บทที่ 61 หลังจากกินดื่มจนหนำใจก็ถึงคราวแยกย้ายกันกลับบ้าน
หลังจากกินจนอิ่มหนำสำราญแล้ว เจียงฮ่าวได้เดินออกจากภัตตาคารสวรรค์ชั้นฟ้าด้วยห่ออาหารที่ใส่ถุงอย่างเต็มไม้เต็มมือทั้งสองข้าง พร้อมทั้งเจียงไซหยวนและซ่งหว่านเอ๋อที่สภาพไม่ค่อยต่างกัน ที่จะต่างก็คงจะมีเพียงฉินโชวเท่านั้นที่ในตอนนี้บังเกิดบรรยากาศมืดครึ้มอยู่โดยรอบ
“เพื่อนนักเรียนหว่านเอ๋อจะให้ฉันไปส่งกลับบ้านรึเปล่า”
เป็นฉินโชวที่รีบพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มราวกับว่ายิ่งยิ้มกว้างเท่าไหร่จะยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น
ซ่งหว่านเอ๋อกรอกตามองฉินโชวไปปราดหนึ่งก่อนที่จะชี้ไปที่รถที่อยู่ไม่ไกล
“ไม่ต้อง พ่อของฉันส่งคนมารับแล้ว จะให้ฉันไปส่งเจียงฮ่าวและน้องไซหยวนด้วยก็ได้นะ”
เมื่อพูดจบ เธอมีท่าทีเอียงอายก่อนที่จะหันไปหาเจียงฮ่าวที่อยู่ข้างๆ
“เจียงฮ่าว พ่อบอกว่าให้นายไปเยี่ยมเยือนที่บ้านสักหนท่านายว่างนะ”
“งั้นฝากขอบคุณลุงซ่งด้วยแล้วกัน เอาไว้ฉันมีเวลาแล้วจะไปหาท่าน”
ซ่งหว่านเอ๋อพยักหน้ารับในทันที
ฉินโชวที่อยู่ข้างหลังทั้งสองคนในตอนนี้ ดวงตาของมันราวกับลุกเป็นไฟเมื่อได้ยินบทสนทนานี้
และเป็นตอนนี้เองที่ซ่งหว่านเอ๋อได้กระโดดไปหาไซหยวนแล้วคว้าแขนของไซหยวนไว้
“น้องไซหยวนเองสำหรับฉันแล้วก็ถือว่าเป็นคนกันเองเหมือนกันนะ น้องสามารถมาเที่ยวเล่นที่บ้านพี่สาวคนนี้ได้ทุกเมื่อเลย”
ดูเหมือนว่าหลังจากอาหารมือนี้ผ่านไปแล้วทำให้ทั้งสอง จากคนแปลกหน้ากลายเป็นคุ้นเคยกันได้เป็นอย่างดีจนขั้นเรียกพี่เรียกน้องกันได้แล้ว
เจียงไซหยวนเองแสดงออกมาอย่างมีความสุข
“ขอบคุณค่ะ พี่สาวหว่านเอ๋อ”
“เหมือนกันจ้า… สองคนก็กลับบ้านดีๆนะ ได้เวลาฉันต้องไปแล้วล่ะ”
“เธอด้วยล่ะ”
“…”
หลังจากสองน้องสาวได้ล่ำลากันด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยจะอยาก ในที่สุด ซ่งหว่านเอ๋อก็ได้ขึ้นรถที่มารับและจากไป
เจียงฮ่าวและเจียงไซหยวนได้ขึ้นรถของฉินโชวไป
เจียงฮ่าวในตอนนี้ได้เอนกายนอนบนรถด้วยท่าทางตาปรือ
“ปัง”
“หวา….”
เป็นตอนนี้เอง รถได้ส่ายไปมาจนชนเข้ากับขอบทาง
เจียงไซหยวนได้กรีดร้องอย่างสุดเสียง
เจียงฮ่าวเองก็ทำท่าทีสั่นกลัวและในตอนนี้ไม่หลงเหลือความรู้สึกง่วงนอนอีกต่อไป ฉินโชวเองก็แสดงท่าทีหวาดวิตกออกมาเช่นเดียวกัน
“ปังปังปัง”
ในตอนนี้เอง เสียงเคาะจากนอกตัวรถได้ดังออกมาเป็นระยะ
ในขณะเดียวกันก็ได้มีเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังออกมาจนได้ยินถึงข้างใน
“ออกมาเดี๋ยวนี้ ลงมานะโว้ย นี่คือการปล้น”
เจียงไซหยวนในตอนนี้รู้สึกหวาดกลัวมากจนหนีไปซุกข้างๆเจียงฮ่าว
“พี่ใหญ่ เราจะทำไงดีล่ะ พวกเราจะทำยังไงดี”
เจียงฮ่าวที่ได้ยินนั้นก็นิ่งอึ้งไปในทันที
“พี่ใหญ่…เหรอ”
คำๆนี้ถึงแม้สำหรับเขานั้นไม่ใช่คำที่คุ้นเคย แต่กลับรู้สึกโหยหาอย่างบอกไม่ถูก
เจียงไซหยวนนั้นไม่ได้เรียกเขาว่าพี่มานานมากแล้ว
ถึงแม้จะมาเรียกเอาในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมยินดี
“ไม่เป็นไรนะน้องเล็ก พี่ใหญ่อยู่นี่แล้ว”
ในขณะเดียวกัน เจียงอ่าวก็หันไปมองฉินโชวที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ
“เริ่มแล้วสินะ”
ที่เขาคิดออกมาแบบนี้ก็เพราะเขาได้เห็นรอยยิ้มน่ารังเกียจปรากฏบนหน้าของฉินโชว พร้อมกับพูดออกมาราวกับได้เตรียมตัวมาแล้ว
“ลูกพี่อย่าทำอะไรนะ ผมยอมแล้ว อย่าทำอะไรผมเลย ผมออกไปแล้ว อย่าทำอะไรนะ”
เมื่อพูดจบ ฉินโชวได้ทำการเปิดประตูในทันที
และนี่เองทำให้ทุกคนต้องออกไป
หลังจากออกไปนอกรถแล้ว กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีอาวุธครบคนอย่างมีด แท่งเหล็ก และอะไรเทือกนั้นได้รายล้อมเจียงฮ่าวและพวกในทันที
เจียงไซหยวนเองในตอนนี้ตกใจจนซุกหน้าของตนไว้กับแขนของเจียงฮ่าวอย่างไม่ห่าง
ในตอนนี้เอง นักเลงได้โบกมีดในมือไปมาและพูดออกมา
“นี่คือการปล้น หัวหน้าของพวกข้าบอกว่าพวกแกต้องจ่ายมาคนละห้าหมื่นหยวน ถ้าพวกแกจ่ายมาพวกข้าก็จะปล่อยแกไป”
เป็นตอนนี้ที่ฉินโชวได้ค่อยก้าวเข้าไปหาพวกนักเลงอย่างนอบน้อมก่อนที่จะโค้งให้อย่างสวยงามพูดออกมาว่า
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่พอจะลดให้ได้รึเปล่า ผมในตอนนี้สามารถให้ได้แค่หนึ่งแสนหยวนเท่านั้น เอาเป็นแสนหยวนแล้วจบๆกันไปไม่ได้เหรอ”
“แค่แสนหยวนเนี่ยนะ ถ้าแค่แสนหยวนแกก็ไปได้แค่สองคนเท่านั้น งั้น….แกสองคน ไปซะ”
หลังจากที่นักเลงได้ชี้ไปที่ฉินโชวและคนขับรถ ฉินโชวได้รีบพูดออกมาอย่างกระตือรือร้นในทันที
“พี่ใหญ่ แสนนึงนี่ปล่อยไปหมดเลยไม่ได้เหรอ ปล่อยพวกเราทั้งหมดไปเถอะนะ”
ฉินโชวยังคงใบหน้ายิ้มไว้อยู่อย่างนั้น แต่น้ำเสียงกลับลดต่ำลงมา
“ไร้สาระโว้ยยยยย หนึ่งแสนก็ไปได้แค่สองคนโว้ย หรือพวกแกจะไม่อยากออกจากที่นี่ไปเลยสักคนใช่ไหม”
นักเลงกล่าวสบถออกมาเล็กน้อย
“ได้ครับลูกพี่ สองคนก็สองคน”
ฉินโชวแสดงท่าทีตกใจและรีบตอบรับในทันที