หลังจากแยกย้ายกับบัณฑิต ม้าทั้งสามตัวก็มาถึงนครแห่งหนึ่งที่อยู่ทางใต้สุดของแคว้นเหมยโย่วซึ่งมีชื่อว่าจิงโจว ขุนนางที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ไม่ใช่เจ้าเมือง แต่เป็นเจ้าของที่ว่าการผู้บังคับการทหารการลำเลียงเสบียงทางน้ำแห่งหนึ่ง ผู้บังคับการทหารคือหนึ่งในขุนนางใหญ่ที่เป็นรองแค่ผู้บังคับการใหญ่การลำเลียงเสบียงทางน้ำเท่านั้น เฉินผิงอันหยุดพักอยู่ที่นี่นานถึงสิบวัน เพราะค้นพบว่าปราณวิญญาณของที่นี่เปี่ยมล้นสมบูรณ์เหนือกว่าเมืองในท้องถิ่นทั่วไป มีประโยชน์ต่อการฝึกตนของหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ จึงเลือกโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำเพื่อพักแรม บอกให้พวกเขาตั้งใจฝึกตน ส่วนเขาไปเดินเที่ยวเล่นในเมือง ระหว่างนี้ก็ได้ยินเรื่องราวไม่น้อย บุตรชายโทนของผู้บังคับการทหารมีความสามารถธรรมดา ไม่มีความหวังด้านการสอบเคอจวี่ แล้วก็ไม่มีใจอยากมีอนาคตใหญ่โต เขามักจะไปมั่วสุมอยู่ในหอโคมเขียวอย่างลืมวันลืมคืน ชื่อเสียงฉาวโฉ่ เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยรังแกบุรุษย่ำยีสตรี นิสัยประหลาดเพียงอย่างเดียวก็คือชอบให้ข้ารับใช้ไปจับพวกสัตว์อย่างแมว หมา จิ้งจอก หมาป่า ฯลฯ มาแล้วหักขาของพวกมัน จับพวกมันนอนหงายขาชี้ฟ้า คอยดูว่าพวกมันจะกระเสือกกระสนดิ้นรนพลิกคลานอย่างไร และนำสิ่งนี้มาเป็นความบันเทิงของตัวเอง
ผลกลับกลายเป็นว่าเพียงไม่นานก็มีข่าวลือที่น่าตะลึงพรึงเพริดอย่างหนึ่งส่งมาจากที่ว่าการผู้บังคับการทหาร บอกว่าบุตรชายโทนของผู้บังคับการทหารถูกหักมือหักขา จุดจบไม่ต่างจากแมวหมาที่เคยประสบเคราะห์กรรมด้วยน้ำมือของเขาแม้แต่น้อย ปากของเขาถูกยัดด้วยผ้าฝ้าย ร่างถูกจับโยนทิ้งไว้บนเตียง คนหนุ่มที่ถูกสุรานารีทำลายร่างกายมานานแล้วบาดเจ็บสาหัสอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่ถึงขั้นตาย ผู้บังคับการทหารเดือดดาลอย่างหนัก หลังจากแน่ใจแล้วว่ามีปีศาจออกอาละวาดก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างเซียนซือจากตระกูลเซียนสองแห่งให้ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจ แน่นอนว่ายังคิดอยากจะใช้วิชาตระกูลเซียนมารักษาบุตรพิการของตนด้วย
ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังเดินเล่นอยู่ริมลำคลองที่ใช้ขนส่งเสบียงอยู่พอดี จึงได้เห็นเซียนซือบนภูเขากลุ่มหนึ่งที่โดยสารเรือลำเล็กของตระกูลเซียนเข้าเมืองมากับตาของตัวเอง
ผู้นำที่ยืนอยู่บนหัวเรือเป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่ง
แคว้นใต้อาณัติอย่างแคว้นเหมยโย่วนี้ สามารถเชิญขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งมาได้ก็ต้องใช้เงินก้อนใหญ่มากแล้ว ดูท่าที่ว่าการผู้บังคับการทหารจะร่ำรวยจริงๆ
นอกจากสะดวกให้เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ฝึกตนแล้ว การที่เลือกรั้งรออยู่ต่อในเมืองจิงโจว อันที่จริงยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกเก็บงำไว้
จากบันทึกในรายงานตระกูลเซียนที่ได้มาจากโรงเตี๊ยมซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำชุนฮวาแห่งนั้น สตรีชุดเขียวและเด็กหนุ่มชุดขาวที่จู่ๆ ก็โผล่มาบนโลกเคยปรากฏตัวกลางอากาศเหนือเมืองจิงโจว ขัดขวางผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผู้เฒ่าที่ถูกราชวงศ์จูอิ๋งขนานนามว่า ‘เท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในขอบเขตก่อกำเนิดแล้ว’ นอกจากการประมือกันครั้งนั้น ด้านหน้าและด้านหลังเมืองจิงโจวก็เคยมีการเข่นฆ่าที่ ‘หยุดชะงัก’ รวมกันสามครั้ง สุดท้ายจึงสามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่ได้ที่ชายแดนเชื่อมต่อแคว้นเหมยโย่วกับราชวงศ์จูอิ๋งพอดี
เฉินผิงอันคาดเดาเอาว่าชุยตงซานกับแม่นางหร่วนซิ่วน่าจะกำลัง ‘ตกปลา’ ล่อให้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดสองท่านออกจากภูเขา นี่ทำให้พวกเขาสูญเสียการปกป้องจากค่ายกลแม่น้ำและภูเขา จากนั้นพวกเขาก็จะเร่งรุดมายังอาณาเขตของแคว้นเหมยโย่วอย่างไม่สนใจสิ่งใดเพื่อช่วยเหลือผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่มีหวังบนมหามรรคาและได้รับความสำคัญอย่างถึงที่สุดของแคว้น
ไม่อย่างนั้นด้วยตบะก่อกำเนิดและสมบัติอาคมที่มีอยู่เต็มร่างของชุยตงซานแล้ว แค่จะรับมือกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสักคนก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าแถบชายแดนแคว้นเหมยโย่วมีหร่วนฉงแห่งสำนักการทหาร หรือไม่ก็สวี่รั่วแห่งสำนักโม่ซ่อนตัวอยู่ ต่อให้คนทั้งสองจะอยู่ด้วยกัน เฉินผิงอันก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลขอบเขตประตูมังกร หลังจากที่มารวมตัวกับเพื่อนร่วมอาชีพซึ่งเป็นกลุ่มอิทธิพลอีกกลุ่มหนึ่งที่เล็กกว่าแล้ว ก็สามารถรักษาทายาทชนชั้นสูงผู้นั้นให้หายดีได้ เพียงแต่ว่าเวลาเดินจะยังมีอาการกะเผลกอยู่เล็กน้อย และไม่สามารถยกของหนักได้อีก เซียนซือของทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้สมบัติลับตระกูลเซียนและวัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งสืบสาวเบาะแสไปจนพบปีศาจที่กล้าลงมือในที่ว่าการผู้บังคับการทหารจนเจอภายในคืนนั้น เกิดศึกนองเลือดครั้งหนึ่งในเมือง เซียนซือกลุ่มนั้นแต่ละคนล้วนลงมือเฉียบขาดดุดัน ปีศาจได้แต่คอยหลบเลี่ยงซ่อนตัว อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน
ในความเป็นจริงแล้วการที่สามารถแอบเข้าไปยังที่ว่าการอย่างลับๆ ใช้วิธีทรมานที่บุตรโทนผู้บังคับการทหารชื่นชอบมาเล่นงานตัวเขาเอง แล้วจากไปอย่างเงียบเชียบได้นั้น ก็หมายความหากคิดจะสังหารคนหนุ่มผู้นั้นย่อมง่ายดายเพียงแค่ยกฝ่ามือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมปีศาจถึงไม่ได้ฆ่าคน แค่ทำร้ายให้บาดเจ็บเท่านั้น
ในคืนนั้นเฉินผิงอันที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองเพียงแค่มองดูอยู่เฉยๆ
หากไม่เป็นเพราะปีศาจตนนั้นโง่เง่า เลือกเส้นทางที่ไม่สะดวกในการหลบหนีคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา คนที่บาดเจ็บและล้มตายในเมืองจิงโจวคืนนี้ต้องมีมากมายแน่นอน ไม่ใช่เพราะการกำจัดปีศาจปราบมารเป็นสิ่งที่ผิด แต่เป็นเพราะการลงมือแต่ละครั้งของเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลไม่เคยคิดคำนึงถึงผลลัพธ์เลยสักนิดจริงๆ
สุดท้ายปีศาจตนนั้นก็ยังหนีออกนอกเมืองไปได้
เหล่าเซียนซือพากันบินทะยานกลับมาที่หัวกำแพงเมืองดุจผีเสื้อดุจวิหคบิน ทิ้งให้พวกทหารกองลำเลียงเสบียงที่ได้แต่ชูธงช่วยส่งเสียงโห่ร้องออกจากเมืองไปไล่ฆ่าปีศาจต่อ ต่อให้ทหารในเมืองคิดจนหัวแทบแตกก็คงไม่มีทางคิดถึงว่า เซียนซือสองกลุ่มที่ออกจากเมืองไปไล่ฆ่าด้วยพลังอำนาจดุดันเหล่านั้นหยุดมือกันอย่างรวดเร็ว ต่อให้ไม่เห็นร่องรอยของปีศาจแล้วก็ยังจงใจโยนอาวุธวิเศษออกไปกระแทกใส่อากาศว่างเปล่าไม่หยุด ก่อให้เกิดประกายแสงสีเจิดจ้าพร่างตา
ขณะเดียวกันเซียนซือผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรที่ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มกำลังผู้นั้น ตอนที่ออกจากเมืองก็ได้เปลี่ยนทิศทางแอบหนีออกไปจากขบวนจับปีศาจอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันกระโดดลงจากหัวกำแพงเมือง สะกดรอยตามเขาไปห่างๆ
ในภูเขาใหญ่แห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองจิงโจวมายี่สิบกว่าลี้ เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่เห็นผู้ฝึกตนเฒ่าคนนั้นเปิดฉากสังหารอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็สามารถใช้เชือกพันธนาการปีศาจสมบัติอาคมที่เป็นสีเงินยวงเส้นหนึ่งจับตัวปีศาจจิ้งจอกที่เผยร่างจริงตัวนั้นเอาไว้ได้
หลังจากผู้ฝึกตนเฒ่าประสบความสำเร็จก็ใช้เชือกพันธนาการปีศาจกระชากปีศาจจิ้งจอกสีขาวหิมะที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดเดินตรงดิ่งเข้าหาเฉินผิงอัน ยิ้มถามว่า “ทำไม คิดอยากจะแบ่งน้ำแกงสักถ้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนพื้น ยิ้มกล่าว “เซียนซือผู้เฒ่าช่างทำการค้าได้เก่งจริงๆ ทางฝั่งของลูกศิษย์เจ้ารับหน้าที่กลับไปบอกทางที่ว่าการผู้บังคับการทหารว่าปีศาจใหญ่ตนนี้ปราบพยศได้ยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด เพราะถึงอย่างไรชาวบ้านในเมืองก็เห็นการลงมือของพวกเจ้าที่ทำอย่างสุดความสามารถ โดดเด่นสะดุดตาอย่างถึงที่สุด คิดดูแล้วขุนนางใหญ่ในพื้นที่ท่านนั้นคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยอมจ่ายเงินเทพเซียนอีกก้อนใหญ่แต่โดยดี ขอร้องให้เหล่าเซียนซือทั้งหลายช่วยกำราบปีศาจให้จนถึงที่สุด ส่วนทางฝั่งนี้เซียนซือผู้เฒ่าก็แอบจับตัวปีศาจไว้ ถึงเวลานั้นค่อยหาภูตจิ้งจอกสักตัวที่เพิ่งกลายร่างเป็นคนได้ นำมามอบให้กับจวนผู้บังคับการทหารถือเป็นการมอบหมายงาน ทุกคนต่างก็ยินดีกันถ้วนหน้า”
ผู้ฝึกตนเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “เด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าสายตาไม่เลวจริงๆ ในบรรดาลูกศิษย์ที่โง่เง่าเหล่านั้นของข้า มีคนโง่สมองทึ่มทื่ออยู่หลายคน แต่เจ้าแค่มองดูอยู่ข้างๆ ไม่นานก็รู้ความเชื่อมโยงของเรื่องราวแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “เซียนซือผู้เฒ่าคงไม่ฆ่าคนปิดปากหรอกกระมัง?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ ชอบใจ “ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่เสียสติ เพื่อทรัพย์สินเงินทอง แม้แต่พ่อแม่ ศิษย์อาจารย์ก็ล้วนไม่เห็นอยู่ในสายตาสักหน่อย ว่ามาเถอะ เจ้าให้ราคามา หากเป็นราคาที่ยุติธรรมก็จะถือว่าเป็นทรัพย์สินที่น่ายินดีซึ่งเจ้าสมควรได้รับ ม้าหากไม่มีหญ้าให้กินตอนกลางคืนก็ไม่อ้วนนี่นะ” (มาจากประโยคคนไม่มีลาภลอยย่อมไม่รวย ม้าไม่มีหญ้ากินตอนกลางคืนย่อมไม่อ้วน เปรียบเปรยถึงทรัพย์สินที่ได้มาเพิ่มเติมจากรายรับปกติ)
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้เฒ่าคิดจะจับเจ้านี่ไปทำอะไร?”
ผู้ฝึกตนเฒ่ายกเชือกพันธนาการปีศาจในมือขึ้น ปีศาจก็ร้องโหยหวนไม่หยุด “ถึงอย่างไรก็เป็นปีศาจที่ฝึกตนอย่างยากลำบากจนถึงขอบเขตชมมหาสมุทร หลังเอากลับไปที่สำนักแล้วจะอบรมสั่งสอน กำราบความดุร้าย ปลูกฝังเลี้ยงดูให้เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขา ไม่ใช่ว่าข้าชมตัวเอง แต่นี่ก็ถือเป็นโชควาสนาบนมหามรรคาของมันครั้งหนึ่งเช่นกัน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าวว่า “จะจริงหรือเท็จ ยังไม่ต้องไปสนใจ แต่ข้าก็ยังขอแนะนำเซียนซือผู้เฒ่าว่าให้ไตร่ตรองดูให้ดี อย่าใช้เชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นมาจับข้า”
สายตาของผู้ฝึกตนเฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง “เด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าช่างไม่รู้จักดีชั่วซะจริง ใช้จิตใจคนถ่อยมาวัดใจวิญญูชน ไม่กลัวว่าเรื่องดีๆ จะกลายเป็นหายนะบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ หุบรอยยิ้มลง “อันที่จริงเจ้าต้องขอบคุณปีศาจตัวนี้ ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ด้วยกรรมชั่วมากมายที่พวกเจ้าก่อไว้ เวลานี้เจ้าคงร่อแร่ใกล้ตายเต็มทีแล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรเหมือนได้ยินคำพูดตลกที่ชวนขบขันที่สุดในใต้หล้า เขาจึงแผดเสียงหัวเราะดังก้องจนกิ่งไม้สั่นสะเทือน ใบไม้ร่วงกราวลงมา
เฉินผิงอันถอนหายใจ “การหาเงินย่อมมีช่องทาง อีกทั้งทรัพย์สินที่ได้มาอยู่ในมือยังเป็นทรัพย์สินที่ขุนนางขนส่งเสบียงทางน้ำได้มาโดยมิชอบ ข้าคิดว่าแบบนี้ดีมาก แต่เพื่อหาเงินแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่สนใจชีวิตชาวบ้าน เวลานี้ยังร่วมมือกับผู้อื่น รอให้พวกเขาที่ได้ข่าวตามมาทัน ทั้งจับปีศาจทั้งฆ่าคน ตัดรากถอนโคน คงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่แล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่ามองคนหนุ่มตรงหน้าที่มองปราดๆ คล้ายคนขี้โรค
ยิ่งมองยิ่งรู้สึกผิดปกติ
ยิ่งรู้สึกกริ่งเกรง
ผู้ฝึกตน หากผูกปมแค้นกันขึ้นมาจริงๆ ก็ง่ายที่จะต้องมีคนตาย อีกฝ่ายถึงจะยอมเลิกรา ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นบุญคุณความแค้นที่พัวพันกันจนแยกแยะไม่ชัดไปนานเป็นร้อยปี
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าจ่ายเงินซื้อตัวมันจากเจ้า ตกลงไหม?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าลังเลตัดสินใจไม่ได้
เฉินผิงอันโยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกไป
ผู้ถวายงานลำดับหนึ่งแห่งเกาะชิงเสีย
ผู้ฝึกตนเฒ่าไม่กล้ารับมา วิชาลับของผู้ฝึกตนมีมากมายสารพัดอย่าง ใครจะกล้าประมาทง่ายๆ
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนบังคับแผ่นหยกกลับคืน เขาปล่อยให้มันลอยอยู่กลางอากาศ ปล่อยให้ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรพิศมองอย่างละเอียด จากนั้นก็โยนเงินฝนธัญพืชออกไปเหรียญหนึ่ง “ตอนนี้เกาะชิงเสียของพวกเราค่อนข้างวุ่นวาย บารมีชื่อเสียงไม่มากเหมือนในอดีต อีกทั้งเจ้ายังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่ในแคว้นเหมยโย่ว ไม่อย่างนั้นป่านนี้เจ้าคงตายไปแล้ว เชือกพันธนาการปีศาจที่เป็นสมบัติอาคมชิ้นนี้ก็จะกลายมาเป็นของในกระเป๋าของข้า รับเงินไปซะ แล้วก็หัดสำรวมสักหน่อย ไม่อย่างนั้นเจ้ากับลูกศิษย์คงจะต้องหลบซ่อนตัวฝึกตนอยู่บนภูเขาอย่างว่าง่ายไปชั่วชีวิตแล้ว”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “แน่นอนว่าเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญเป็นราคาที่ไม่ถือว่ายุติธรรม ทว่าราคาที่ยุติธรรมคู่ควรกับแผ่นหยกแผ่นนี้หรือ? ถูกหรือไม่ เซียนซือผู้เฒ่า?”
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที
กระบี่บินสองเล่มก็พากันพุ่งพรวดออกมา
ผู้ฝึกตนเฒ่าหนังตากระตุกไม่หยุด เขาโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ผลักแผ่นหยกกลับไปข้างกาย ‘เซียนกระบี่’ หนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวคนนั้น รับเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นไว้ ประสานมือคารวะแล้วยิ้มกล่าวว่า “ไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกัน หากสหายนักพรตเชื่อใจข้า วันหน้าสามารถมาเป็นแขกที่ภูเขาหลงผานของพวกเราได้”
เฉินผิงอันเก็บแผ่นหยก ชูอีกับสืออู่ก็พากันบินกลับเข้ามาในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เซียนซือผู้เฒ่าทำการค้าเช่นนี้ ข้าไม่กล้าขึ้นเขาเอาเงินไปส่งให้ถึงที่หรอก”
ผู้ฝึกตนเฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน สะบัดเชือกพันธนาการปีศาจหนึ่งครั้ง จิ้งจอกสีขาวหิมะก็ร่วงลงบนพื้น เขาเก็บสมบัติอาคมชิ้นนั้นมา แล้วเอ่ยอีกสองสามประโยคด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแข็งกระด้าง “ขอเพียงเกาะชิงเสียหยัดยืนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้อย่างมั่นคง ภูเขาหลงผานเล็กๆ มีแต่จะต้องเอาเงินไปมอบให้เท่านั้น ไม่กล้ารับของขวัญมาให้ร้อนลวกมือ แต่หากวันใดเกาะชิงเสียหายไปแล้ว หวังว่าพวกเราจะไม่ต้องพบเจอกันอีก ไม่อย่างนั้นจะทำลายมิตรภาพเอาได้”
ผู้ฝึกตนเฒ่าเองก็ไม่ใช่คนเลอะเลือน ทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็จากไปทันที
เฉินผิงอันกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ ครู่หนึ่งต่อมาถึงได้พลิ้วกายลงบนพื้น แน่ใจว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจริงๆ
ปีศาจจิ้งจอกสีขาวหิมะที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นรักษาบาดแผลของตัวเองพลางเบิกตากว้างมองผู้ฝึกตนหนุ่ม
คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งจริงๆ หรือ?
หลังจากนางลงจากภูเขามาก็ไม่กล้าทำตัวโดดเด่นเกินไป ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่พบเห็นก็มีไม่มาก ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้พบเจอผู้ฝึกกระบี่
เฉินผิงอันโบกมือ “ไปซะเถอะ อย่าแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นอีก ข้ารู้ว่าถึงแม้เจ้าจะไม่มีปัญญาต่อสู้กับใครได้ แต่ก็สามารถลุกขึ้นเดินได้ด้วยตัวเองแล้ว จำไว้ว่าช่วงนี้อย่ามาปรากฏตัวที่อาณาเขตของเมืองจิงโจวอีกก็พอ”
นางกะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “ทำไม โทษที่ข้าเป็นตัวถ่วงไม่ให้เจ้าได้รับโชควาสนาบนมหามรรคาจากภูเขาหลงผานอย่างนั้นหรือ?”
นางพูดด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง “ภูเขาหลงผานเลี้ยงงูเหลือมชั่วช้าที่น่ากลัวมากไว้ตัวหนึ่ง นั่นคือผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่แท้จริง ชอบกินภูตเป็นอาหาร ตาแก่คนเมื่อครู่นี้หลอกเจ้า วันหน้าเจ้าต้องระวังให้มาก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แสดงให้รู้ว่าตนจะระวัง จากนั้นเขาก็ไม่ได้เดินหน้าไปต่อ แต่ทรุดตัวลงนั่งที่เดิม “แปลกใจมากเลยใช่ไหมว่าข้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระของทะเลสาบซูเจี่ยน แล้วทำไมถึงต้องช่วยเจ้า?”
นางรีบหุบปาก ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันยิ้มพลางโยนขวดกระเบื้องเล็กๆ ใบหนึ่งออกไป ขวดกระเบื้องกลิ้งตกตรงหน้าปีศาจจิ้งจอกสีขาวหิมะ “หากไม่วางใจ สามารถเก็บไว้ก่อนแล้วค่อยกิน”
ในที่สุดนางก็อดไม่ไหวเอ่ยว่า “คุณชายต้องการอะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า เพื่อไม่ให้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ จนเกือบจะถูกจับในเมือง เจ้าทำไปเพื่ออะไร?”
นางยิ้มตาหยี ท่าทีเช่นนี้ของจิ้งจอกดูราวกับสตรีในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงน่าสนใจเป็นพิเศษ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานน่ารัก “คุณชาย พวกเราเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันสินะ?”
เพียงแต่ไม่นานนางก็ทำหน้าม่อย รู้สึกผิดเล็กน้อย
นางคิดว่าพูดอย่างนี้ค่อนข้างจะผิดต่อผู้มีพระคุณตรงหน้า
เพราะในคำด่าของพวกคนที่โชคดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์เหล่านี้ มีคำด่าที่ว่า ‘แม้แต่สัตว์ก็ยังเทียบไม่ได้’
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาโบกมือกล่าวว่า “ไปเถอะๆ จิตใจคนชั่วร้าย น่ากลัวอย่างยิ่ง วันหน้าอย่าได้อาศัยตบะของตัวเองมาหยอกล้อกับคนบนโลกอีก เจ้าต่อสู้กับฟ้าดินจนชนะไปแล้วหนึ่งครั้ง ถึงได้มีตบะอย่างในทุกวันนี้ ต้องรู้จักเห็นค่าและทะนุถนอมให้มาก แต่เมื่อเจ้าต่อสู้กับคน ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของผู้ฝึกตนอิสระและเหล่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลได้ ไปเถอะ วันหน้าต่อให้อดใจไม่ไหวอยากออกมาท่องในโลกมนุษย์ อยากมาเดินเที่ยวเล่นในตลาดอีกสักครั้ง ก็จะต้องระวังตัวแล้วระวังตัวอีก อีกอย่าง วันหน้าอย่าได้คิดว่าจะต้องมาเจอกับคนแบบข้าไปเสียทุกครั้ง เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนดีในวันนี้จะไม่กลายเป็นคนเลวในวันหน้า?”
นางยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น ‘อุดปาก’ เบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “คนที่พูดแบบนี้ได้ จะกลายเป็นคนเลวได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อหรอก”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งยองอยู่ตรงนั้น คลี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าว่า ไม่แน่ตาแก่ชั่วของภูเขาหลงผานผู้นั้นอาจเปลี่ยนใจ พอไปเจอกับเซียนซือคนอื่นๆ แล้วจะบุกกลับมาเข่นฆ่า กลับมาจับเจ้าไปเป็นอาหารในจานของงูเหลือมตัวนั้นอีกครั้ง”
จิ้งจอกสีขาวหิมะลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรีบเก็บขวดกระเบื้องใบนั้นมาแล้ววิ่งสวบออกไป เพียงแต่ว่าวิ่งไปได้สิบกว่าก้าว มันก็หันหน้ากลับมา ยืนด้วยสองขา ทำท่าคารวะเลียนแบบคนบนโลก
คนหนุ่มนั่งยองอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา เพียงแต่ยังไม่ลืมยกมือโบกลานาง
หลังจากเจ้าตัวน้อยจากไปไกลแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นยืน เดินช้าๆ ไปทางเมืองจิงโจว คิดเสียว่าเมื่อครู่ไปเที่ยวเล่นในป่ายามค่ำคืนมา
แต่พอคิดว่าเงินฝนธัญพืชลดหายไปอีกเหรียญหนึ่ง เฉินผิงอันก็ทอดถอนใจไม่หยุด บอกกับตัวเองว่าคราวหน้าจะทำตัวล้างผลาญแบบนี้ไม่ได้แล้ว
เพียงแต่นักบัญชีท่านนี้คงจะลืมไปว่า ตอนนั้นหลังจากที่มอบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งออกไปในร้านขายเนื้อหมา ดูเหมือนว่าเขาก็จะเตือนตัวเองแบบนี้เหมือนกัน
เฉินผิงอันลืมเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เขาเดินเล่นพลางแหงนหน้ามองเบื้องบน ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางนภา มองแล้วลืมความธรรมดาสามัญ
—–
Related