ตอนที่ 708: รีบรุดไปอาณาจักรฉินหวง
เจี้ยนเฉินออกเดินทางทันทีหลังจากที่ได้มอบภูเขามังกรขนดให้เป็นของขวัญแก่ตระกูลเทียนฉิน เขามุ่งตรงไปอาณาจักรต้าโจวที่อยู่ใกล้เคียง เพราะว่าเขาตั้งใจที่จะใช้ประตูมิติเพื่อไปที่อาณาจักรฉินหวง มันคงช่วยประหยัดเวลาให้เขาได้อย่างมาก
การที่ตระกูลเทียนฉินครอบครองภูเขาจิตวิญญาณในรัศมีหลายหมื่นกิโลเมตรนั้น ไม่ได้ทำให้เจี้ยนเฉินกังวลอะไร เขารู้ว่าเมื่อข่าวที่ว่าตระกูลเทียนฉินได้รับการหนุนหลังจากเซียนผู้คุมกฎได้แพร่กระจายออกไป คงไม่มีใครพยายามที่จะไปยึดภูเขามังกรขนด ยกเว้นเสียแต่ว่าจะมีองค์กรที่ไม่เกรงกลัวต่อเซียนผู้คุมกฎ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีกลุ่มแบบนั้นจริง พวกเขาคงไม่อยากเป็นศัตรูกับเซียนผู้คุมกฎ เพียงเพราะแค่อยากได้ภูเขาจิตวิญญาณ
เมื่อตระกูลเทียนฉินได้ครอบครองภูเขาจิตวิญญาณแล้ว ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาคงเพิ่มขึ้นโดยใช้เวลาไม่มาก พลังธรรมชาติของภูเขามังกรขนดหนาแน่นไป 2 เท่าเปรียบเทียบกับที่อื่น ดังนั้นการฝึกตนที่นั้นคงง่ายขึ้นเป็น 2 เท่า
เจี้ยนเฉินใช้พลังมิติเพื่อบินไปที่ความสูงหลายหมื่นกิโลเมตร เสือขาวขนาดเท่าแมวก็กำลังขนอยู่ที่ไหล่ของ เจี้ยนเฉิน มันคงกำลังย่อยสมบัติสวรรค์อยู่
เกราะไหมบรรพกาลปรากฏขึ้นมาอยู่บนมือเจี้ยนเฉินอีกครั้ง เขาบ่นกับตัวเอง “ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเดินทางช้าไป 2 วันในการที่ไปที่ภูเขามังกรขนด แต่การเสียเวลานี้ก็เป็นผลดี ข้าได้สมบัติเกราะไหมบรรพกาลมา แต่เรื่องเลวร้ายอะไรเล่าที่กำลังจะตามมาพร้อมกับมัน ? ” เจี้ยนเฉินรู้สึกไม่ดีใจเลยที่ได้เกราะไหมบรรพกาลมา กลับกัน เขารู้สึกเต็มไปด้วยความกังวล ความรู้สึกกดดันจากเรื่องเลวร้ายที่ถูกทำนายไว้ในอนาคต ทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุข
นี่เป็นเพราะเขาเข้าใจว่า เมื่อมันถูกเรียกว่าเรื่องเลวร้ายที่ได้ถูกทำนายไว้ และกฎแห่งโลกได้เว้นระยะเวลาที่จะให้กำเนิดเทพหนอนไหม ความหายนะนี้ต้องยิ่งใหญ่และร้ายแรงมากแน่ ๆ ถ้าเขาไม่จัดการกับมันดี ๆ บางเรื่องนี้อาจจะถึงจุดจบของโลกเลยก็เป็นได้
เจี้ยนเฉินมุ่งหน้าไปสู่อาณาจักรต้าโจวด้วยใจที่หดหู่ ในขณะเดียวกัน เขาก็เห็นภาพลาง ๆ ของชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่อย่างเบิกบานที่ปลายสุดของเทือกเขาครอส ใบหน้าของเขาค่อนข้างซีดและยากที่จะปิดบังความเหนื่อยล้าจากใบหน้าของเขาได้ เขาคือราชาของตระกูลกิลลิกันซึ่งเคยพยายามที่จะฆ่าเจี้ยนเฉิน และหวังที่จะแย่งชิงพยัคฆ์ปีกเทวะ แต่ก็ถูกขับไล่ไปโดยฮุสตันในตอนนั้น
“บ้าเอ๊ย โชคไม่ดีจริง ๆ ใครจะคิดล่ะว่าข้าจะเจอจอมยุทธที่สุดยอดได้ง่ายดายเพียงนี้บนโลกมนุษย์ เจี้ยนเฉิน เจ้าโชคดีครั้งก่อน แต่เราต้องได้พยัคฆ์ปีกเทวะนั่น แม้จะมีจอมยุทธของมนุษย์มาเกี่ยวข้องในครั้งนี้ เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในครั้งนี้ได้” ราชากัดฟันตัวเอง เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อ 2-3 วันที่แล้ว เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาหน่อย ๆ แม้ในท้ายที่สุด เขาจะไม่รู้ว่าจอมยุทธชายที่สู้กับเขาอยู่อย่างลับ ๆ ในตอนนั้นคือใคร แต่ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าคนนั้นแข็งแกร่งมาก แม้เขาเป็นถึงเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 2 เขาก็ถูกโจมตีโดยไม่สามารถที่จะต่อต้านได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันทำให้เขาต้องใช้ทักษะลับในการหลบหนีในตอนท้าย แต่นั่นทำให้เขาต้องจ่ายในราคาที่แพง เพราะมันทำให้เขากลับกลายมาอยู่ในชั้นสวรรค์ที่ 1 และเสียเวลาที่เขาฝึกมาหลายปีภายในวันเดียว
ในตอนนี้ มีรูปร่างหลายรูปร่างโผล่ขึ้นมาในที่ไกล ๆ พวกเขาบินตรงมาที่ตำแหน่งที่สัตว์อสูรอยู่ และใช้เวลาพริบตาเดียวในการมาถึงตรงนี้ คนเหล่านั้นมาหยุดที่ขอบนอกของบริเวณเทือกเขาครอส ทั้งสัตว์อสูรและคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ข้ามเขตแดนมา
พวกเขาทั้งหมดรวมกัน 5 คนและพวกเขาทั้งหมดก็ดูแก่ชรา แต่ก็ยังมี 2 คนในนั้นที่ดูมีเลือดฝาดอยู่ 3 คนที่เหลือนั้นเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นและดูแก่ชรามาก
“ท่านราชา ข้าสงสัยว่าทำไมท่านถึงเรียกให้เรามาที่นี่ ? ” 1 ในชายชราประสานมือ เขามีความเคารพในราชามาก
ราชามองไปยืนกอดอกและมองไปที่คนทั้ง 5 อย่างเฉย ๆ เขาพูด “ข้ามีบางเรื่องสำคัญที่จะต้องทำถึงได้เรียกพวกเจ้าทั้ง 5 คนมาในตอนนี้”
“ได้โปรดบอกเรามาได้เลย ! ” 1 ในชายชราประสานมือด้วยความเคารพ
แสงสีทองปรากฏขึ้นที่นัยน์ตาของราชาของตระกูลกิลลิกัน พลังแห่งธรรมชาติด้านหน้าเขาเริ่มกระเพื่อมขึ้นอย่างมาก ในไม่ช้าภาพก็ปรากฏขึ้นมาจากที่ใดไม่รู้ ภาพนั้นถูกสร้างมาจากพลังแห่งธรรมชาติตามความทรงจำของราชาของตระกูลกิลลิกัน
“คนผู้นี้คือเจี้ยนเฉิน ผู้ที่มาจากอาณาจักรเล็ก ๆ ชื่อเกอซุน เขามีลูกเสือสีขาวดั่งหิมะ งานของเจ้าคือต้องนำลูกเสือนั้นจากเจี้ยนเฉินมาให้ข้า” ราชาของตระกูลกิลลิกันพูดอย่างเย็นชา
ชายชราทั้ง 5 คนสำรวจดูรูปของเจี้ยนเฉินอย่างใกล้ ๆ แล้วจดจำไว้ภายในใจ หลังจากนั้น 1 ในนั้นพูด “ท่านราชา ข้าสงสัยว่าเราจะได้อะไรตอบแทนจากการทำเช่นนี้ ? “
ราชาของตระกูลกิลลิกันยกมือขึ้นและแกนอสูร 5 ชิ้นที่เปล่งประกายขนาดเท่ากำปั้นก็ปรากฏขึ้นมา ลักษณะของแกนอสูรเหมือนถูกล้อมรอบไปด้วยพลังที่รุนแรง รอบ ๆ แกนอสูรนั้นมันยังดูเหมือนว่าจะมีสายของพลังแห่งธรรมชาติไหลอยู่
การที่ได้เห็นแกนอสูรที่ระยิบระยับนั้น ชายชราทั้ง 5 คนนั้นก็ไม่สามารถปิดบังความตะกละและความละโมบเอาไว้ได้
ราชาตระกูลกิลลิกันยิ้มเหยียดเล็กน้อยและพูด “นี่คือแกนอสูรระดับ 7 ข้าให้มัดจำไว้ก่อน และหลังจากที่เจ้าเสร็จงาน ข้าจะให้แกนอสูรระดับ 7 แก่พวกเจ้าทุกคนอีก 2 ชิ้น”
ตาของชายชราทั้งห้าคนเป็นประกาย พวกเขายินดีเป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้แกนอสูร ระดับ 7 ที่มีค่าถึง 3 ชิ้นหลังจากทำงานลุล่วง ถ้าเขาดูดกลืนพลังของแกนอสูรทั้ง 3 ชิ้นนี้ได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของพวกเขาคงต้องเพิ่มไปอีกระดับ
“ไป จัดการให้ไวและกลับมา ข้าจะอยู่รอฟังข่าวดี” ราชาของตระกูลกิลลิกันหายตัวไป ทิ้งแกนอสูรที่ระยิบระยับ 5 ชิ้นไว้กลางอากาศ
คนทั้ง 5 จ้องไปที่แกนอสูรทั้ง 5 ชิ้นด้วยความอยากได้ หลังจากนั้น แต่ละคนก็เอามันไปคนละชิ้นและจากไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันที่หุบเขายั่งยืน ท่านลุงเซี่ยนั่งยอง ๆ อยู่ที่พื้นด้วยเท้าเปล่า กำลังกำจัดวัชพืชที่ขึ้นอยู่ออกไป แสงประกายปรากฏขึ้นที่นัยน์ตาของเขาและพูด “เซี่ยมี่ มานี่”
ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก เซี่ยมี่ คนที่กำลังกำจัดวัชพืชอยู่ด้วยนั้นก็ยืนขึ้นและเดินไปที่ท่านลุงเซี่ยทันที เขาถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ มีอะไรหรือ ? “
ท่านลุงเซี่ยทำธงที่มีลูกศรสีแดงบนนั้นและพูด “พวกเรามนุษย์มีเซียนผู้คุมกฎ 5 คน ที่ทำงานกับราชาของตระกูลกิลลิกันเพื่อทำให้เผ่าพันธุ์ของเราเสียหาย เอารูปธนูของข้าไปและไปที่นิกายดาบโลหิตโดยเร็ว ไปพาผู้พิทักษ์ทั้งสี่มาเพื่อที่กำจัดคนทรยศทั้ง 5 นั้น”
“ท่านพ่อ ท่านไม่ได้สัญญาไว้หรือว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของทวีปเทียนหยวนอีกหรือ ? ทำไมท่านถึง…” เซี่ยมี่ถามด้วยความแคลงใจ
ลุงเซี่ยถอนหายใจเบา ๆ เขาพูด “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องมากมาย ข้าไม่สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวเพราะว่ามันจะดึงดูดความสนใจจนเกินไป และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจี้ยนเฉินด้วย ดังนั้นข้าไม่สามารถทนดูอยู่เฉย ๆ ได้ ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินอาจจะเพิ่มขึ้นมาก แต่เขาก็ยังไม่สามารถขจัดพวกนั้นทั้ง 5 คนได้”
การที่ได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจี้ยนเฉิน ท่าทีของเซี่ยมี่ก็ตึงเครียด เขาพูด “ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อ ข้าจะไปที่นิกายดาบโลหิตและบอกให้ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 เคลื่อนไหว แต่ว่าใครคือผู้ทรยศทั้ง 5 นี้กัน?”
“แค่บอกผู้พิทักษ์ให้ไปที่อาณาจักรเกอซุน เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น พวกเขาก็จะรู้เองว่า 5 คนนี้คือใคร” ลุงเซี่ยกล่าว
Related