ในค่ำคืนนี้ กู้ช่านสังเกตเห็นว่าในห้องของเฉินผิงอันยังคงจุดตะเกียงไว้ จึงไปเคาะประตู
เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมายังโต๊ะที่อยู่ในห้องโถงหลัก ถามว่า “ยังไม่นอนอีกหรือ?”
กู้ช่านยิ้มกล่าว “เจ้าเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
ก่อนหน้านี้กู้ช่านเห็นว่าบนโต๊ะมีกระดาษที่เขียนตัวอักษรไว้จนเต็มแน่นวางกองอยู่ ทว่าในปึกกระดาษกลับไม่มีกระดาษที่ถูกขยำแม้แต่แผ่นเดียว เขาจึงถามว่า “กำลังคัดตัวอักษรหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็เลยเขียนอะไรส่งเดช หลายปีมานี้ อันที่จริงข้าคอยมองดู คอยรับฟังอยู่ตลอดเวลา ความคิดของตัวข้าเองยังไม่มากพอ”
กู้ช่านถาม “คิดอะไรออกหรือยัง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “เมื่อครู่นี้กำลังคิดถึงประโยคหนึ่ง อิสระเสรีของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงบนโลกควรใช้ผู้อ่อนแอเป็นขอบเขตของตัวเอง”
กู้ช่านเหลือกตามองบน “ข้าจะนับเป็นผู้แข็งแกร่งอะไรได้ อีกอย่างตอนนี้ข้าเพิ่งจะกี่ขวบเอง?”
เฉินผิงอันกล่าว “นี่เกี่ยวกับว่าคนผู้หนึ่งมีอายุเท่าไหร่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นความเกี่ยวข้องที่ตายตัว เมื่อก่อนข้าเคยเจอคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจมากมาก่อน เหนียงเนียงของต้าหลี เจียวเฒ่าตัวหนึ่งที่ตบะสูงส่งยิ่งกว่าหนีชิวน้อยในตอนนี้ ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง จะบอกว่าพวกเขาเป็นคนเลวบริสุทธิ์เลยก็ไม่ได้ ในสายตาของคนหลายคน พวกเขาก็เป็นคนดี เป็นคนที่มีเมตตาเช่นกัน แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้”
“นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ข้าทะนุถนอมและเห็นค่ามากที่สุด เจ้าคือกู้ช่าน ข้าถึงได้พูดกับเจ้า เจ้าจะฟังหรือไม่ก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่ก็เพราะว่าเจ้าคือกู้ช่าน ข้าถึงได้หวังว่าเจ้าจะตั้งใจฟัง เจ้าอายุยังน้อยแค่นี้ก็สามารถปกป้องท่านแม่ของเจ้าให้ดีได้แล้ว เจ้าก็คือผู้แข็งแกร่ง ผู้ใหญ่หลายๆ คนล้วนสู้เจ้าไม่ได้”
กู้ช่านฟุบตัวลงบนโต๊ะ ยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่ข้าบอกว่าตอนที่เจ้ายังเด็กได้ทำเรื่องมากมายเพื่อท่านแม่ของเจ้า นางมักจะเอามาบ่นว่าข้าไม่มีมโนธรรม เสียแรงที่ให้กำเนิดข้ามา เลี้ยงดูหมาป่าตาขาว (เปรียบเปรยถึงคนเนรคุณ คนไม่รู้คุณคน) มาอย่างเปล่าประโยชน์แท้ๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “พวกเรายังไม่ต้องพูดถึงถูกผิดและดีเลว หากทุกคนที่อยู่ใต้หล้านี้ล้วนมีความคิดเหมือนเจ้ากู้ช่านในตอนนี้ เจ้าคิดว่าใต้หล้าจะเปลี่ยนไปเป็นแบบใด?”
กู้ช่านส่ายหน้า “ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เดิมทีนี่ก็คือความคิดที่แท้จริงที่สุดในใจของกู้ช่าน
กู้ช่านกลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธจึงเอ่ยอธิบายว่า “บอกตามตรง พูดอะไรคิดอะไร นี่ล้วนเป็นเจ้าเฉินผิงอันพูดเองทั้งนั้น”
เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “หากล้วนเป็นอย่างเจ้ากู้ช่าน ในเมืองเล็กบ้านเกิดของพวกเราก็จะไม่มีอาจารย์ฉีของที่โรงเรียน ในตรอกหนีผิงไม่มีท่านปู่หลิว ไม่มีท่านย่าหลิวเพื่อนบ้านของพวกเรา ไม่มีท่านอาจ้าวที่คอยมาช่วยแม่เจ้าเกี่ยวข้าว ช่วยดึงน้ำเข้านา”
“ข้ารู้สึกว่าต่อให้ไม่มีพวกเขาก็ไม่เป็นไร หรือมีพวกเขาก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ข้ากับท่านแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้ไม่ใช่หรือ อย่างมากข้าก็แค่โดนซ้อมไม่กี่ที ท่านแม่ข้าก็โดนตบมากหน่อย แต่ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องฆ่าพวกเขาให้ตายไปทีละคน ฝ่ายแรกข้าจะตอบแทนให้ครบถ้วน ให้เงินเทพเซียน? ให้บ้านหลังใหญ่? มอบสตรีงดงาม? อยากได้อะไรข้าก็จะให้สิ่งนั้น!”
“ตรอกหนีผิงก็จะไม่มีข้า”
กู้ช่านถลึงตาใส่ “แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ!”
เฉินผิงอันที่ใบหน้าซีดขาวน้อยๆ คลี่ยิ้ม
เงียบกันไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “กู้ช่าน ข้ารู้ว่าเจ้าพูดความจริงกับข้าอยู่ตลอด ดังนั้นข้าถึงได้เต็มใจนั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ข้าหวังว่าคำถามข้อสุดท้าย เจ้าจะยังคงตอบข้ามาตามสัตย์จริง”
“ได้!”
“เจ้าชอบฆ่าคนใช่หรือไม่?”
กู้ช่านลังเลเล็กน้อย เพียงแต่มุมปากของเขาค่อยๆ ตวัดขึ้น สุดท้ายรอยยิ้มแผ่กระจายไปเต็มใบหน้าของเขา สายตาเร่าร้อนและจริงใจ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ใช่!”
กู้ช่านยิ้มสดใส แต่กลับเริ่มน้ำตาไหล “เฉินผิงอัน ข้าไม่อยากโกหกเจ้า!”
เฉินผิงอันเองก็ยิ้มเหมือนกัน เขายื่นมือออกมาช่วยเช็ดน้ำตาให้กู้ช่าน “ไม่เป็นไร ข้ารู้สึกว่าอันที่จริงเป็นข้าที่ผิดไป เหตุผลพวกนั้นของข้าไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าถูกหรือผิด แต่ข้าก็ยังคงเป็นเฉินผิงอัน และเจ้ายังคงเป็นเจ้าเด็กขี้มูกยืด”
กู้ช่านถามอย่างเป็นกังวล “เจ้าโกรธข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่โกรธเจ้า”
กู้ช่านพึมพำ “แต่เห็นๆ อยู่ว่าเจ้ากำลังโกรธ”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าจะลองทำดู จะพยายามไม่โกรธใคร”
หลังจากกู้ช่านจากไป
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปทางโต๊ะหนังสือ ทว่าจู่ๆ กลับหยุดฝีเท้าไม่ก้าวเดินต่อ
กำลังคิดว่าจะหมุนตัวกลับ อยากไปนั่งพักที่ข้างโต๊ะหนังสือสักครู่ แต่ก็เหมือนจะไม่อยากสักเท่าไหร่
จึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างนี้
เฉินผิงอันสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวน้อยๆ เขากำลังครุ่นคิด
ภิกษุเฒ่าในวัดเล็กแห่งหนึ่งของแคว้นหนันเยวี่ยนเคยเอ่ยประโยคหนึ่งว่า วางมีดลงก็บรรลุธรรม
แต่กู้ช่านกลับไม่คิดว่าตัวเองผิด มีดฆ่าคนในใจเล่มนั้นถูกกู้ช่านกำไว้ในมือแน่น เขาไม่คิดจะวางมันลงแม้แต่น้อย
ถ้าอย่างนั้นประโยคที่พูดกับเผยเฉียนว่าเรื่องราวของเมื่อวานตายไปเมื่อวาน เรื่องราวของวันนี้เกิดขึ้นวันนี้ จึงกลายเป็นความว่างเปล่าแล้ว
ทลายโจรร้ายบนภูเขานั้นง่าย ทลายโจรร้ายในใจนั้นยาก
ตอนนี้เฉินผิงอันรู้สึกว่า ‘โจรร้ายในใจ’ ที่อยู่ในใจของกู้ช่านได้เดินมาที่ใจของตนแล้วเหมือนกัน มันเปิดประตูใหญ่ของห้องหัวใจ แล้วเข้ามาพักอาศัย ตีไม่ตาย ไล่ไม่ไป
เพราะเขาไม่อาจข้ามผ่านหลุมในใจหลุมนั้นของตัวเองไปได้
และกู้ช่านคือคนที่เขาไม่มีทางทอดทิ้งอย่างเด็ดขาด
เซียนกระบี่ใหญ่วัยชรา ผู้เฒ่าที่มีนามว่าเฉินชิงตูผู้นั้น เขาบอกว่าการใช้เหตุผลกับทุกเรื่อง ใช้เหตุผลกับทุกสถานที่ตลอดชีวิต ก็เพื่อให้บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล
แต่เฉินผิงอันรู้ดีว่า แม้ปากของท่านผู้อาวุโสจะไม่พูด ทว่าเหตุผลกลับยังคงอยู่ในใจของท่านผู้อาวุโส เพียงแต่ว่าแม้กระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่อย่างเขาก็ยังมีช่วงเวลาที่ใช้เหตุผลไม่ได้ เลยต้องออกกระบี่ก็เท่านั้น
เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย
เขาพลันค้นพบว่าเขาได้เอาเหตุผลทั้งหมดที่ตัวเองรู้มาในชีวิต และอาจจะเป็นเหตุผลที่วันหน้าคิดจะนำไปใช้พูดกับคนอื่นมาพูดจนหมดแล้ว
……
ในหอเรือนสูงของนครน้ำบ่อ ชุยตงซานพึมพำ “คำพูดดีๆ ยากจะเกลี้ยกล่อมผีสมควรตาย!”
ชุยฉานยิ้มบางๆ “มหามรรคามหัศจรรย์ก็ตรงที่มีคนอย่างกู้ช่าน พวกเขามักจะได้ดิบได้ดีมากกว่าคนดีที่ไร้ประโยชน์เสมอ”
ชุยตงซานหันหน้ากลับมาจ้องชุยฉานเขม็ง “เจ้าไม่ได้ให้คนแอบปกป้องกู้ช่านอย่างลับๆ หรอกรึ? เจ้าจงใจยุแยงให้กู้ช่านสร้างหายนะอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
ชุยฉานถามกลับ “หากข้าปล่อยให้คนลอบฆ่ามารดาของกู้ช่านสำเร็จแล้วค่อยขัดขวางการเดินทางลงใต้ครั้งนี้ของเฉินผิงอัน ถึงเวลานั้นรอให้หร่วนซิ่ว ‘ไม่ทันระวัง’ พลาดทำร้ายกู้ช่าน ทางตันนี้จะยิ่งไม่กลายเป็นทางตายหรอกหรือ? แต่ข้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นไหม? ข้าไม่จำเป็น แน่นอนว่าหากทำอย่างนั้นก็จะสูญเสียความมหัศจรรย์ของแรงไฟไป ขาดท่วงทำนองของการเจือจางรสชาติที่สนุกมากที่สุดไป เหลือเส้นทางที่เฉินผิงอันสามารถเลือกเดินได้น้อยลงกว่าเดิม มองดูเหมือนเป็นทางที่คับแคบกว่า เป็นทางหัวขาดมากกว่า แต่กลับจะทำให้เฉินผิงอันเดินไปบนทางที่สุดโต่งได้ง่ายกว่า หากกลายเป็นว่าเมื่อทำตามจิตดั้งเดิม เฉินผิงอันก็สามารถต่อยด้วยหมัดหรือแทงด้วยกระบี่ให้กู้ช่านตายในคราเดียว หรือไม่ก็เลือกสะบัดมือเดินหนีไปเสียเลย ทางตันครั้งนี้ก็จะมีแต่คนตาย ความหมายจะอยู่ตรงไหน ต่อให้พอจะมีความหมายอยู่บ้าง ก็ไม่มากนัก เจ้าไม่มีทางยอมแพ้ทั้งกายและใจ และข้าเองก็จะรู้สึกว่าชนะอย่างไม่สมศักดิ์ศรี”
ชุยตงซานสีหน้าหว้าเหว่
แล้วจู่ๆ เขาก็ตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “ชุยฉาน เฉินผิงอันทำผิดอะไรกันแน่?!”
ชุยฉานหัวเราะอย่างระอาใจ “เจ้าเป็นเด็กน้อยหรือไง?”
ชุยตงซานคำรามเสียงแหบแห้ง “เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้!”
ชุยฉานหัวเราะ ยื่นมือมาป้องตรงหู เอียงศีรษะ ยิ้มบางๆ เอ่ยถามคล้ายกำลังรอคอยคำตอบ “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง ความรู้ของพวกเจ้าใหญ่ที่สุด มาๆๆ พวกเจ้าลองพูดให้ฟังทีสิ”
ชุยตงซานสงบลงได้ในทันที
ชุยฉานยิ้มบางๆ “สถานการณ์ใหญ่ถูกกำหนดมาแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ข้าอยากรู้ก็คือ ในถุงผ้าแพรใบนั้นเจ้าเขียนประโยคไหนของสำนักนิติธรรมเอาไว้? ไม่แยกใกล้ชิดหรือห่างเหิน ทุกอย่างตัดสินด้วยกฎหมาย?”
ชุยตงซานส่ายหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ไม่ใช่สำนักนิติธรรม”
ชุยฉานพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ใช่ลัทธิพุทธแล้ว”
ชุยตงซานกล่าวอย่างเหม่อลอย “ไม่ใช่ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก ไม่ใช่หนึ่งในเหตุผลที่มีมากมายเลยสักข้อ”
ชุยฉานขมวดคิ้ว
……
เฉินผิงอันยื่นมือสั่นๆ ไปหยิบถุงผ้าแพรใบนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนจะจากกันที่เมืองหงจู๋ เผยเฉียนมอบมันให้กับเขา บอกว่าให้เขาเปิดอ่านในช่วงเวลาที่เขาโกรธมากที่สุด
เฉินผิงอันเปิดถุงผ้าแพร หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ข้างในออกมา
ด้านบนเขียนว่า ‘เฉินผิงอัน ขอเจ้าอย่าผิดหวังกับโลกใบนี้’
เฉินผิงอันอ่านจบก็เก็บถุงผ้าแพรสอดกลับไว้ในชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองม่านราตรีนอกหน้าต่าง พึมพำเบาๆ “ข้าก็แค่ผิดวังกับตัวเองอย่างมากเท่านั้น”
……
ในหอสูง ชุยฉานหัวเราะก้องอย่างอารมณ์ดี
จิตใจของชุยตงซานเป็นดั่งขี้เถ้ามอด
ชุยฉานยังหัวเราะไม่หยุด เบิกบานใจสุดขีด
ราชครูต้าหลีท่านนี้ไม่เคยอารมณ์ดีอย่างเต็มคราบเช่นนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว
ชุยตงซานเตรียมจะลุกขึ้นเดินออกจากบ่อสายฟ้าสีทองที่ตัวเองวาดเป็นกรงขัง
ชุยฉานพลันหรี่ตาลง
เห็นเพียงว่าในม้วนภาพวาด
เฉินผิงอันไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มา ดื่มเหล้าทั้งหมดรวดเดียว
จากนั้นก็หยิบชุดคลุมอาคมตัวนั้นออกมา เขายืนอยู่ที่เดิม แต่ชุดคลุมอาคมก็สวมลงบนร่างของเขาด้วยตัวเอง
แล้วเฉินผิงอันก็หยิบยันต์ชำระสิ่งสกปรกออกมาหนึ่งแผ่น เอาไปแปะไว้บนเสาต้นหนึ่งของห้อง
เขาหลับตาลง
ใช้วิธีมองภายในของผู้ฝึกตน ดวงจิตของเฉินผิงอันมาหยุดตรงหน้าประตูใหญ่ของจวนที่มีหัวใจบุ๋นสีทองอยู่ภายใน
ประตูใหญ่เปิดออกช้าๆ
ตอนนั้นหลังจากที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองนี้สำเร็จ คนจิ๋วสวมชุดลัทธิขงจื๊อสีทองที่สะพายกระบี่ห้อยตำราพูดประโยคหนึ่งกับเฉินผิงอันที่แม้แต่เหมาเสี่ยวตงก็ยังไม่เข้าใจ
‘รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงนับว่าประเสริฐ’
ประโยคนี้แท้จริงแล้วเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันมีความกังวลอย่างลึกล้ำต่อกู้ช่าน นั่นคือการแอบบอกเป็นนัยอย่างหนึ่งที่เฉินผิงอันมีต่อตัวเอง ทำผิดแล้ว จะไม่ยอมรับผิดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับข้าเฉินผิงอัน ข้าก็รู้สึกว่าเขาไม่ผิด ข้าต้องเข้าข้างเขา และความผิดเหล่านี้ก็สามารถพยายามชดเชยแก้ไขได้
ทว่าคนตายไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้น
และกู้ช่านก็ไม่ยอมรับผิด
ตอนนี้ ควรจะชดเชยแก้ไขอย่างไร?
ผิดหรือถูกวางให้เห็นกันอยู่ตรงนั้น เฉินผิงอันไม่อาจแหกกฎ ไม่อาจหลอกตัวเองและหลอกผู้อื่น
สิ่งที่คนหลายคนกำลังทำหรือกำลังพูด อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป
ประตูใหญ่ของจวนเปิดออกช้าๆ
เฉินผิงอันประสานมือโค้งคารวะอำลาคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทองผู้นั้น
หัวใจบุ๋นสีทองที่เดิมทีก่อเค้าโครงร่างของโอสถ มีหวังว่าจะเลื่อนไปถึงขอบเขต ‘คุณธรรมติดตัว’ คนจิ๋วที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อสีทองคนนั้นมีถ้อยคำนับพันนับหมื่น สุดท้ายกลับเหลือเพียงเสียงถอนหายใจ มันเองก็โค้งคารวะบอกลาเฉินผิงอันอย่างนอบน้อม
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
ตลอดทั้งฟ้าดินขนาดเล็กในร่างคนประหนึ่งมีเสียงระฆังไว้อาลัยแด่ผู้ตายดังก้องไปทั้งฟ้าดิน
หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นพลันระเบิดแตก กระบี่ยาวของคนจิ๋วชุดลัทธิขงจื๊อสีทองที่ช่วงที่ผ่านมามีสนิมเกาะเขรอะ ตำราที่หม่นแสง รวมไปถึงตัวมันเอง ต่างก็กลายเป็นเหมือนหิมะที่ละลายหายไป
ห้องแห่งนี้ในเรือนใหญ่บนเกาะชิงเสีย
มีกลิ่นคาวเลือดขุมหนึ่งโชยมา
เฉินผิงอันเซล้มลงบนพื้น ขยับขานั่งขัดสมาธิ
เขาพยายามลุกขึ้นยืน ผลักกระดาษทุกแผ่นออกไป เริ่มเขียนจดหมาย ทั้งหมดสามฉบับ
……
ชุยตงซานสายตาเย็นชา “ข้าแพ้แล้ว”
ความเงียบเกิดขึ้นเป็นนาน
ชุยตงซานรู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงหันหน้าไปมอง
ชุยฉานกลับทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ เขาเริ่มนั่งตัวตรงอย่างสำรวม!
……
วันต่อมา มีคนลักษณะแปลกประหลาดผู้หนึ่งปราฎตัวบนเกาะชิงเสียกะทันหัน
แรกเริ่มนั้นเขาได้ให้กระบี่บินนำจดหมายลับไปส่งสามฉบับ
ส่วนในจดหมายนั้นเขียนว่าอะไร ส่งไปให้ใคร ใครเล่าจะกล้าไปลอบสืบเสาะเรื่องของแขกผู้ทรงเกียรติของกู้ช่านท่านนี้?
จดหมายสามฉบับนั้นแยกกันส่งไปให้เว่ยป้อที่เขตการปกครองหลงเฉวียน จงขุยแห่งใบถงทวีปและฟ่านจวิ้นเม่าแห่งนครมังกรเฒ่า
สอบถามว่ามีวิธีลัดที่จะทำให้สามารถเชี่ยวชาญวิชาตระกูลเซียนที่ช่วยรวบรวมวิญญาณอย่างรวดเร็วหรือไม่ คนผู้หนึ่งหลังจากตายไปแล้วกลายเป็นผีหรือวัตถุหยินได้อย่างไร ข้อพิถีพิถันมากมายหลังจากที่คนผู้หนึ่งไปเกิดใหม่ มีวิชาลับบรรพกาลที่สาบสูญไปนานแล้วซึ่งสามารถเรียก ‘คนในอดีต’ ออกจากปรโลกให้มาสนทนากับคนในโลกคนเป็นหรือไม่
หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็มาปรากฏตัวใกล้กับประตูภูเขาแห่งหนึ่งของเกาะชิงเสีย ขอห้องเล็กหนึ่งห้อง
บนโต๊ะวางกระดาษ พู่กัน หมึกและลูกคิดธรรมดาๆ อันหนึ่ง
คนผู้นั้นอายุยังน้อย แต่มองดูแล้วอิดโรย สีหน้าซีดขาว ทว่าเนื้อตัวของเขาสะอาดสะอ้าน ไม่ว่ามองใคร สายตาก็เป็นประกายเจิดจ้า
เขาขอเอกสารของผู้ฝึกตนและนักการทุกคนบนเกาะชิงเสียมาจากเถียนหูจวิน
มองดูเหมือนเป็น…นักบัญชีคนหนึ่ง?
—–