ตอนที่ 379.2 ภิกษุชุดขาว

และในขณะที่จู๋เฟิ่งเซียนเตรียมจะหลับตาทำสมาธินั้นเอง หญิงชราที่มีบุคลิกเป็นที่น่าประทับใจพลันเอ่ยขึ้นว่า “แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน เมื่อเทียบกับเมื่อสามสิบปีก่อน น้ำในยุทธภพลึกขึ้นแล้ว เวลาที่ไม่อยู่ในถิ่นของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรดื่มสุราคารวะให้มาก โอ้อวดให้น้อย โขกหัวให้มาก พูดจาให้น้อย”

เด็กสาวหน้ากลมพลันเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า นางจ้องหญิงชราผมขาวผู้นั้นเขม็ง อยากจะรู้ว่าหญิงแก่ผู้นี้เป็นบ้าแล้วหรือไร

จู๋เฟิ่งเซียนพูดอย่างเฉยเมย “หากข้าจำไม่ผิด นับตั้งแต่ที่บรรพบุรุษของเรือนแยนจือเจ้าสร้างสำนักขึ้นมา เวลาสองร้อยกว่าปีก็ยังเป็นได้แค่สำนักลำดับรองของแคว้นอวิ๋นเซียวเท่านั้น ใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนามาโดยตลอด ทำไม ภายในสามสิบปีนี้ มีใครมาอยู่เหนือร่างสตรีอย่างพวกเจ้าแล้วงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนหัวโตขึ้นมากะทันหัน เหตุใดแค่เข้ามาหลบฝนก็ต้องมาเจอกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพเช่นนี้ด้วย? ก่อนหน้านี้เผยเฉียนยังบ่นอยู่ว่า หลังออกจากท่าเรือหางผึ้ง เดินมาตั้งนานขนาดนี้ ทำไมได้เจอกับวัวดินสีเหลืองตัวเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เจอภูตผีหรือตัวประหลาดอะไรอีก

ตอนนี้เผยเฉียนจึงตั้งใจฟังอย่างมาก นี่ก็คือยุทธภพสินะ วันหน้าตนก็จะออกไปท่องยุทธภพเช่นกัน ตอนนี้ก็ต้องดูให้มาก เรียนรู้ให้มาก

จูเหลี่ยนแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง คำพูดนี้ของเจ้าคนแซ่จู๋ต้องขบคิดให้ลึกซึ้งแล้ว

หญิงชราหัวเราะหยัน “หากไม่ผิดไปจากที่คาด หัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋คงคิดจะพาแม่นางน้อยคนนี้เข้าไปฝึกวิชาตระกูลเซียนในอารามจินกุ้ยกระมัง ถ้าอย่างนั้นหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋รู้หรือไม่ว่า เจ้าอารามจินกุ้ยเป็นคนรู้จักเก่าแก่กับเรือนแยนจือของพวกเรา? ในบรรดาลูกศิษย์เก้าคนก็มีรายชื่อของเรือนแยนจือพวกเราแล้วคนหนึ่ง แถมเรื่องนี้ยังเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่เอ่ยปากเองด้วย ดังนั้นขึ้นเขาครั้งนี้ก็แค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นางน้อยที่ปากคอเราะร้ายข้างกายหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าจู๋ผู้นี้ หากมีพรสวรรค์ในการฝึกตนจริงๆ อีกทั้งท่านผู้เฒ่าเจ้าอารามยังถูกชะตาก็นับว่ามีโอกาสจะเรียกชิงเฉิงของพวกเราว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว”

เด็กสาวใบหน้ารูปไข่ห่านของเรือนแยนจือหน้าแดงน้อยๆ ด้วยความเขินอาย

เด็กสาวหน้ากลมมองนาง หัวเราะคิกคักกล่าวว่า “เจ้าชื่อชิงเฉิน (ยามเช้า) เหรอ ข้าชื่อหว่านซ่าง (ยามเย็น)”

จู๋เฟิ่งเซียนยิ้มบางๆ “เจ้าอารามจินกุ้ยคือเทพเซียนตัวจริงที่หาได้ยาก ครั้งนี้เขาเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ดังนั้นข้าถึงได้ยินดีออกมาเยือนยุทธภพอีกครั้ง เพียงแต่ว่าแคว้นชิงหลวนไม่ได้มีแค่ตระกูลเซียนอย่างอารามจินกุ้ยแห่งเดียวเท่านั้น ข้าสามารถสังหารพวกเจ้าให้สิ้นซากก่อน จากนั้นก็พาหลานสาวไปเยี่ยมเยือนเซียนของที่อื่น หรือไม่ก็ไปจากที่นี่โดยตรง ให้ลูกศิษย์พรรคต้าเจ๋อของข้าแอบปกป้องสตรีที่พวกเจ้าพาขึ้นเขาอย่างลับๆ จะได้สอนนางว่าตั้งใจฝึกบำเพ็ญตนควรทำเช่นไร”

สีหน้าของหญิงชราเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง แค่นเสียงหยันกล่าวว่า “ไปเยี่ยมเยือนเซียนของที่อื่น พูดได้ง่ายนัก! เหตุใดเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ยถึงต้องจำกัดอายุ? เจ้าจู๋เฟิ่งเซียนไม่รู้อย่างนั้นหรือ? หากช้าไปกว่านี้สักสองสามปี หลานสาวคนนี้ของเจ้าจะยังฝึกเป็นเซียนกับผายลมอะไรอีก ต่อให้เห็นแก่หน้าของพรรคต้าเจ๋อ ยอมให้นางเข้าไปอยู่ในตระกูลเซียน แต่คาดว่าคงเป็นได้แค่สาวใช้ที่ต้องปรนนิบัติคนอื่นกระมัง การฝึกตนของตระกูลเซียนไร้น้ำใจที่สุด ต้องให้ข้าสอนหลักการนี้แก่เจ้าจู๋เฟิ่งเซียนหรือไม่?”

สีหน้าของจู๋เฟิ่งเซียนมืดทะมึน

ต่อให้เป็นเด็กสาวหน้ากลมที่มองดูเหมือน ‘น่ารักไร้เดียงสา’ คนนั้นก็ยังหน้าดำคล้ำ

นางไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง

แม้ว่าสายตาของหญิงชราไม่ดีจึงมองข้อนี้ไม่ออก แต่เด็กสาวก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าบนเส้นทางของการฝึกตน ยิ่งถ่วงเวลาล่าช้าไปสองสามปีในช่วงที่อายุยังน้อย หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางแล้วก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะชดเชยกลับมาได้

ตามคำบอกของท่านปู่จู๋เฟิ่งเซียนและกุนซือท่านนั้นของพรรคต้าเจ๋อ นางคือวัสดุชั้นเยี่ยมในการฝึกตนที่ร้อยปีถึงจะพานพบสักครั้ง น่าเสียดายที่แม้ว่าตำราลับตระกูลเซียนที่ช่วยให้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางซึ่งมีอยู่เล่มเดียวในคลังอาวุธของพรรคต้าเจ๋อจะระดับขั้นไม่เลว แต่ข้อที่ว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นเซียนดินที่ดื่มน้ำค้างกินแสงเรืองรอง ทะยานลมไกลเป็นหมื่นลี้ได้ ตำราเต๋าเล่มนั้นที่มาจากตระกูลเซียนแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแคว้นชิงหลวนซึ่งควันธูปขาดหายไปแล้วกลับไม่ได้บันทึกไว้ นั่นน่าจะเป็นวิชาการฝึกตนของลูกศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น มีเพียงกลายเป็นผู้สืบทอดสายตรงเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกวิชาลับของสำนัก ได้รับการสืบทอดจากศาลบรรพชน

เผยเฉียนนั่งยองอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ฟังอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกว่าการโต้คารมด้วยฝีปากนี้น่าสนใจที่สุด น่าสนุกยิ่งกว่าตอนที่นางยังเด็กแล้วเห็นสตรีแต่งงานแล้วตบตีกันริมถนนของแคว้นหนันเยวี่ยนเสียอีก

เฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน กลัวก็แต่ว่าหากพวกเขาพูดจาไม่เข้าหูกันขึ้นมาก็อาจลงมือกัน โพรงหินก็ใหญ่แค่นี้ จะหลบก็หลบไม่พ้น มีดและกระบี่ล้วนไร้ตา หรือยังจะต้องให้เขาเปิดปากเอ่ยเตือนให้คนสองกลุ่มอย่างพรรคต้าเจ๋อและเรือนแยนจือนี้ออกไปตีกันข้างนอก?

เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน เดินผ่ากลางระหว่างคนสองกลุ่มออกไปหน้าช่องโพรงหินโดยตรง สองนิ้วคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟครึ่งแผ่นที่เอาออกมาจากชายแขนเสื้อ เวลานี้ยันต์ติดไฟลุกไหม้อีกครั้ง สะเก็ดไฟสีทองอร่าม ต่อให้จะอยู่ท่ามกลางลมฟ้าลมฝนที่พัดกระโชกแรงก็ยังคงเป็นดั่งต้นหญ้าต้นเล็กที่ส่ายไหวอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ามายิ้มให้ “ฝนครั้งนี้ค่อนข้างจะประหลาด ลมปราณเยือกเย็นอึมครึมที่ไม่ธรรมดาขุมนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ฝนตกจนถึงตอนนี้ ทอดยาวลงมาไม่ขาดสาย มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกลมปราณบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืด ดูจากสถานการณ์แล้ว เหล่าเทพเซียนของอารามจินกุ้ยยังไม่ยอมลงมือ ดังนั้นครั้งนี้พวกเจ้าขึ้นเขาไปที่อารามจินกุ้ยต้องระวังตัวให้มาก ไม่สู้วางบุญคุณความแค้นในยุทธภพลงก่อนชั่วคราว ถึงอย่างไรเส้นทางการฝึกตนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมของแม่นางทั้งสองก็สำคัญยิ่งกว่า การขึ้นเขาครั้งนี้คงจะถือว่าได้เดินไปบนเส้นทางการฝึกตนแล้ว”

เฉินผิงอันมองเด็กสาวทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดเนิบช้าว่า “เส้นทางแห่งการฝึกตนใต้ฝ่าเท้า จำเป็นต้องยิ่งเดินก็ยิ่งแคบลงด้วยหรือ? หากไม่ถูกชะตากัน มหามรรคากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แค่ต่างคนต่างเดินไปก็พอแล้ว”

จู๋เฟิ่งเซียนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายท่านนี้พูดถูกแล้ว หวังว่าวันหน้าหากมีโอกาสจะไปเป็นแขกที่พรรคต้าเจ๋อของข้า ข้าผู้แซ่จู๋จะต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้แน่นอน”

แม้จะเป็นคำพูดที่เอ่ยตามมารยาท ทว่าคำพูดตามมารยาทที่หลุดออกจากปากของจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่า อย่างน้อยหากอยู่ในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนก็ถือว่ามีค่าเทียบกับเงินทองได้เป็นจำนวนไม่น้อย

หญิงชราชุดขาวชำเลืองตามองกระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คำพูดประโยคนี้ของคุณชายมีค่ายิ่ง ชิงเฉิงของพวกเราต้องจดจำขึ้นใจอย่างแน่นอน”

เด็กหญิงใบหน้ารูปไข่ห่านคลี่ยิ้มหวานให้เฉินผิงอัน

ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่ปลายนิ้วของเฉินผิงอันเผามอดไหม้หมดสิ้นแล้ว สะเก็ดไฟสีทองก็ดับลงตามไปด้วย เฉินผิงอันขยี้นิ้ว คลี่ยิ้ม “เคยมีคนกล่าวว่า ท่องอยู่ในยุทธภพ หมัดสูงไม่ปล่อยไป เป็นเทพเซียน เวทสูงส่งไม่เอามาใช้”

เด็กสาวหน้ากลมยิ้มถาม “ขอถามคุณชาย เป็นคำพูดของยอดฝีมือคนใดหรือ?”

เฉินผิงอันตอบ “เพื่อนข้าคนหนึ่ง”

เด็กสาวหน้ากลมที่เรียกตัวเองว่า ‘เด็กรุ่นหลัง’ ยกนิ้วโป้งให้ จุ๊ปากพูด “ยอมให้เลย!”

แม่นางใบหน้ารูปไข่ที่ชื่อว่า ‘ชิงเฉิน’ รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวตนของคนหนุ่มผู้นี้อยู่บ้าง

จู๋เฟิ่งเซียนและหญิงชราจากเรือนแยนจือสบตากัน ต่างก็เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ นี้ของทั้งสองฝ่าย ไม่มีค่าพอให้พูดถึงหากเทียบกับการฝึกตนของเด็กรุ่นหลังของฝ่ายตัวเอง ต่อให้ในใจยังตะขิดตะขวง แต่ก่อนหน้าที่จะได้เข้าไปในอารามจินกุ้ยอย่างราบรื่น ทั้งสองฝ่ายยังจำเป็นต้องทำตัวดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง หรือถึงขั้นที่ว่าหากพบเจออันตรายระหว่างทาง ไม่แน่ว่าพรรคต้าเจ๋อกับเรือนแยนจือยังต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจประหนึ่งคนที่ลงเรือลำเดียวกัน

เฉินผิงอันหันหน้าออกไปมองข้างนอก

ฝนยังคงตกกระหน่ำรุนแรงอย่างน่าตกใจ

ไม่รู้ว่าตอนนี้ในพื้นที่มงคลดอกบัวจะเป็นฤดูอะไร?

ก็ไม่รู้ว่าสิบคนใต้หล้าของที่แห่งนั้นในทุกวันนี้มีใครบ้าง? แต่ราชครูจ้งชิว อวี๋เจินอี้เจ้าสำนักพรรคหูซาน ลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นจะต้องเป็นหนึ่งในลำดับนี้แน่

ไม่รู้ว่าบ้านในตรอกแห่งนั้นจะได้เปลี่ยนเทพทวารบาลและกลอนคู่แผ่นใหม่หรือไม่?

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ

หลังจากปลดหีบไม้ไผ่ลง เฉินผิงอันเวลานี้จึงสะพายแค่ ‘เจี้ยนเซียน’ อาวุธกึ่งเซียนที่ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่ายืมมือของฟ่านจวิ้นเม่าส่งต่อมาให้เขาเป็นการชดเชย

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดสูงของม่านฝนที่เป็นสีดำสนิท

ปีนั้นยังเด็กไม่รู้ความ จำได้ว่าตอนนั้นมีคนผู้หนึ่งสวมงอบจูงลา ‘คุยโว’ ถึงเวทกระบี่ของเขาบอกว่าหากอยู่ท่ามกลางฝนห่าใหญ่ น้ำฝนยังไม่อาจกระเด็นมาโดน

ตอนนี้แม้แต่เขาเฉินผิงอันก็ยังทำได้แล้ว

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะได้กลายเป็นเซียนกระบี่ที่แท้จริง?

สะพาย ‘เจี้ยนเซียน’ (เซียนกระบี่) เล่มนี้ไว้ด้านหลัง แม้แต่จะชักกระบี่ออกจากฝักก็ยังยากสำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้ พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอึกใหญ่

แต่ลืมไปว่าเหล้าที่อยู่ในน้ำเต้าไม่ใช่เหล้าเซียนบ่อน้ำหรือเหล้าหมักกุ้ยฮวา แต่เป็นยาดองที่ฟ่านจวิ้นเม่าหลอมระดับเล็ก เฉินผิงอันพลันสะดุ้งโหยง ใบหน้าแดงก่ำ สำลักไอไม่หยุด ได้แต่ใช้หลังมือปิดปาก หมุนตัวเดินไปทางเผยเฉียนด้วยท่าทางขออภัย

พริบตานั้นความสง่างามของเทพเซียนหายวับไปไม่มีเหลือ

……

วัดป๋ายสุ่ยตั้งอยู่ภาคกลางค่อนไปทางทิศใต้ของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ในวัดมีน้ำพุซ่อนอยู่ใต้ดิน สายน้ำกลิ้งไหลดุจไข่มุก คือตัวเลือกที่ดีอันดับหนึ่งในการต้มชา เป็นเหตุให้มักจะมีปัญญาชนของแคว้นอวิ๋นเซียวและแคว้นชิ่งซานมาที่นี่เพื่อตักน้ำพุมาต้มชาโดยเฉพาะ ควันธูปของวัดป๋ายสุ่ยโชติช่วงรุ่งเรืองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงทัดเทียมกับวัดเป่ยซานที่ตั้งอยูในเมืองหลวง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับความกระตือรือร้นจะมีส่วนร่วมในราชสำนักของภิกษุวัดเป่ยซานแล้ว ดูเหมือนว่าภิกษุของวัดป๋ายสุ่ยจะไม่ชอบเผยตัวเท่าใดนัก อีกทั้งเมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาก็ไม่มีฉานซือ (คำเรียกพระภิกษุอย่างให้ความเคารพ) ที่โดดเด่นปรากฏขึ้นอีก จึงตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ากินสมบัติเก่าอย่างเลี่ยงไม่ได้

เป็นเหตุให้งานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดในครั้งนี้ วัดเป่ยซานมีหน้ามีตาที่สุด หันกลับมามองทางฝั่งของวัดป๋ายสุ่ยที่มีต้นกำเนิดมานานนับพันปีแห่งนี้ จนถึงวันนี้กลับไม่มีภิกษุสักรูปที่ป่าวประกาศว่าจะปรากฏตัวในงานพิธีใหญ่ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินการจัดเรียงลำดับของสามลัทธิในครั้งนี้เลย

ช่วงที่ผ่านมานี้ฝนฤดูใบไม้ผลิตกติดต่อกันไม่หยุด วัดวาอารามแต่ละแห่งของแคว้นชิงหลวนตั้งอยู่ท่ามกลางม่านหมอกไอฝน ยามสนธยาของวันนี้มีภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีขาวราวหิมะคนหนึ่งเดินย่างก้าวเนิบช้าอยู่ในวัดป๋ายสุ่ย

วัดป๋ายสุ่ยปิดประตูหน้าภูเขามาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว น่าสงสารก็แต่เหล่าชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาที่หวังจะมาทำบุญ

สีหน้าของภิกษุหนุ่มเย็นชา ตลอดทางมีภิกษุเฒ่าและเณรน้อยทักทายเขา ภิกษุหนุ่มที่สวมชุดจีวรสีขาวสะดุดตากลับไม่สนใจใยดี ทว่าทุกคนกลับเคยชินเสียแล้ว

ภิกษุหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างรั้วของบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำในบ่อเป็นสีเขียวเข้ม บ่อน้ำที่ไม่สะดุดตานี้กลับมีคำเรียกขานอย่างน่าฟังว่าบ่อมังกร เพราะเล่าลือกันว่าในบ่อน้ำที่เล็กแต่กลับลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแห่งนี้มีตะพาบแก่ตัวหนึ่งพักพิงอยู่ ภิกษุคนหนึ่งเป็นคนปล่อยมันในช่วงแรกของการสร้างวัดป๋ายสุ่ย ทุกครั้งที่ภิกษุวัดป๋ายสุ่ยเทศนาพระธรรมจนถึงจุดที่ลึกซึ้งอัศจรรย์ ตะพาบเฒ่าตัวนี้ถึงจะโผล่ออกมาจากน้ำ สำหรับเรื่องนี้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของแคว้นชิงหลวนก็มีบันทึกไว้อย่างละเอียด และไม่มีใครรู้สึกกังขา

ภิกษุหนุ่มยังคงเดินทอดน่องต่อไปอย่างสบายอารมณ์ เขาเดินอยู่กลางระเบียงยาวฝั่งหนึ่งของด้านหลังตำหนักต้าสงเป่า เดินขึ้นทีสูงไปทีละก้าว ใต้ชายคาแขวนกระดิ่งเงินงดงามเรียงตัวทอดยาว เมื่อภิกษุหนุ่มเดินขึ้นบันไดไป ภูตที่มีชื่อเรียกว่า ‘ม้าเหล็กชายคา’ ซึ่งก่อกำเนิดและพักพิงอยู่ในกระดิ่งเงินเหล่านี้ก็พากันบินออกมาจากกระดิ่ง พวกมันมีปีกโปร่งใสคู่หนึ่งที่กระพือพัดลมให้แก่กระดิ่ง ดูเหมือนภิกษุหนุ่มจะไม่ค่อยชอบเสียงกรุ้งกริ้งและบรรยากาศอันเป็นมงคลของวัดโบราณที่เงียบสงบนี้สักเท่าใด เขาจึงขมวดคิ้วมุ่น

เหล่าภูตน้อยตัวจิ๋วจึงรีบกลับเข้าไปหลบในกระดิ่งเงินทันที

ภิกษุหนุ่มหันหน้ามา หลุบตาลงมองลานขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังตำหนักต้าสงเป่า ที่นั่นก็คือสถานที่แห่งหนึ่งที่ ‘พระสมณศักดิ์สูงเทศนาพระธรรม เหล่านางฟ้าโปรยบุปผา’ ในประวัติศาสตร์ของวัดป๋ายสุ่ย จำได้ว่าวันนั้นมีดอกกุ้ยสีทองร่วงลงมาจากฟ้าจำนวนมาก ภิกษุผู้ถ่ายทอดพระธรรมและภิกษุผู้ฟังพระธรรมต่างก็นั่งกันอยู่ในกองดอกกุ้ย ภิกษุผู้เทศนาพระธรรมปรับตัวกับกลิ่นหอมนั้นไม่ค่อยได้จึงจามอยู่หลายที ผู้ฟังมีใจ รู้สึกถึงความนัยบางอย่างจึงใคร่ครวญจนเกิดเป็นหัวข้อสนทนาบางอย่าง จากนั้นก็เขียนลงไปบนศิลาของวัดป๋ายสุ่ย

เดินขึ้นบันไดมาจนครบทุกขั้น มาถึงยอดบนสุดก็อ้อมผ่านหอเก็บคัมภีร์ เดินไปยังด้านข้างของห้องเจ้าอาวาส เจอกับผนังดินเหลืองสูงครึ่งตัวคน อ้อมออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กแถบนี้ก็เจอกับบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ข้างบ่อมีโต๊ะและม้านั่งหิน

ภิกษุหนุ่มผลักประตูบ้านเล็กที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่หยาบๆ เดินไปหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำ ปากของบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งนี้ถูกปิดตายมานานหลายปีแล้ว

ในอดีตที่นี่เคยเกิดคดีทางพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงคดีหนึ่ง ว่ากันว่าแม้แต่คนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังได้ยิน นี่ต่างหากถึงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกือบร้อยปีมานี้วัดป๋ายสุ่ยไม่มีพระชั้นสูง แต่กลับยังคงหยัดยืนได้ไม่ล้มลง เกี่ยวกับคดีนี้ วัดป๋ายเหอทุ่มเถียงกันมานานหลายร้อยปี วัดใหญ่แห่งต่างๆ ในแคว้นชิงหลวนก็โต้เถียงกัน มีการถกเถียงกันทางพระธรรม ปัญญาชนแต่ละยุคแต่ละสมัยที่สนใจศึกษาพระธรรมกันก็เถียงกันด้วยเรื่องนี้อย่างดุเดือด ลำพังเพียงแค่ปัญญาชน นักประพันธ์ ภิกษุชั้นสูงที่แสดงความคิดเห็นต่อคดีนี้ไว้ตามผนังวัดต่างๆ ก็มากถึงสี่สิบกว่าท่าน

ความอุดมสมบูรณ์ของคัมภีร์ที่ถูกเก็บไว้และคัมภีร์หายากฉบับสมบูรณ์ที่มีเล่มเดียวในวัดป๋ายสุ่ยถือเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นชิงสุ่ย แต่ภิกษุหนุ่มที่ยืนเหม่ออยู่ข้างบ่อน้ำคนนี้กลับรังเกียจสถานที่แห่งนั้นมากที่สุด ไม่เคยเหยียบเข้าไปที่นั่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ห่างจากคัมภีร์ จะฝึกตนอย่างไร

ก็แค่ถ่ายมูลลงบนเศียรพระพุทธรูปเท่านั้น (เปรียบเปรยว่าทำให้เรื่องที่ดีมีมลทิน ทำให้สกปรก)

เขานั่งอยู่บนปากบ่อที่พอถูกปิดผนึกแล้วก็เหมือนม้านั่งทรงกลม เขามีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่คิดไม่ตกตลอดหลายปีมานี้

จำได้ว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า อรหันต์ท่านหนึ่งที่กลายเป็นพุทธะในโลกหลัง เทวบุตรมารได้ปรากฏตัวมาข่มขู่เขา ในใจอรหันต์หวาดกลัวจึงไปหาพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาจึงมอบคัมภีร์เล่มหนึ่งให้เขา เทวบุตรมารจึงหายไป

ช่วงแรกที่ภิกษุหนุ่มมาถึงที่นี่ เขาไม่เคยครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เพียงแต่วันหนึ่งพลันสะดุ้งตื่นด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็จมเข้าสู่ความทุกข์ทรมานอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้

ในใจเขาเกิดทิฐิ

“เหตุใดภิกษุตัวเล็กๆ ในวัดเล็กๆ อย่างข้าที่เชื่อมั่นว่าต่อให้เจอเทวบุตรมารก็ยังไม่ถึงขั้นเสียกิริยาเช่นนี้ ถึงถูกกำหนดมาให้เป็นอรหันต์ใหญ่ที่จะกลายเป็นพุทธะ เป็นลูกศิษย์ของพระบรมศาสดา แต่ในใจกลับเกิดความหวาดกลัว กระวนกระวายไม่เป็นสุข? นี่ต่างจากคนธรรมดาที่ไม่เคยเรียนรู้พระธรรมที่ตรงไหน? ปัญญินทรีย์อยู่ตรงไหน? พระธรรมที่เล่าเรียนมาอยู่ที่ใด? แล้วพระธรรมที่พระบรมศาสดาถ่ายทอดให้เล่าอยู่ที่ใด? อรหันต์ที่กลายเป็นพุทธะเช่นนี้ พระธรรมที่ถ่ายทอดจะสูงและไกลได้สักเท่าไหร่?”

ภิกษุหนุ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งแต่ก็ยังคิดไม่ตก เขานั่งอยู่บนปากบ่อเพียงลำพัง น้ำตาไหลอาบหน้า

ภิกษุหนุ่มที่สติปัญญาเปิดกว้างตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้จำได้เลือนๆ ว่าในอดีตตนฆ่าแมวตัวหนึ่งอยู่ที่นี่ ฟันมันขาดเป็นสองท่อนแล้วโยนทิ้งลงไปในบ่อน้ำ

ตลอดหลายปีมานี้ภิกษุหนุ่มพูดน้อยมาโดยตลอด ทว่ากลับอุตสาหะทำงานหนักอยู่ในวัดป๋ายสุ่ย เป็นเหตุให้ทั้งมือและเท้าล้วนเกิดรอยด้าน หน้าหนาวของทุกปี ตุ่มน้ำผุพองจะต้องปริแตกจนเลือดไหลอาบเต็มฝ่ามือ

เขาใช้ฝ่ามือตบปากบ่อที่ถูกปิดตายครั้งแล้วครั้งเล่า เนื้อหนังเริ่มแตกและเลือดสดก็ค่อยๆ ซึมออกมา แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัว

ภิกษุหนุ่มเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบพร่า สะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นคำ แต่กระนั้นก็ยังใช้ฝ่ามือตบฝาบ่อแรงๆ “ผิดแล้วๆ พวกเจ้าผิดอีกแล้ว พระธรรมก็อยู่ข้างในนั้น…ข้าเองก็ผิดแล้ว ปริศนาธรรมมิอาจกล่าว เปิดปากก็ผิดแล้ว แต่ไม่เปิดปากก็ผิดเหมือนกันไม่ใช่หรือ? พวกเราต่างก็ผิดแล้ว ทำอย่างไรถึงจะไม่ผิด…”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset