บทที่ 295 ตัดขาดตระกูลเย่
หลังจากที่ปู้หยุนฟานและเสี่ยวหยูฉิงได้เข้าไปในหมู่ตึกหยูอี่ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องลอยโดยที่ไม่กลับออกมาอีก เหตุการณ์นี้ทำให้บรรดาศิษย์สำนักที่มากับปู้หยุนฟานต่างรู้สึกตกใจ
พวกเขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสปู้หยุนฟานของพวกเขาจะไม่กลับมาหลังจากเข้าไปเอายันต์สั่งสวรรค์
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ต้องรู้ว่าผู้อาวุโสของพวกเขาเป็นผู้ใช้อักขระเวทย์ระดับหลุดพ้นสามัญและเขายังพกสมบัติวิเศษระดับเซียนของสำนักติดตัวไปอีกด้วย!
ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ใครจะฆ่าเขาได้?
ด้วยความไม่แน่ใจหรือไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่พวกเขาคิด พวกเขาจึงต่างพากันแยกย้ายสอบถามผู้คนบริเวณรอบ ๆ เกี่ยวกับเบาะแสของปู้หยุนฟานและเสี่ยวหยูฉิง แต่เมื่อหลังจากรู้ว่าทั้งสองคนได้เดินเข้าไปในหมู่ตึกหยูอี่จริงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ออกมา
พวกเขาจึงสรุปได้แล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้เข้าขั้นเลวร้ายและพวกเขาเองก็คงไม่มีอำนาจพอจะคลี่คลายมันด้วยตัวเอง พวกเขาจึงตัดสินใจกลับไปที่สำนักอักขระวิญญาณทันทีเพื่อแจ้งข่าวนี้ให้ทางสำนักทราบโดยเร็วที่สุด
ทางด้านหมู่ตึกหยูอี่ ซือโถวเหวินหยวนในเวลานี้เขาวิ่งไปทั่วทุกหอการค้าและในที่สุดก็ซื้อไขกระดูกอสูรธาตุศักดิ์สิทธิ์กลับมาได้
ส่วนผสมสุดท้ายของโอสถบำรุงวิญญาณ ในที่สุดก็อยู่ในมือเขา
เมื่อมีส่วนผสมทุกอย่างครบ หลิงตู้ฉิงก็ปรับความร้อนของเตาหลอมและเริ่มหลอมโอสถบำรุงวิญญาณทันทีหลังจากที่เขาได้รับไขกระดูกอสูรธาตุศักดิ์สิทธิ์
วิธีที่เขาใช้ในการหลอมโอสถยังคงเป็น ‘นวโคจรกำเนิดโอสถ’ ซึ่งเป็นวิธีการหลอมโอสถที่ทรงพลังที่สุดที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของสำนักโอสถนิรันดร์
เมื่อเริ่มกระบวนการหลอม เตาหลอมในมือของหลิงตู้ฉิงก็เริ่มหมุนไปเรื่อย ๆ แต่มันหมุนช้ามาก อัตราการหมุนของมันนั้นใช้เวลาถึง 1 วันกว่าจะหมุนได้ครบ 1 รอบ
เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนกระบวนการหลอมของหลิงตู้ฉิง มี่ไลและคนอื่น ๆ จึงปฏิเสธผู้มาเยือนทั้งหมดที่จะมาขอเข้าพบหลิงตู้ฉิง เนื่องจากพวกเขาต้องการให้หลิงตู้ฉิงมุ่งเน้นไปที่การหลอมโอสถแต่เพียงอย่างเดียว
ในเวลานี้ทั้งหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวมีความมั่นใจในเจ้านายของพวกนาง และหมู่ตึกหยูอี่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะนี้หยุนจื่อรุ่ยกำลังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู และเปียนเฉียวเฉียวที่กำลังนั่งหลับตาบ่มเพาะอยู่ที่ฝั่งด้านในประตูอาคาร เพื่อรอรับแขกจากทั่วทุกสารทิศที่แวะเวียนเข้ามาหา โดยที่พวกนางไม่เกรงกลัวต่อผู้บ่มเพาะทุกระดับ
นี่เป็นเพราะพวกนางตระหนักได้ในหมู่ตึกของนางยังมีพี่สาวในภาพวาดอยู่คนหนึ่งที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยเพียงการจ้องมองของนาง!
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถูกนางสังหารไปนั้นยังดูเป็นคนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
“ที่นี่มียันต์ผนึกอักขระขายไหม?” มีคนมาที่ประตูและถามพวกนาง “ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองเจินไห่ หมู่ตึกหยูอี่ของพวกเจ้ามียันต์ผนึกอักขระอยู่เป็นจำนวนมากแถมยังราคาถูกอีกด้วย นี่ข้ามาถึงแล้วก็ตรงมาที่นี่โดยเฉพาะเลยนะเจ้ารู้ไหม?”
หยุนจื่อรุ่ยส่ายหัว “ขออภัยด้วยแต่ตอนนี้หมู่ตึกหยูอี่ของเราไม่ขายสินค้าใด ๆ อีกต่อไปแล้ว หากท่านต้องการซื้อก็โปรดลองไปดูที่หอการค้าอื่น!”
“แต่หอการค้าอื่น ๆ พวกนั้นมันขายแพงมากเกินไปหน่อยนี่นา!” ชายคนนั้นยิ้มอย่างขมขื่น
“ข้าเข้าใจ แต่เราไม่ได้ขายของอีกต่อไป!” หยุนจื่อรุ่ยยิ้ม หลังจากปฏิเสธลูกค้าแล้วนางมองไปที่เปียนเฉียวเฉียวที่กำลังบ่มเพาะอยู่ด้านในอาคาร และมองไปยังทิศทางที่สวนด้านหลังด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
ในขณะที่นางรู้สึกเบื่อ และกำลังจะเดินกลับเข้าไปด้านในอาคาร ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็ปรากฎกายขึ้นที่ประตูและถามว่า “จื่อรุ่ย เจ้ากำลังยุ่งอยู่รึเปล่า?”
หยุนจื่อรุ่ยเงยหน้าขึ้นและเมื่อเห็นว่าเป็นคนจากตระกูลเย่ นางจึงรีบตอบกลับทันที “นายน้อยสอง ข้ากำลังช่วยนายท่านรับแขก!”
คนที่อยู่ด้านนอกคือลูกชายคนที่สองของผู้นำตระกูลเย่ เย่เซินหมิง
เย่เซินหมิงยิ้มและกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพอจะช่วยข้าแจ้งนายของเจ้าสักหน่อยได้ไหมว่าข้าอยากจะขอเข้าไปแสดงความเคารพต่อนายของเจ้า”
หยุนจื่อรุ่ยพูดอย่างกระอักกระอ่วน “นายน้อยสอง นายท่านของข้ากำลังยุ่งอยู่ตอนนี้เขาได้มีคำสั่งมาให้ข้าปฏิเสธกับแขกทุกคนที่มาขอเข้าพบ เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้ใครก็ตามมารบกวนเขาในช่วงเวลานี้ แม้กระทั่งพวกข้าเองก็ยังไม่สามารถเข้าไปในสวนด้านหลังได้เช่นกัน”
“อย่างนั้นเหรอ?” เย่เซินหมิงเลิกคิ้ว
เขาไม่ได้ตั้งใจทำให้เด็กทั้งสองต้องรู้สึกยุ่งยากใจ เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาเองก็ได้ยินเรื่องราวความพิสดารของสถานที่แห่งนี้อยู่หลายอย่าง ซึ่งเขาเองก็ไม่กล้าที่จะดูแคลนสถานที่แห่งนี้ เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าคนที่เคยดูถูกสถานที่แห่งนี้มาก่อนหน้า พวกเขาทั้งหมดล้วนกลายเป็นศพและถูกลากทิ้งไปกอง ๆ กันตรงกลางถนนทางเข้าหมู่ตึกหยูอี่
เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปได้ เย่เซินหมิงจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหันหลังกลับ
“ถ้าเช่นนั้น ไว้วันหน้าข้าจะกลับมาอีกเพื่อคารวะนายท่านของเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน ว่าแต่จื่อรุ่ย มันก็เป็นเวลานานแล้วที่เจ้าและเฉียวเฉียวไม่ได้กลับมาเยี่ยมพวกเราที่ตระกูลเลย เมื่อไหร่พวกเจ้าว่างกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้าง พวกเราทุกคนต่างคิดถึงเจ้ากันหมดนะ”
หยุนจื่อรุ่ย เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็รู้สึกลุกลี้ลุกลนไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร
ในเมื่อพวกนางถูกส่งมาที่หมู่ตึกหยูอี่แล้วฉะนั้นพวกนางก็ควรที่จะเป็นคนของหมู่ตึกหยูอี่ หากไม่มีความจำเป็นอะไรพวกนางก็ไม่ควรกลับไปที่ตระกูลเย่จริงไหม?
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดของเย่เซินหมิง นางจึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
“ตั้งแต่ที่ตระกูลเย่ส่งพวกนางมาที่นี่และนับจากวินาทีที่สามีของข้าตกลงรับพวกนางให้เข้ามาอยู่ร่วมกับเขา พวกนางก็คือคนของเรา และที่นี่คือบ้านแห่งเดียวของพวกนาง ท่านเข้าใจที่ข้าพูดใช่ไหม นายน้อยเย่!?” เสียงของมี่ไลลอยขึ้นมา
เย่เซินหมิงพยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไร
“พวกเจ้ายังมีสมาชิกครอบครัวของพวกเจ้าอยู่ในตระกูลเย่อยู่อีกรึเปล่า?” มี่ไลถามขึ้นไปทางหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียว
พวกนางทั้งสองต่างส่ายหัวและพูดว่า “นายหญิง พวกเราสองคนต่างถูกซื้อมาให้เป็นคนรับใช้คุณหนูเล็กตั้งแต่ยังเด็ก ฉะนั้นพวกเราไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกนายหญิง”
มี่ไลพยักหน้านางหันไปหาเย่เซินหมิง และพูดว่า “ตอนนี้สามีของข้ากำลังหลอมโอสถบำรุงวิญญาณอยู่ ฉะนั้นเจ้ายังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปรบกวนเขาได้ในตอนนี้ แต่ข้าและสามีของข้าพวกเราต่างพอใจกับเด็กน้อยทั้งสองคนนี้มาก ฉะนั้นพวกนางจะติดตามเราจากนี้ไป ส่วนรางวัลสำหรับการส่งเด็กน้อยทั้งสองคนนี้มาให้เรา ท่านจงมารับโอสถบำรุงวิญญาณได้ในอีก 10 วันนับจากนี้”
หัวใจของเย่เซินหมิงเต้นผิดจังหวะ แต่สีหน้าภายนอกยังคงเก็บอาการและตอบกลับอย่างสุภาพว่า “ท่านหญิง ท่านกล่าวเช่นนี้ต้องล้อข้าเล่นแน่ ๆ เป็นความโชคดีของพวกนางเองต่างหากที่พวกนางได้มาพบกับพวกท่านและสามารถรับใช้พวกท่านได้ ท่านจะให้พวกข้ากล้ารับรางวัลได้อย่างไร?”
เย่เซินหมิงรู้สึกงุนงง พลางคิดขึ้นในใจ ‘หลิงตู้ฉิงไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์งั้นหรอกเหรอ? ทำไมเขาถึงรู้วิธีหลอมโอสถระดับสวรรค์โอสถบำรุงวิญญาณได้? นี่มันคือเรื่องเข้าใจผิดอะไรรึเปล่า? ดูเหมือนว่าข้าต้องรีบกลับไปที่ตระกูลเพื่อคุยเรื่องนี้กับพ่อของข้าอย่างเร่งด่วนซะแล้ว’
“ท่านหญิง ในเมื่อสามีของท่านไม่ว่าง เช่นนั้นข้าคงไม่กล้ารบกวนกวนต่อแล้ว ไว้พบกันใหม่ ข้าขอตัวลา!” เย่เซินหมิงพูดอย่างรีบเร่งและจากไปอย่างรวดเร็ว
มี่ไลมองไปที่เย่เซินหมิงที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไป ก่อนที่จะหันหน้าไปทางหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียว “พวกเจ้าจงรออีกสักหน่อยจนกว่าโอสถบำรุงวิญญาณจะถูกมอบให้พวกเขาแล้ว พวกเจ้าก็จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเย่อีกต่อไป ในอนาคตไม่ว่าพวกเขาจะพูดว่าอะไรอีกพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจอะไร สามีของข้าต้องการเพียงแต่ให้พวกเจ้าตั้งใจบ่มเพาะและคอยเฝ้าดูหมู่ตึกหยูอี่ แห่งนี้ต่อไปในอนาคตให้ดีก็เท่านั้น”
หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียว เมื่อได้ยินเช่นนี้ต่างก็ซาบซึ้ง และขณะที่พวกนางกำลังจะคุกเข่าลง มี่ไลก็เอื้อมมือไปจับพวกนางและพูดว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพกับข้ามากขนาดนั้น ตอนนี้พวกเราถือได้ว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว!”
“ขอบคุณ นายหญิง!” หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวโค้งคำนับ
มี่ไลส่ายหัวและพูดว่า “พวกเจ้าควรขอบคุณนายท่านของพวกเจ้าต่างหาก ยังไงซะข้าก็ไม่ใช่คนที่หลอมโอสถให้พวกเจ้าด้วยตัวเอง”
หลังจากพูดจบ มี่ไลก็หันกลับและเดินเข้าไปในสวนด้านหลัง
หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวมองหน้ากันด้วยอารมณ์ที่ทั้งตื่นเต้นและประหม่า โอสถบำรุงวิญญาณนั้นเป็นถึงเป็นโอสถระดับสวรรค์ นี่พวกนางมีค่าพอจะได้รับโอสถระดับนี้จริง ๆ งั้นเหรอ? นี่มันเป็นความฝันหรือความจริงที่พวกนางได้ติดตามเจ้านายที่ทรงพลังเช่นนี้? และที่สำคัญเจ้านายของพวกนางลงทุนจ่ายค่าตัวพวกนางด้วยราคาอันมหาศาลขนาดนี้คงไม่ใช่แค่ให้พวกนางมาคอยเฝ้าดูผู้คนที่จะเข้ามาด้านในหมู่ตึกอย่างเดียวใช่ไหม?
ไม่มีใครสนใจความรู้สึกที่หลากหลายของเด็กทั้งสอง
ในสวนด้านหลัง ขณะนี้หลิงตู้ฉิงหมดเวลาไปกับเตาหลอมโอสถเป็นเวลาเกือบ 9 วันแล้ว และมันก็ใกล้จะถึงเวลาที่ขั้นตอนการหลอมโอสถจะเสร็จสมบูรณ์
เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก เตาหลอมโอสถจึงหยุดหมุน และทุกคนก็มองไปที่มันด้วยความคาดหวัง เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าโอสถบำรุงวิญญาณนี้จะมีลักษณะอย่างไร?
แน่นอนสิ่งที่ซือโถวเหวินหยวนและเสี่ยวเยว่เฟิงกังวลคือจำนวนโอสถคุณภาพสูงที่อยู่ในเตาหลอมนี้
พวกเขามาจากสำนักที่ทรงอำนาจ พวกเขาย่อมเคยเห็นโอสถบำรุงวิญญาณมาก่อน
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว หลิงตู้ฉิงก็ได้ทำการเปิดฝาเตาหลอม ซึ่งโอสถบำรุงวิญญาณที่อยู่ด้านในนั้นมีกันอยู่ 9 เม็ด ใน 5 เม็ดนั้นอยู่ในคุณภาพสูงสุด 2 เม็ดอยู่ในคุณภาพสูง ส่วนอีก 2 เม็ดสุดท้ายอยู่ในคุณภาพปานกลาง
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวด้วยความไม่พอใจ เขาหยิบเม็ดโอสถคุณภาพสูงสุดออกมาและโยนไปทางเสี่ยวเยว่เฟิง “ใช้มันฟื้นพลังวิญญาณของเจ้าเสีย!”
“ขอบคุณ นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดอย่างซาบซึ้ง
ซือโถวเหวินหยวนมองไปทางหลิงตู้ฉิง พร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างอบอุ่นและพูดว่า “แหะ ๆ นายท่าน ท่านจะว่าอะไรไหมหากข้าจะขอแบ่งเม็ดที่แย่ที่สุดมาให้ข้าสักเม็ดหนึ่ง?”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ซือโถวเหวินหยวนและพูดว่า “แน่นอน เจ้าเองก็เป็นส่วนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยการหาส่วนผสมที่สำคัญที่สุด ฉะนั้นแน่นอนว่าข้าต้องแบ่งมันให้เจ้าอยู่แล้ว!”
“ขอบคุณนายท่าน ๆ!” ซือโถวเหวินหยวนดีใจมากและรีบรับมันมา
แม้ว่าจะเป็นเม็ดที่ระดับที่แย่ที่สุดแต่มันก็ยังคงเป็นโอสถระดับสวรรค์ที่อยู่ในคุณภาพปานกลาง! ซึ่งมูลค่าของมันนั้นหากนำมันออกไปขายนั้นย่อมมีมูลค่ามหาศาล!
Related