ลู่จิ้นยวนเห็นว่าหยงซือเหม่ยเดินออกไปแล้ว จึงเริ่มที่จะครุ่นคิดทุกอย่างอย่างจริงจัง
ผู้หญิงคนนี้ ในความทรงจำของเขาแล้วเธอเป็นคนที่ไม่ได้ฉลาดนัก ไม่คิดเลยว่าเธอกลับกล้าที่จะลงมือกับลู่อันหราน
นี่ก็สามารถบอกได้แล้วว่า เธอไม่ใช่คนดีอะไรเลย
ลู่จิ้นยวนครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียด ทันใดนั้นเองเขาก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จนเผลอเอามือตบลงไปบนเตียงที่ตนกำลังนอนอยู่ ผลปรากฏว่าแรงสะเทือนส่งตรงไปถึงแผลบนมือข้างซ้ายของเขา เจ็บเสียจนขบฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสัน
แต่ว่าลู่จิ้นยวนก็หาได้ใส่ใจกับบาดแผลบนร่างกายของตัวเอง สิ่งที่เขาพึ่งนึกได้เมื่อสักครู่นี้ทำให้เขามีความรู้สึกราวกับเห็นแสงสว่างขึ้นมาในทันที
เขารีบเรียกให้แพทย์เข้ามาหาโดยทันที แล้วถามออกไปหนึ่งคำถาม “ถ้าหากว่าเด็กกับพ่อแม่มีกรุ๊ปเลือดที่ไม่ตรงกัน แต่ว่าเด็กเป็นลูกแท้ๆ ที่คลอดออกมาจริงๆ มีโอกาสที่จะเป็นไปได้มากแค่ไหนกันครับ”
คุณหมอนิ่งคิดไปชั่วครู่ “เรื่องแบบนี้มีอยู่น้อยมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อยังมีกรุ๊ปเลือด Rh Negative พวกนี้อยู่ด้วยน่ะนะ”
เมื่อได้ยินดังว่า ลู่จิ้นยวนก็กระจ่างขึ้นมาในใจแล้ว
ถ้าหากว่ากรุ๊ปเลือดของหยงซือเหม่ยเป็น Rh Negative และก็เพื่อที่จะปกป้องเธอตระกูลหยงก็เลยเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้
ถ้าหากว่าหยงซือเหม่ยเป็นลูกสาวแท้ๆ ของไป๋หลินยวี่ ก็หมายความว่าไขกระดูกของเธอก็สามารถช่วยชีวิตไป๋หลินยวี่ได้……
ความจริงแล้วการใช้เรื่องนี้ไปบังคับเวินหนิงนั้นก็ช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก
ลู่จิ้นยวนรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะ การที่เหอจื่ออันก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หรือว่าบางทีภาพเหตุการณ์บางฉากที่ตนได้เห็นกับตานั้นจะเป็นการแสดงที่เขาเป็นคนกำกับและแสดงเองอย่างงั้นเหรอ…….
เพียงแต่ว่า ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน
“ไปตรวจสอบมาเดี๋ยวนี้ ว่าช่วงนี้มีโรงพยาบาลไหนที่ทำการตรวจสอบเนื้อเยื่อความเข้ากันได้กับไขกระดูกของไป๋หลินยวี่บ้าง”
ลู่จิ้นยวนโทรศัพท์ออกไปสั่งการให้ลูกน้องดำเนินการตรวจสอบเรื่องพวกนี้
ถ้าหากว่าเป็นเรื่องโสโครกที่หยงซือเหม่ยทำจริงๆ ล่ะก็ เขาไม่ปล่อยเธอให้รอดไปง่ายๆ แน่
…….
หยงซือเหม่ยแบกความกรุ่นโกรธนั้นกลับโรงแรมมา แม้ว่าเธอจะโมโหที่ลู่อันหรานทำป่วนจนแผนของเธอพัง แต่เพราะว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ที่โรงพยาบาลจึงทำให้เธอไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้
“เรื่องของเด็กผู้หญิงคนนั้นจะไม่มีทางสาวมาถึงตัวฉันได้ใช่ไหม”
เมื่อพักไปได้ขั่วครู่ หยงซือเหม่ยก็เริ่มพึมพำพูดขึ้นมากับตัวเอง
ในใจของเธอก็เริ่มว้าวุ่น หยงซือเหม่ยก็โทรศัพท์ออกไปหาเพื่อนแสนชั่วไม่กี่คนที่ได้รู้จักกันเมื่อก่อน
“เดี๋ยวฉันจะส่งรูปไปให้ดูนะ ตรวจสอบดูให้หน่อยว่ายาตัวนี้ถ้าเกิดให้คนกินเข้าไปแล้ว จะส่งผลอะไรบ้าง แล้วจะทำให้ติดคุกด้วยไหม”
หยงซือเหม่ยคุยโทรศัพท์อยู่ แต่กลับไม่รู้เลยว่าภายในห้อง มีคนที่กำลังรอเธอมาโดยตลอดเลย
หลังจากที่ถูกทางฝั่งของไป๋หลินยวี่ไล่กลับมา ซ่งรั่วอวิ้นก็คิดถึงเรื่องนี้ตลอด เธอไม่อยากที่จะเชื่อว่าน้องสาวที่โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็กจะกลับสามารถทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้
ดังนั้น เธอเลยมารอหยงซือเหม่ยในห้องของเธอ คิดว่าทันทีที่เธอกลับมาก็จะคุยกันให้รู้เรื่อง
เพียงแต่ว่า กลับได้ยินเรื่องนี้จนชัดเต็มสองรูหู
ภายในใจของซ่งรั่วอวิ้นปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อก่อนหยงซือเหม่ยก็เคยทำเรื่องเกินกว่าเหตุอยู่บ่อยครั้ง แต่ว่า พวกเขาล้วนแล้วแต่คิดว่าเป็นเพราะว่าเธอนั้นยังเด็กอยู่ ประกอบกับเรื่องที่ว่าถูกเลี้ยงดูมาแบบผิดๆ ตั้งแต่ยังเล็ก อย่างน้อยที่สุด สันดานของเธอก็ไม่ใช่คนเลว
แต่ว่าตอนนี้ เธอรู้สึกสับสนขึ้นมาแล้ว
ตอนนี้เพียงเพื่อผู้ชายแค่คนเดียว หยงซือเหม่ยกลับดำเนินมาถึงจุดๆ นี้แล้ว เธอคิดที่จะขายวิญญาณช่วยกษัตริย์ทรราชทำชั่วอย่างงั้นหรือ……
และในขณะที่จิตใจของซ่งรั่วอวิ้นกำลังปั่นป่วนอยู่นั้นเอง หยงซือเหม่ยก็คุยโทรศัพท์เสร็จ
เธอได้ถามไปแล้วว่า แม้ว่ามีโอกาสที่คนจะแพ้ยาตัวนั้นขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ได้ส่งปัญหาร้ายแรงอะไรนัก จะไม่ทำให้เกิดโรคซ้อนที่ส่งผลเสียต่อร่างกายอะไร นอกจากนี้เธอจะต้องกัดคอฆ่านังเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ดื้อกินยาเข้าไปเองให้ตาย แล้วทีนี้ก็จะไม่มีคนสาวมาถึงตัวเธอได้แล้ว
หยงซือเหม่ยวางใจลงไปได้ ก็เดินเข้าห้องนอนไป ขณะที่กำลังจะไปอาบน้ำเพื่อผ่อนคลายอารมณ์นั้นเอง ก็พบว่าซ่งรั่วอวิ้นรออยู่ข้างใน
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
ซ่งรั่วอวิ้นที่ระมัดระวังมาโดยตลอด แต่เพราะว่าเมื่อสักครู่ได้ฟังเรื่องดังว่าไปทำให้ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จึงผงะอยู่กับที่
“ฉันมาหาเธอ มีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อย”
ซ่งรั่วอวิ้นแสร้งทำท่าราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผลรายงานสภาพร่างกายฉันออกมาแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติหมด สามารถทำการปลูกถ่ายไขกระดูกได้ทุกเมื่อ”
“อื้ม รู้แล้ว”
หยงซือเหม่ยได้ยินดังว่าก็ไม่ได้มีท่าทีตอบกลับอะไร
“ไม่ใช่ว่า เราควรที่จะรีบทำการผ่าตัดอย่างงั้นเหรอ
คนป่วยคนนั้น ไม่น่าจะอยู่รอได้นานเท่าไหร่นะ”
ซ่งรั่วอวิ้นอดทนอีกต่อไปไม่ไหวเปิดปากพูดออกมา อยู่กับไป๋หลินยวี่มานานเสียขนาดนั้น ทำให้เธอเริ่มมีความรู้สึกผูกพันธ์ที่อธิบายไม่ถูกขึ้นมา เธอไม่อยากที่จะเห็นไป๋หลินยวี่ที่วันๆ ต้องคอยมาถูกฉีดยาอย่างเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป
เธอครุ่นคิด ถ้าหากว่าหยงซือเหม่ยยังพอมีความดีหลงเหลืออยู่ในตัวบ้าง ให้เธอรีบไปทำการปลูกถ่ายไขกระดูก และเลิกเอาชีวิตแม่ของเวินหนิงไปทำร้ายคนอื่นต่ออีก เธอก็จะยอมเชื่อว่าเธอแค่หลงผิดไปชั่ววูบหนึ่งเท่านั้นเอง
“ฉันยังไม่ร้อนรนอะไรเลย เธอจะรีบไปทำไม
คิดอยากจะเป็นคนดีอย่างงั้นเหรอ”
หยงซือเหม่ยไม่มีความจริงจังเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ ทำไมเธอถึงจะอยากสูญเสียเบี้ยในการต่อรองทำร้ายเวินหนิงไปล่ะ
ซ่งรั่วอวิ้นได้ยินคำที่เธอพูดออกมา ก็พลันตื่นตะลึงไปทั้งหัวใจ
หยงซือเหม่ยที่ได้ทุ่มเทในการเป็นน้องสาวมาโดยตลอด ที่แท้แล้ว กลับเปลี่ยนกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเสียจนน่าหวาดหวั่นเสียขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงขนาดที่ว่า ลงไม้ลงมือทำกับเด็กได้ลงคอ
ทันใดนั้นเธอก็ไม่คิดที่อยากจะกล้ำกลืนฝืนทนอีกต่อไป ไม่อยากที่จะหลอกคนอื่นอีกต่อไปแล้ว
“ฉันเข้าใจแล้ว”
ซ่งรั่วอวิ้นกำมือของตัวเองแน่น ไม่กล่าวอะไรออกมาแล้วเดินจากไปเลย
หยงซือเหม่ยมองดูเธอที่เดินจากออกไป ก็ส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นเยียบ และก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเหตุการณ์นี้มากเท่าไหร่นัก
ยากที่จะคาดเดาได้ว่า ซ่งรั่วอวิ้นนั้นได้ทำการตัดสินใจลงไปแล้ว
เธอรู้สึกว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาใจหยงซือเหม่ยอีกต่อไป เธอกลายเป็นคนนิสัยแบบนั้นไปเสียแล้ว ต่อให้เธอทำอะไรก็ตาม ก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
ส่วนในเรื่องที่เธอทำเรื่องเลวร้ายฝักใฝ่เข้าหากษัตริย์ที่เป็นทรราชนั้น ถ้าหากทำให้รู้สึกทรมานจากการรู้สำนึก ก็ไม่สู้บอกความจริงทั้งหมดออกไป ให้หยงซือเหม่ยได้รับบทเรียนสักหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นค่อยกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่
เมื่อคิดได้ดังว่า ซ่งรั่วอวิ้นก็ถือเอกสารรายงานการตรวจร่างกายไปโรงพยาบาล เพื่อหาเวินหนิง