หลังจากที่หลี่เอ้อร์มาถึงนครมังกรเฒ่า สถานการณ์ของนครมังกรเฒ่าก็เริ่มเข้าสู่สภาวะชัดเจนอย่างแท้จริง แม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบท่านนี้จะแค่โผล่หน้ามาที่ร้านยาฮุยเฉินแปบเดียว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ตัดสินสถานการณ์ในท้ายที่สุด
แซ่ใหญ่ทั้งสี่ซึ่งรวมถึงตระกูลซุนอาจยังไม่รู้เรื่อง ทว่าแนวโน้มของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในลำดับถัดไปก็แค่ต้องบรรยายด้วยสี่คำว่า ‘ตามลำดับขั้นตอน’ เท่านั้น ลูกคิดแต่ละรางและสมุดบัญชีแต่ละเล่มของนครมังกรเฒ่าจะขยับขึ้นเหนือไปอย่างต่อเนื่อง ขยับเข้าไปใกล้กองทัพม้าเหล็กสกุลซ่งต้าหลีที่ปักหลักอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปมากขึ้นทุกที
สำหรับเรื่องนี้ ตระกูลฝู ตระกูลฟ่านและร้านยาฮุยเฉิน สามฝ่ายนี้คือผู้ที่รู้คำตอบเร็วที่สุด
วันนี้ที่หลี่เอ้อร์จากไป คนของตระกูลฟ่านก็เดินอาดๆ พากันมาเยี่ยมเยียนวันปีใหม่ ล้วนเป็นคนที่เฉินผิงอันคุ้นเคยดี ฟ่านจวิ้นเม่า ฟ่านเอ้อร์สองพี่น้องนี้ไม่ต้องพูดถึง ยังมีน้ากุ้ยแห่งเกาะกุ้ยฮวา รวมไปถึงจินซู่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของนาง คือแม่นางกุ้ยฮวาที่ตอนนั้นคอยปรนนิบัติเฉินผิงอันเมื่อครั้งเดินทางไปภูเขาห้อยหัว สุดท้ายคือหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทองซึ่งเคยป้อนกระบี่ให้เฉินผิงอันช่วงระยะเวลาหนึ่ง น้ากุ้ยแทบไม่เคยขึ้นมาบนฝั่ง ทุกปีเกาะกุ้ยฮวาจะเดินทางไปกลับนครมังกรเฒ่ากับภูเขาห้อยหัวอยู่สองครั้ง แม้แต่ผู้เฒ่าหลายคนในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านก็ยังไม่เคยพบหน้านางตลอดชีวิต
ผู้เฒ่าต่างถิ่นที่ ‘มุมานะในการอ่านตำรา’ ในสายตาของจูเหลี่ยน เดิมทีนึกว่าวันนี้จะเป็นอีกวันที่น่าเบื่อ แม้แต่สตรีแซ่สุยผู้นั้นก็คงไม่ได้พบหน้า คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะได้พบเจอสตรีมากมายขนาดนี้ ผู้เฒ่าที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หน้าร้านยาขาดแค่ไม่ได้พูดว่าตัวเองเป็นลูกจ้างของร้านยาฮุยเฉินเท่านั้น เขายุ่งวุ่นวายไม่หยุดมือ กระตือรือร้นยิ่ง หลังจากเดินข้ามธรณีประตูใหญ่ของร้านยามาแล้ว น้ากุ้ยมองผู้เฒ่าประหลาดแวบหนึ่ง ผู้เฒ่าเองก็กำลังมองนางอยู่พอดี น้ากุ้ยสะกดความสงสัยในใจ ยิ้มบางๆ ส่งให้อีกฝ่าย ผู้เฒ่าคิดในใจว่าฮูหยินท่านนี้ แม้ว่ารูปโฉมจะธรรมดา แต่นิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน คือตัวเลือกแรกที่บุรุษทั่วไปจะสู่ขอกลับไปเป็นภรรยาที่ช่วยเหลือสามีและอบรมสั่งสอนบุตร มิน่าเล่าบุตรชายคนโตที่เจียงซ่างเจินแค่ให้กำเนิด แต่ไม่สนใจจะเลี้ยงดูผู้นั้นถึงต้องเอาชื่อของสำนักมาข่มนาง หวังว่าจะซื้อเกาะกุ้ยฮวาที่บุกเบิกเส้นทางการเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวจนเกิดความคุ้นเคยจากตระกูลฟ่านให้ได้
ทว่าน้ากุ้ยกลับมองตื้นลึกหนาบางของผู้เฒ่าไม่ออก แค่พอจะรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าผู้เฒ่า ‘บนร่างไร้มลทิน ลมปราณเบาและคล่องตัว สีหน้าอิ่มเอิบ’ หากตอนนี้มีแค่ตบะของเซียนดิน ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ต้องมีพรสวรรค์ได้เป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรในบรรดาเซียนดินก็มีแบ่งสูงต่ำ ซึ่งก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว
เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ออกมาตลอดทางเพื่อมาต้อนรับน้ากุ้ย สำหรับผู้อาวุโสท่านนี้ ในใจเฉินผิงอันซาบซึ้งในบุญคุณมาโดยตลอด ซึ่งนี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะและฐานะของน้ากุ้ย
ครั้งนั้นที่โดยสารเกาะกุ้ยฮวาไปยังภูเขาห้อยหัว ระหว่างทางผ่านร่องเจียวหลง เจอกับหายนะครั้งใหญ่ เฉินผิงอันได้เข้าไปในดินแดนที่โล่งกว้างสว่างแจ่มจ้าที่สุดในเสี้ยววินาที ประหนึ่งพระอรหันต์ที่มองสภาพจิตใจของสรรพสัตว์ ทำให้เฉินผิงอันทำอะไรไม่ถูก รู้สึกราวกับว่าบนโลกมนุษย์มีแต่ความชั่วร้าย เศร้าซึมอยู่ในเรือนเล็กพักหนึ่ง หลังจากนั้นมาเวลาคิดถึงเกาะกุ้ยฮวาก็จะมีความอบอุ่นแค่สองขุมเท่านั้น หนึ่งคือจิตรกรตระกูลฟ่านที่ช่วยวาดภาพสามภาพให้แก่เฉินผิงอัน อีกคนหนึ่งก็คือน้ากุ้ยที่แม้จะผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายในโลกมาจนชาชิน แต่ก็ยังรักษาสภาพจิตใจอันนิ่งสงบของตนเอาไว้ได้
ฟ่านเอ้อร์แสร้งทำเป็นเดินไปยังที่พักของเจิ้งต้าเฟิง ผลกลับพบว่าบนผนังไม่มีภาพเหมือนที่ฝีมือการวาดเหนือชั้นภาพนั้นแขวนอยู่
เฉินผิงอันนั่งคุยกับพวกน้ากุ้ยอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้านนอก
เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ในห้องกระแอมหนึ่งที พูดอย่างไม่กระโตกกระตากว่า “สะสมพลังความเข้มแข็ง บ่มเพาะอุปนิสัยที่ดี…วันหน้าเรื่องที่ขาดคุณธรรมเช่นนี้ ทำให้น้อยลงหน่อย”
ตอนแรกฟ่านเอ้อร์ยังสงสัยในคำพูดของอาจารย์ตัวเอง เหตุใดยิ่งฟังก็ยิ่งผิดปกติ แต่ครู่เดียวใบหน้าของฟ่านเอ้อร์ก็เต็มไปด้วยโทสะ พูดอย่างคนเสียใจภายหลัง “ต้องโทษจิตรกรคนนั้นที่ตีความความหมายของข้าผิดไป ความหมายเดิมของข้าคือนงรามงามตรู สมคู่สุชน ในเมื่ออาจารย์เลื่อมใสในตัวของเทพธิดาสุย ข้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ควรทำอะไรสักอย่าง จึงบรรยายรูปโฉมและท่วงท่าของเทพธิดาสุยให้จิตรกรผู้นั้นฟัง ต้องการให้เขาสะบัดแปรงวาดภาพเหมือน…”
เจิ้งต้าเฟิงปลาบปลื้มใจ ลูกศิษย์ผู้นี้ถือว่าผ่านเกณฑ์แล้ว
ไม่รู้ว่าสุยโย่วเปียนมายืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “จิตรกรของตระกูลฟ่านท่านนี้ช่างมีฝีมือยอดเยี่ยมซะจริง แค่อาศัยคำพูดของคุณชายฟ่านสองสามคำก็สามารถวาดภาพได้สดใสเหมือนจริงขนาดนี้”
จินซู่ที่เงียบงันมาตลอดขมวดคิ้ว
แม้ว่านางจะไม่มีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงกับฟ่านเอ้อร์ แต่ถึงอย่างไรฟ่านเอ้อร์ก็เป็น ‘ตัวเลือกหนึ่งเดียว’ ของเจ้าประมุขตระกูลฟ่านในอนาคต ตอนนี้อันที่จริงเกาะกุ้ยฮวาก็อยู่ในนามของฟ่านเอ้อร์ ผู้ฝึกยุทธ์สาวที่สะพายกระบี่ผู้นี้ ตามคำบอกของเฉินผิงอันคือหนึ่งในผู้ติดตามของเขา หากพูดให้น่าฟังสักหน่อยก็คือผู้ถวายงานของตระกูล พูดไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือองค์รักษ์บ่าวรับใช้ เพียงแต่ว่าวันนี้คลื่นลมในนครมังกรเฒ่าแปรเปลี่ยน น้ากุ้ยกำชับนางว่าจะพูดจาหรือทำอะไรต้องระมัดระวัง แม้ว่าสตรีแซ่สุยจะไม่เคารพฟ่านเอ้อร์ ในใจจินซู่รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรมาก วันนี้มาเยี่ยมเยียนในวันปีใหม่ นางไม่มีสิทธิ์พูด สำหรับข้อนี้ จินซู่รู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้นางจะเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของ ‘กุ้ยฮูหยิน’ หนึ่งในเซียนดินของนครมังกรเฒ่าก็ตาม
ความสนใจส่วนใหญ่ของจินซู่ยังคงอยู่ที่ตัวของเฉินผิงอันเสียมากกว่า
จากกันไปแค่สามวัน แต่กลับต้องขยี้ตามองใหม่ คงจะเป็นคำพูดที่ไว้บรรยายคนอย่างเจ้าหมอนี่กระมัง เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ชอบดื่มเหล้าในปีนั้นอีกแล้ว กลิ่นอายความบ้านนอกและกลิ่นอายของเด็กหนุ่มก็หายไปสิ้น แทนที่มาด้วย ความ…เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน
บนมวยผมปักปิ่นหยกสีขาว บนร่างสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ ตรงเอวรัดกาเหล้าสีชาดที่คุ้นตา ตัวสูงขึ้นไม่น้อย นั่งตัวตรงอย่างสำรวม เวลาที่พูดคุยกับคนอื่นจะชอบสบตาผู้คน ในสายตามีเพียงรอยยิ้มจริงใจที่ไร้ซึ่งการทำอย่างขอไปที
จากนั้นจินซู่ก็ยังค้นพบว่ามีก้อนถ่านเล็กๆ ก้อนหนึ่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เด็กหญิงร่างผอมแห้งคนนี้มีดวงตาที่โตมากคู่หนึ่ง ดวงตาของนางกลอกกลิ้งรวดเร็ว คอยแอบมองนางจินซู่และยิ่งคอยเหลือบมองกุ้ยฮูหยิน อาจารย์ของนาง
จินซู่คลี่ยิ้มให้นาง
เผยเฉียนก็ยิ้มกว้างกลับมา
ในสายตาของเผยเฉียน พวกพี่สาวที่หน้าตางดงามเหล่านี้ จากเหยาจิ้นจือมาจนถึงสุยโย่วเปียน แล้วก็มาถึงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ล้วนเป็นถุงเงินใบใหญ่ ได้ยินเจิ้งต้าเฟิงบอกว่าบนโลกมีของเล่นเล็กๆ อย่างหนึ่งที่เรียกว่าผีน้อยย้ายสมบัติ คือหนึ่งในภูตผี เผยเฉียนรู้สึกว่าเหมือนตัวเองอย่างมาก
แล้วก็จริงดังคาด จินซู่รีบร้อนเดินทางมา บนร่างไม่ได้พกเงินยาสุ้ยมาด้วย ยิ่งไม่คิดว่าจะได้มาเจอกับเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ ทว่ากุ้ยฮูหยินกลับเตรียมถุงหอมใบเล็กที่ปักด้วยฝีมือประณีตงดงามใบหนึ่งมาไว้นานแล้ว แค่มองก็รู้ว่าไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่ตัวถุงหอมส่งปราณวิญญาณสีขาวหิมะออกมาเป็นเส้นๆ ด้านในยังมีแสงสีเขียวอ่อนดั่งแสงดาวเป็นประกายระยิบระยับ ส่งกลิ่นหอมชวนให้จิตใจคนปลอดโปร่ง เฉินผิงอันพอจะเดาได้ว่านี่มาจากใบกุ้ยแห่งชะตาชีวิตของต้นกุ้ยบรรพบุรุษบนเกาะกุ้ยฮวา มีหรือจะกล้ารับไว้ ตอนนี้เผยเฉียนรู้จักสังเกตสีหน้าและท่าทางของคนอื่นดีพอสมควรแล้ว แค่มองก็รู้ว่าเฉินผิงอันไม่เต็มใจจะรับเงินยาสุ้ยก่อนนี้ นางจึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มอย่างโง่งม
กุ้ยฮูหยินยืนกรานจะมอบของขวัญพบหน้าให้เผยเฉียนให้จงได้ เฉินผิงอันปฏิเสธไม่ได้จึงได้แต่บอกให้เผยเฉียนรับเอาไว้ แน่นอนว่าเขาจะเก็บไว้ให้ก่อน ไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันบอก เผยเฉียนที่ใช้สองมือรับถุงหอมมาอย่างนอบน้อมก็ไม่เพียงแต่โค้งตัวเอ่ยขอบคุณ ยังพูดถ้อยคำมงคลประจบเอาใจ ยกตัวอย่างเช่นขออวยพรให้กุ้ยฮูหยินแข็งแรงและมีความสุข งดงามอ่อนเยาว์ตลอดไป เป็นต้น กุ้ยฮูหยินฟังแล้วรู้สึกชอบใจอย่างมาก ลูบศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียน บอกว่าเฉินผิงอันอาจารย์ของเจ้าตอนอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาก็มีเรือนที่อยู่ในนามของเขาแล้ว บนเรือข้ามฟากยังมีเรือนเล็กที่มีชื่อว่า ‘ฉานกง’ (ตำหนักคางคก ในสมัยโบราณเชื่อว่ามีคางคกอยู่ในดวงจันทร์ ภายหลังในคำกลอนจะใช้คำว่าฉานกงเป็นตัวแทนของดวงจันทร์) อีกแห่งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็มอบให้เจ้าแล้วกัน
เผยเฉียนเบิกตากว้าง นางตกใจมากจริงๆ นี่มันอะไรกัน เวลาฮูหยินของใต้หล้านี้มอบสิ่งของให้ใครล้วนใจกว้างเช่นนี้หรือ แค่เจอหน้ากันก็จะยกบ้านให้แล้ว? หรือว่าสตรีใต้หล้านี้ หากอายุมากขึ้นก็จะยิ่งมือเติบใจกว้างมากขึ้น?
เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน “น้ากุ้ย เรือนหลังนี้รับไว้ไม่ได้จริงๆ ไม่ได้”
กุ้ยฮูหยินถลึงตาใส่เขาหนึ่งที “ข้ายกบ้านให้เผยเฉียน เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที “เผยเฉียน”
เผยเฉียนรีบยืดเอวตรง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาชั่วชีวิต คำสั่งของอาจารย์มิอาจขัดขืน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นคนไร้คุณธรรม กลายเป็นคนอกตัญญู”
กุ้ยฮูหยินรู้สึกว่าน่าสนใจ ชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นคนสอน?”
เฉินผิงอันอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี “คงเป็นเพราะให้นางอ่านหนังสือและคัดตัวอักษรทุกวัน นางคงเรียนเอาเองจากในตำรากระมัง?”
เผยเฉียนพูดประจบ “เป็นอาจารย์ที่สอนได้ดี!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ แล้วเขกมะเหงกลงไป
เผยเฉียนกุมหัว ใบหน้าแสดงความน้อยใจและมึนงง
ส่งพวกกุ้ยฮูหยินออกไปจากตรอกเล็ก การเดินช่วงสุดท้ายนี้เฉินผิงอันเดินเคียงบ่าไปกับหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง ขอความรู้เรื่องวิชาการหลอมกระบี่และการเลี้ยงกระบี่จากผู้ถวายงานตระกูลฟ่านท่านนี้ หม่าจื้อย่อมตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่มีปิดบัง
วันที่เก้าเดือนหนึ่ง
นครมังกรเฒ่ามีประเพณีอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่า ‘วันเกิดเทียนกง’ (วันเกิดเทพยดา) แต่ละครอบครัวจำเป็นต้องจัดเตรียมเทียน อาหารเจไปไว้ตามมุมต่างๆ ที่เหนือศีรษะไม่มีอะไรบดบังอย่างเพดานเปิดกว้างของลานบ้านหรือมุมหัวเลี้ยวของถนน ฯลฯ เพื่อกราบไหว้บูชาเทพเทวดา
ในร้านยาฮุยเฉินไม่มีใครที่เกิดและเติบโตมาในนครมังกรเฒ่า ทว่าเจิ้งต้าเฟิงกลับพิถีพิถันยิ่งกว่าชาวบ้านในนครมังกรเฒ่าเสียอีก ชายฉกรรจ์ที่แม้แต่วันปีใหม่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนักกลับเตรียมเทียน ผลไม้ และทำอาหารเจด้วยตัวเอง จัดโต๊ะบูชาสามตัวที่มีทั้งสูงและเตี้ยไว้ตรงเพดานเปิดกว้างของเรือนด้านหลัง สุดท้ายจุดธูปสามดอก ทำพิธีสามคำนับเก้ากราบ พิธีการเช่นนี้เมื่อเทียบกับพิธีบวงสรวงสวรรค์ที่กษัตริย์ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ทำแล้วนับว่าด้อยกว่า แต่เมื่อเทียบกับการกราบไหว้สวรรค์ของชาวบ้านธรรมดานับว่ายิ่งใหญ่กว่ามาก
เทพหยินแซ่จ้าวก็ยิ่งยืนเอามือกุมกัน สีหน้าท่าทางเคารพนอบน้อม มันไม่ได้จุดธูปกราบไหว้ แต่คุกเข่ากราบคำนับอย่างจริงจัง
เผยเฉียนนั่งอยู่ใต้ชายคามองดูอย่างเพลิดเพลิน เฉินผิงอันมองครั้งเดียวก็ไม่ได้สนใจอีก อันที่จริงนี่เกี่ยวพันกับความลับของเจิ้งต้าเฟิงและเทพหยิน เพียงแต่ตัวเจิ้งต้าเฟิงเองไม่คิดจะปิดบัง เฉินผิงอันจึงแค่ทำเป็นว่ามองไม่เห็น
ไปที่โต๊ะคิดเงินเพื่อทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ควบรวมกับคนคิดบัญชีชั่วคราว เฉินผิงอันเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่นานก็จะสามารถไปหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำบนทะเลเมฆอย่างเป็นทางการได้อีกครั้ง
ส่วนข้อที่ว่าฝูฉีจะเอาอาวุธกึ่งเซียนชิ้นไหนมมามอบให้ ก็แค่ต้องคอยดูกันต่อไป
จะว่าไปแล้วครั้งนี้เป็นตู้เม่าและสำนักใบถงที่ทำให้ฮ่องเต้ต้าหลีต้องเดือดร้อนไปด้วย ฝ่ายหลังมีปณิธานอยู่ที่การขึ้นเหนือของขั้วอิทธิพลต่างๆ ในนครมังกรเฒ่า สำหรับเฉินผิงอันและเจิ้งต้าเฟิง เขาไม่มีทางไปเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนอยู่แล้ว
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าราชวงศ์ต้าหลีดูแคลนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งเกินไป แหกกฎออกจากภูเขาจำเป็นต้องจ่ายต้นทุน รวมไปถึงค่าตอบแทนที่ต้องการจะได้ ดังนั้นต่อให้ฮ่องเต้ต้าหลีจะมอบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองให้มากแค่ไหน เฉินผิงอันที่รับไว้ก็มีแต่จะรังเกียจว่าน้อย ไม่มีทางรังเกียจว่ามาก
เงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้เมื่อแรกเริ่มสุดล้วนถูกชุดคลุมอาคมจินหลี่ ‘กินลงท้อง’ ไปหมดแล้ว ด้านใน ‘ไข่มุก’ ที่มังกรทองบนชุดคลุมอาคมคาบเอาไว้ซึ่งไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร ยิ่งมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นมากขึ้นทุกที ไม่เพียงแต่ถูกซ่อมแซมจนเหมือนใหม่ อีกทั้งระดับขั้นของชุดคลุมตัวนี้ยังเพิ่มสูงขึ้น ตามคำบอกของเทพหยินแซ่จ้าว ขอแค่กินเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปตลอด ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้จะต้องกลายเป็นชุดคลุมอาคมกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้แน่นอน
แต่เฉินผิงอันกลับไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ด้านหนึ่งก็เพราะเสียดายเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ได้มาไม่ง่าย อีกด้านหนึ่งเพราะเจิ้งต้าเฟิงเคยบอกเอาไว้ หากเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์หลอมจิตสามขอบเขตอย่างร่างทอง เดินทางไกล และยอดเขาเมื่อไหร่ วัตถุนอกกายของตระกูลเซียนบนภูเขาก็จะยิ่งกลายมาเป็นเหมือนซี่โครงไก่ หรืออาจถึงขั้นกลายเป็นตัวภาระ
—–