บทที่ 64 เห็นแก่ความสำเร็จจึงให้ทางเลือก
ทันทีที่ระบบแจ้งเตือนการยกระดับสำเร็จ เจียงฮ่าวรู้สึกได้ถึงพลังภายในที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ในขณะเดียวกันเขาเองก็รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างกำลังสั่นระริกขึ้นมา และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
นี่ทำให้เขานั้นยิ้มกว้างออกมาอย่างหยุดไม่อยู่แล้ว
และในทันทีที่เจียงฮ่าวนั้นหลอมรวมเข้ากับทักษะจนเผลอยิ้มกว้างออกมานั้น
หัวทองรู้สึกเย็นวาบในทันทีที่เห็น มันรีบวิ่งออกไปแต่กลับตะโกนในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“ฆ่ามัน ตัดหัวมันมาให้ได้”
ภายใต้เสียงตะโกนของหัวทองนั้น เหล่าลูกน้องเมื่อได้ยินคำสั่งจากพี่หม่าของตนต่างก็มองหน้ากันเล็กน้อยราวกับต้องการส่งสัญญาณว่าให้เข้าไปพร้อมกัน และนี่ทำให้พวกมันยกมือที่มีอาวุธของพวกมันอย่างพร้อมเพียงและเข้าไปหาเจียงฮ่าวพร้อมๆกัน
“เล่นมันนนนนน”
“ฆ่ามันซะ….”
“ย้าคคคคคคคคค”
เมื่อเห็นว่ามีนักเลงบางคนมีมีดอยู่ในมือ เจียงฮ่าวได้ใช้เท้าของตนกระทืบไปที่พื้นจนทำให้พลองเหล็กอันหนึ่งตั้งขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว
ก่อนที่เขาจะได้ผลักเจียงไซหยวนให้เข้าไปในรถและตะโกนให้เจียงไซหยวนอยู่แต่ในรถ ปิดล็อคประตูห้ามออกมา หลังจากนั้น เขาก็ได้ตะโกนออกมาคำหนึ่ง
“ตีสุนัขสองตัวววว”
เจียงฮ่าวได้ทำการกวาดไม้พลองเล็กใส่นักเลงคนหนึ่งและแฉลบไปโดนอีกคนหนึ่งในทันที จนทำให้นักเลงที่รายล้อมเข้ามาเกือบทั้งหมดล้มไปแทบจะในทันใด
เมื่อเห็นว่ายังมีคนเหลือ เจียงฮ่าวก็ได้เปลี่ยนกระบวนท่า
“ตีหัวสุนัข”
ท่อนเหล็กในมือได้ส่ายสลับไปมาระหว่างหัวของนักเลงแต่ละคนที่หลบก้มต่ำลงไป
“ผัวะ..ผัวะ..ผัวะ..ผัวะ..ผัวะ..ผัวะ..ผัวะ..ผัวะ..ผัวะ..ผัวะ..”
ในทันทีที่บังเกิดเสียงไม้ฟาด เสียงร้องระงมมากมายก็ได้ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พร้อมกับร่างจำนวนมากมายที่ลงไปกองอยู่กับพื้น
หลังจากนักเลงทั้งหลายได้ลงไปกองกับพื้นแล้ว เจียงฮ่าวยังไม่หยุดเคลื่อนไหวแต่อย่างใด เขายังคงต้องการจะสร้างความทรงจำดีๆให้กับสุนัขเหล่านี้ต้องจดจำไปจนวันตาย
เพียงไม่กี่กระบวนท่า นักเลงทั้งหมดก็ได้ล่วงหล่นไปกองอยู่กับพื้น
เสียงโอดครวญดังระงมออกมาจากพื้นดินจนทำให้หัวทอง ที่ในตอนนี้สั่นเป็นเจ้าเข้าและเหงื่อที่โชมกายนั้น ทำให้ท่อนเหล็กที่อยู่ในมือของมันนั้นลื่นไถลจนจะหลุดมือเสียให้ได้
เจียงฮ่าวค่อยๆเดินเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของหัวทอง
“จำที่ฉันเคยบอกไว้ได้รึเปล่า”
หัวทองในตอนนี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัวนั้นได้พยักหน้าไม่หยุดราวกับไก่จิกข้าวเปลือก
“จะจะจะจจำ จำได้ครับ”
“โอ้…จำได้สินะเนี่ย”
“เอออออ แล้วฉันบอกว่าอะไรไปหว่า อืมม รู้สึกจะเป็นจะให้หักขาหรืออ…”
ยังไม่ทันทีเจียงฮ่าวจะทันได้พูดจบประโยคดี หัวทองได้เข่าทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสำนึก
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ได้ ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ ได้โปรด…”
มันได้ทำการก้มกราบจนหัวกระแทกกับพื้นบังเกิดเสียงดังลั่น หลังจากนั้นมันก็นึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่พอจะใช้เป็นฟางเส้นสุดท้ายของมันได้
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ มี ไม่สิ มีไอ้เวรตะไลคนหนึ่งว่าจ้างผมมา”
“เป็นนายน้อยตระกุลฉิน ฉินโชว ที่บอกผมให้ทำแบบนี้”
“ตอนนี้มันยังอยู่ในรถของผมอยู่เลย”
หัวทองได้รีบคายทุกอย่างที่คิดว่าจะใช้ให้รอดได้ออกมาอย่างรวดเร็ว และมันได้ชี้ไปยังรถสีดำคัยที่จอดไปไม่ไกลนักด้วย
“พี่ใหญ่ โปรดไว้ชีวิตด้วย”
คำพูดของหัวทองได้ยืนยันข้อสงสัยของเจียงฮ่าวได้เป็นอย่างดี
เจียงฮ่าวเองได้มองไปยังหัวทองที่ในตอนนี้กำลังร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาน้ำลายไหล แต่ตัวเขานั้นกลับไม่ได้มีความรู้สึกสงสารเลยแม้สักนิดเดียว เขาได้พูดออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยียบว่า
“หัวทอง วันนี้ ฉันจะให้ทางเลือกแกสองทาง หนึ่ง แกยอมหักขาสองข้างแล้วพวกเราไม่ติดค้างกันอีกต่อไป”
คำพูดของเจียงฮ่าวได้ทำให้หัวทองสะดุ้งโหยงในทันที
หากตัวมันนั้นต้องขาหักไปสองข้าง ตัวมันนั้นก็แทบจะไม่ได้ต่างจากการพิการไปตลอดชีวิต เพราะยามใดที่โจทย์เก่าทั้งหลายของมันรับรู้ นั่นคือวันที่มันต้องจบชีวิตลง
แค่มันนึกถึงเรื่องนี้มันก็รู้สึกขนลุกขนชันไปทั้งตัว
เป็นตอนนี้ที่เจียงฮ่าวพูดออกมาต่อ
“ทางเลือกที่สอง ไปจับฉินโชวลงมาจากรถ แล้วหักขาสองข้างของมันให้ฉันดู”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของหัวทองนั้นแสดงออกมาอย่างหน้าเกลียดน่ากลัวในทันที
นั่นก็เพราะ ถึงแม้ตระกูลฉินจะไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่พ่อของฉินโชวนั้นเปิดกิจการที่รวยจนติดอันดับ
การหักขาฉินโชวนั้นไม่ได้ต่างไปจากการเรียกพ่อของฉินโชวมาฆ่าตัวมันเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม เจียงฮ่าวหาได้ใส่ใจความลำบากของมันไม่
“เอาล่ะ ในเมื่อฉันให้ทางเลือกแกไปแล้ว ก็ถึงคราวแกต้องตอบฉันมาในสิบวินาทีนี้”
“10”
“9”
“…”