ง ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสงสารนางจึงสถาปนาให้เป็นองค์หญิงอยู่ในวัง
นางสนิทกับหรงจิงมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตขึ้นและหรงจิงสถาปนาตนเป็นฮ่องเต้แล้วจึงรับนางเป็นชายาระดับผิน
ในวังต่างพูดกันว่าโหรวผินคนนี้ถึงแม้ฐานะจะไม่เทียบเท่ากุ้ยเฟยกับซูเฟย แต่ในใจของฮ่องเต้ โหรวผินจึงเป็นคนที่สำคัญที่สุดคนนั้น
ถึงแม้จิตใจของหรงจิงยากจะอ่านออก แต่ตามความคิดของเซียงฉือเห็นว่าหรงจิงเป็นคนหนักแน่นในน้ำใจไมตรีจึงทำให้ดีต่อนางไม่น้อย
โหรวผินเดินเข้ามาในโถงแล้วย่อกายคารวะหรงจิง
น้ำเสียงเนิบแผ่วเบา
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ”
น้ำเสียงโหรวผินน่าฟังอย่างยิ่ง มีทั้งความองอาจและเปี่ยมพลังทว่าไม่ได้ทำให้เสียงห้าวใหญ่ แต่เป็นเสียงชวนฟังแล้วสบายใจ
ซึ่งดูจะขัดกับรูปร่างผอมเพรียวของนาง
แต่ไรมาหรงจิงไม่เคยวางมาดเมื่ออยู่ต่อหน้านาง เมื่อเห็นนางเข้ามาก็ยิ้มอย่างจริงใจและเรียกนางด้วยชื่อเล่น
“ซูซู เจ้ามาได้เหมาะเจาะ หลายวันก่อนข้าได้หยกงามมาก้อนหนึ่งแลดูงดงามมาก ข้าสั่งคนให้เก็บไว้ให้เจ้าแล้ว”
“เจ้ามาดูแล้วลองคิดดูว่าจะทำเป็นอะไรดี”
หรงจิงดีใจเมื่อได้พบโหรวผิน เขากวักมือเรียกซูกงกง ก็พบว่าเขาได้ยกหยกล้ำค่าเดินเข้ามาแล้ว
“ไหนขอหม่อมฉันดูสักหน่อยว่าฝ่าบาททรงได้รับของล้ำค่าอะไรมาจึงได้เบิกบานพระทัยเช่นนี้ ดูซิว่าจะเทียบกับกำไลหยกเสวี่ยหยางหน่วนที่ฝ่าบาททรงพร่ำตรัสถึงทุกวันในสมัยก่อนได้หรือไม่”
เซียงฉือฟังคำพูดนางแล้วก็รู้ถึงความสนิทสนมกันตั้งแต่เล็กของพวกนาง สิ่งของในอดีตพวกนั้นมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้กันเอง และตอนนี้มีเพียงเขาทั้งสอง ฝ่าบาทจึงยิ่งปลื้มอกปลื้มใจ
เซียงฉือคิดเช่นนั้น นางไม่อยู่ฟังต่อไปจึงหมุนกายกลับไปพักฟื้นต่อยังห้องของตน
หรงจิงหยิบหยกก้อนนั้นให้โหรวผินดู นางมองดูแล้วหัวเราะเบาๆ หยกเนื้อแข็งลายเขียวกระจายก้อนนี้ ช่างเป็นของเล่นที่แปลกและประณีตทีเดียว
ตอนที่ 397 จนปัญญา
หรงจิงเห็นแล้วก็ชอบ ระยะนี้เครื่องบรรณาการจากที่ต่างๆ มีของน่าเล่นน่าสนใจจำนวนมาก แต่หรงจิงรู้ว่าโหรวผินนิยมชมชอบหยกแข็งจึงตั้งใจเก็บหยกก้อนนี้ไว้เพื่อรอดูว่านางจะนำไปทำเป็นอะไร
หรงจิงมีใจสงสารโหรวผินเสมอมา นางสูญเสียบิดามารดาตั้งแต่เล็ก ทั้งยังเติบโตขึ้นมาด้วยกันจึงย่อมมีความสนิทสนมกันมาก โหรวผินมีสุขภาพค่อนข้างอ่อนแอซึ่งเขาเป็นกังวลตลอดมา
มักเห็นนางอ่อนแอจนแทบไม่อาจต้านทานลมเช่นนั้น เขาจะรู้สึกปวดใจยิ่ง
โหรวผินมองดูหินหยกก้อนนั้นแล้วรู้สึกพอใจจริงๆ นางวางไว้ในฝ่ามือ มองดูหยกแข็งขนาดประมาณกำปั้นนั้นด้วยดวงตาเจิดจ้าแล้วมองหรงจิงอย่างเบิกบานใจ
“ฝ่าบาท หินก้อนนี้ไม่เลวเลย ถ้าเช่นนั้นทำเป็นกำไลสักคู่หนึ่ง หากมีเศษเหลือก็นำมาทำเป็นตุ้มหูสักชุดกับเครื่องแขวนสักหลายชิ้นก็ดีนะเพคะ”
โหรวผินมองดูหินแล้วยิ้ม เมื่อหรงจิงเห็นนางเบิกบานใจเช่นนั้นจึงนึกขอบคุณความสุขที่หยกแข็งก้อนนี้นำมาให้ ยิ่งมองดูโหรวผินก็ยิ่งยินดี
หรงจิงจึงสั่งการออกไป แล้วปล่อยให้ผู้อื่นเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้ต่อไป
ทั้งสองคนนั่งลงคุยกันอย่างสนิทสนมภายในห้อง
คุยกันได้สักพักโหรวผินจึงลากลับ หรงจิงยังไม่ทันกลับถึงที่นั่งก็พูดขึ้นว่า
“คืนนี้ให้เรียกโหรวผินถวายงานบรรทมยังตำหนักเจิ้งหยาง”
ในวังมีกฎระเบียบเข้มงวด มีเพียงระดับพระสนมเท่านั้นที่สามารถรั้งฮ่องเต้ให้อยู่ค้างแรมด้วยได้ ดังนั้นในวังจึงมีเพียงจิ้งเฟย ซูเฟยกับกุ้ยเฟย ที่สามารถรั้งฮ่องเต้อยู่ค้างแรมด้วยได้ภายในตำหนักของตน
ส่วนระดับผินและต่ำกว่านั้นได้แต่เพียงมาถวายงานในตำหนักเจิ้งหยาง
เซียงฉือเดินออกจากห้องมาทันได้ยินคำพูดนั้น นางอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะเดินออกมาจากด้านในอย่างปกติ
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันอยากจะไปเดินเล่นด้านหลังพระตำหนัก ขอได้โปรดประทานพระราชานุญาตด้วยเพคะ”
เพราะว่าเซียงฉือป่วย หรงจิงจึงกวดขันนางมากขึ้น ในช่วงแรกไม่ยอมแม้กระทั่งให้นางออกนอกห้องด้วยเหตุผลว่าอากาศข้างนอกหนาวเย็นลงทุกวันและนางก็ยังไม่หายป่วยดีจึงต้องเก็บตัวอยู่ในที่ๆ มีเตาอังไฟ
ส่วนนางเองเพราะร่างกายยังไม่หายดีจริงๆ จึงไม่กล้าโต้แย้ง
แต่ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาก เซียงฉือได้เตรียมของขวัญเล็กน้อยคิดจะไปขอบคุณซู่เวิ่นกับเหอจิ่นเซ่อ
ในช่วงที่นางล้มป่วย ทั้งสองคนต้องเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
หรงจิงได้ยินว่าเซียงฉือต้องการจะไปเดินเล่นหลังตำหนักก็ขมวดคิ้วไม่ค่อยชอบใจ กระทั่งเซียงฉือได้บอกกับเขาว่า
“ฝ่าบาท หลายวันมานี้อาการป่วยของหม่อมฉันกำเริบ ก็ได้ใต้เท้าซู่เวิ่นคอยใส่ใจดูแลและรักษาให้หายเป็นปกติ หม่อนฉันรู้สึกซาบซึ้งใจ คิดว่าอีกไม่กี่วันก็จะได้กลับมารับใช้ฝ่าบาทแล้ว จึงคิดจะใช้โอกาสนี้ไปขอบคุณใต้เท้าซู่เวิ่นสักหน่อยเพคะ”
“แล้วก็ยังมีใต้เท้าเหอจิ่นเซ่อที่เหน็ดเหนื่อยด้วยอย่างยิ่งเช่นกัน หม่อมฉันคิดว่าหากวันหน้าหาเวลาเพื่อไปเยี่ยมเยียนใต้เท้าทั้งสองท่านได้ก็จะเป็นการดีเพคะ”
“ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วยเถิดเพคะ”
เมื่อเซียงฉือพูดเช่นนี้หรงจิงจึงไม่อาจแข็งขืนไม่ยอมให้ไปได้ เขาจึงสะบัดมือ บอกให้เซียงฉือระวังตัวให้ดีแล้วให้นางไป
แต่ว่าเซียงฉือเพียงออกไปได้ไม่นาน หรงจิงพลันนึกขึ้นมาได้แล้วก็นึกโกรธขึ้นมา
หากพูดถึงการดูแล เขาสิจึงจะเป็นคนที่ดูแลนางมากที่สุดคนนั้น แต่ไม่เห็นเซียงฉือสำนึกขอบคุณเขาสักเท่าไร หรงจิงรู้สึกไม่พอใจ
ดีที่เซียงฉือไม่ได้เห็นท่าทางของฮ่องเต้ในตอนนี้ มิเช่นนั้นคงต้องรู้สึกจนปัญญาอย่างยิ่ง
ตอนนี้ดูหรงจิงจะมีนิสัยชาวบ้านมากขึ้น มีทั้งพูดคุยทั้งหัวเราะ อีกทั้งยังมีทีท่าอิจฉาริษยาอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
หรงจิงลูบมุมปากหัวเราะขึ้นเบาๆ มองดูแผ่นหลังเซียงฉือที่ห่างออกไป แล้วพูดอย่างรู้สึกหยอกเย้าขึ้นว่า
“จำเป็นต้องไปวันนี้ด้วยหรือ”