ถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงแค่เฉินผิงอัน เผยเฉียนและเหยาเซียนจือสามคนเท่านั้นที่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขาจ้าวผิง
เผยเฉียนเบิกตากว้าง ฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง เพ่งมองดวงอาทิตย์กลมโตที่ลอยพ้นมาจากทะเลทิศตะวันออก รู้สึกเหมือนเห็นขนมเปี๊ยะสีทองชิ้นหนึ่ง อยากจะเก็บเข้ามาไว้ในกระเป๋าตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด
หลังจากตกตะลึงกับความงามและทอดถอนใจอยู่ในชั่วครู่สั้นๆ แล้ว เหยาเซียนจือก็ไม่ได้มองอะไรมากอีก ถึงอย่างไรเขาก็เคยเห็นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ภาพที่ดวงจันทร์ส่องแสงไปตามแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลบ่าและท้องฟ้ามากหมู่ดาวที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของชายแดนบ้านเกิดก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าที่นี่เลย ทว่าเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เหตุใดเผยเฉียนถึงจ้องดวงอาทิตย์ได้นานขนาดนั้น ไม่ปวดตาบ้างเลยหรือ? เฉินผิงอันกระโดดเบาๆ ขึ้นไปนั่งบนรั้วกั้นริมหน้าผา เหยาเซียนจือคิดอยากจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อคืนนี้มีทั้งปู่และพี่สาวอย่างเหยาจิ้นจืออยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าก่อเรื่อง ภายหลังก็มีเฉินผิงอันที่เขาให้ความเคารพเลื่อมใสที่สุดนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน เขาจึงยังไม่กล้าอยู่ดี คราวนี้เฉินผิงอันนำขึ้นมาก่อน เหยาเซียนจือจึงรีบทำตามทันที นั่งมองทะเลตะวันออกอยู่เป็นเพื่อนเฉินผิงอัน ราวกับว่าสภาพจิตใจปลอดโปร่งขึ้น จึงเปี่ยมไปด้วยความหวังและจินตนาการต่อชีวิตในเมืองเซิ่นจิ่งหลังจากนี้
ตอนที่ลงมาจากภูเขา ใบหน้าของแม่ทัพผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง บ่นเฉินผิงอันว่าไม่มีคุณธรรม ก่อนที่ตะวันจะขึ้นไม่ยอมเรียกเขาสักคำ ปล่อยให้เขาพลาดภาพเหตุการณ์ธรรมชาติอันงดงามนั้นไป ที่อุตส่าห์เดินขึ้นเขามาตั้งไกลล้วนเสียเที่ยวเปล่า เฉินผิงอันไม่สนใจเหยาเจิ้นที่แก่แล้วแต่ทำตัวเหมือนเด็ก เหยาจิ้นจือพูดประโยคเดียวว่า “ท่านปู่ เมื่อคืนวานอนุญาตให้ท่านดื่มเหล้าเป็นกรณีพิเศษ ท่านยังไม่พอใจอีกหรือ?” แม่ทัพผู้เฒ่าจึงหยุดบ่นทันที
ไม่ว่าจะเป็นเหยาเจิ้นหรือเหยาเซียนจือ ปู่หลานสองคนที่สนิทกับเฉินผิงอันมากที่สุดต่างก็รู้ดีว่าอีกไม่นานต้องจากลากับเขาแล้ว
การจากลากำลังจะมาถึง ความเศร้าย่อมกัดกินใจ
เพียงแต่ว่าหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มต่างก็เป็นแม่ทัพและขุนพลที่กินลมดื่มทรายบนสมรภูมิรบมาจนเคยชินแล้ว แม้จะเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ทำใจปล่อยวางได้ วันหน้ายังมีโอกาสได้ดื่มเหล้าร่วมกันใหม่ แสร้งตีหน้าเซ่อเลียนแบบเจ้าเด็กนั่นก็ดีเหมือนกัน เพราะจะทำให้กลายเป็นเรื่องน่าขำแทน
ในที่สุดก็มาถึงท่าเรือเถาเย่นอกเมืองเซิ่นจิ่ง ตระกูลเหยาหยุดรถม้าลง
เฉินผิงอันสะพายหีบหนังสือไม้ไผ่เขียว
เหยาหลิ่งจือเด็กสาวสะพายดาบกุมหมัดเอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันอย่างเปิดเผยก่อนใคร “คุณชายเฉิน ข้าขอให้การเดินทางขึ้นเหนือของเจ้าราบรื่นปลอดภัย! และยิ่งขอให้โชคชะตาบู๊ของเจ้าโชติช่วงรุ่งเรือง!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยเตือนว่า “การฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์จะใจร้อนไม่ได้ ยิ่งพรสวรรค์ดีเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ควรเอาแต่จับจ้องอยู่กับคำว่าฝ่าทะลุขอบเขตมากเท่านั้น วิชาหมัดนั้นพิถีพิถันในเรื่องปล่อยหมัดเก็บหมัดได้ดังใจปรารถนา คิดจะให้ร่างเบาหมัดหนักก็ต้องปูพื้นฐานให้ดี หยดน้ำทะลุหิน ก้อนหินเป็นดั่งศัตรูตัวฉกาจ หยดน้ำนี้ก็คือสัจธรรมแห่งการเรียนวิถีวรยุทธ์ของเจ้า แม่นางหลิ่งจือ ขอแค่ทำใจให้นิ่ง เจ้าย่อมต้องสามารถฝึกฝนจนประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน”
เหยาหลิ่งจือแค่นเสียงหึ แต่ในดวงตากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “อายุก็ไม่ได้มากกว่าข้าสักเท่าไหร่ แต่กลับทำตัวเหมือนคนแก่!”
แล้วเด็กสาวก็สะบัดหน้าเดินจากไป
เหยาเจิ้นไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอ่ยสองคำว่า “รักษาตัวด้วย” กระบอกใส่พู่กันไม้ไผ่เขียวที่แกะสลักบทความของอริยะปราชญ์อันนั้นได้ถูกผู้เฒ่าเก็บไปอย่างระมัดระวังแล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บมันไว้เหมือนสมบัติสืบทอดชิ้นหนึ่งของตระกูล
เมื่อคืนวานเหยาเซียนจือก็ทำหน้าด้านขอภาพวาดตัวอักษรแผ่นหนึ่งมาจากเฉินผิงอัน เก็บไว้บูชาประหนึ่งสมบัติอันดับหนึ่งของโลก วันนี้เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่บอกว่า หวังว่าวันหน้าเฉินผิงอันจะมาเยือนเมืองเซิ่นจิ่ง
เหยาจิ้นจือที่สวมผ้าคลุมหน้ากลับพูดในสิ่งที่อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของทุกคน นางบอกว่าจะเดินไปบนท่าเรือเถาเย่กับเฉินผิงอันเพียงลำพังระยะหนึ่ง
เหยาเซียนจือผิวปากหวือ เลยโดนเหยาหลิ่งจือถองศอกใส่เอว ทำเอาเด็กหนุ่มเจ็บจนเหงื่อแตกพลั่ก
เหยาจิ้นจือตาดี เห็นว่าป้ายหยกตรงเอวของเฉินผิงอันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ เพราะพลิกหันอีกด้านหนึ่งขึ้น
ตอนที่ออกมาจากเมืองฉีเห้อ ก่อนจะมาถึงท่าเรือเถาเย่ เฉินผิงอันหันแค่ด้านที่บอกว่า ‘สืบทอดควันธูปศาลบรรพจารย์’ ให้คนอื่นเห็น
แต่วันนี้กลับหันด้านที่มีตัวอักษรโบราณหกคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’
เหยาจิ้นจือใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองคนหนุ่มที่เดินทางจากแคว้นเป่ยจิ้นของทางเหนือมายังเมืองหลวงต้าเฉวียนผู้นี้ด้วยสายตาลึกล้ำ
นางพูดถ้อยคำตามมารยาท เนื้อหานั้นไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพียงแต่กลับทำให้คนรู้สึกว่านางมีความจริงใจ อ่อนโยนนุ่มนวล น่าประทับใจมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันคล้ายจะรับน้ำใจ แต่ก็คล้ายว่าจะไม่ รสชาติที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้นคงมีเพียงคนสองคนที่ต่างก็รู้กันดีแก่ใจเท่านั้น
สุดท้ายเหยาจิ้นจือพูดคุยเรื่องความเป็นมาของคำว่า ‘จือ’ ในชื่อของคนสกุลเหยารุ่นนี้เหมือนพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ที่แท้เป็นเพราะในอดีตมีหมอดูคนหนึ่งเดินทางผ่านมา โชคไม่ดีมาเจอเข้ากับเหตุการณ์ความวุ่นวายครั้งหนึ่ง ถูกเหยาเจิ้นท่านปู่ช่วยไว้ หมอดูจึงช่วยทำนายให้ตระกูลเหยา เรื่องหนึ่งในนั้นคือบอกว่าในบรรดารุ่นของบรรพบุรุษสกุลเหยาได้มีบุคคลที่สุดยอดมากคนหนึ่ง อักษรตัว ‘จือ’ คืออักษรแห่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้น อีกทั้งยังสอดคล้องกับรุ่นของหลานเหยาเจิ้นพอดี ขอแค่ทุกคนใช้อักษรตัวจือก็จะสามารถรับบุญบารมีมาจากบรรพบุรุษได้ สามารถช่วยสร้างฮวงจุ้ยที่ดี ไม่แน่ว่าเด็กรุ่นหลังคนใดที่อาศัยการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษอาจจะได้ดิบได้ดีอย่างที่ใครก็มิอาจจินตนาการถึง เหยาเจิ้นเองก็ไม่คิดอะไรมาก เห็นว่าเป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่งจึงเอาอักษรตัว ‘จือ’ ใส่เข้าไปในชื่อของเด็กๆ อย่างพวกเหยาจิ้นจือ สกุลเหยารุ่นนี้ คนยี่สิบกว่าคนล้วนมีตัวอักษรนี้อยู่ในชื่อทั้งสิ้น หลานสายอื่นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพราะเหยาเจิ้นไม่ใช่คนลำเอียง
ซึ่งในบรรดาหลานทั้งหลายก็เป็นสามเหยาที่อยู่ข้างกายเหยาเจิ้นนี้ที่โดดเด่นที่สุด
พอเฉินผิงอันฟังจบก็พลันกระจ่างแจ้ง
สุดท้ายเหยาจิ้นจือยอบตัวคำนับเฉินผิงอันอย่างแช่มช้อย
เฉินผิงอันกำหมัดคารวะกลับคืน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “แม่นางจิ้นจือ อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งนอกจากจะช่วยแม่ทัพผู้เฒ่าวางแผนป้องกันคนถ่อยของฝ่ายต่างๆ แล้ว เจ้าต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย พูดประโยคหนึ่งที่เป็นการล่วงเกิน วันหน้าหากเจอกับอุปสรรคที่ตัวแม่นางคิดว่าข้ามผ่านไปไม่ได้ ไม่สู้ลองถามแม่ทัพผู้เฒ่าดู ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ ไม่ต้องเก็บไว้ในใจตัวเอง ไม่ต้องทนรับกับความยากลำบากด้วยตัวเองทุกเรื่อง”
เหยาจิ้นจือถอดหมวกคลุมหน้าออกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นางคลี่ยิ้มหวาน แต่กลับไม่พูดอะไร เอาแต่มองเฉินผิงอันอย่างเดียว
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะและบอกลาอีกครั้ง
เหยาจิ้นจือที่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่กลับกำหมัดเลียนแบบคนในยุทธภพ ดวงตาฉ่ำประกายน้ำทั้งคู่ของนางเต็มไปด้วยประกายสดใส นางเอ่ยเสียงดังว่า “ภูเขาเขียวไม่แปรเปลี่ยน แม่น้ำมรกตไหลยาว!”
เฉินผิงอันจึงได้แต่พูดตามไปว่า “ไว้พบกันใหม่วันหน้า”
เหยาจิ้นจือไม่ต้องดื่มสุรารสเลิศ สองแก้มก็แดงปลั่งดั่งลูกท้อแล้ว
ห่างไปไกล จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “บุญคุณสาวงามยากจะทนรับ ประกายน้ำในดวงตารั้งใจคน”
สุยโย่วเปียนที่ยืนสะพายกระบี่อยู่ด้านข้างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เฉินผิงอันเดินกลับมาหาพวกเขา เผยเฉียนสะพายห่อสัมภาระไว้เอียงๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า การเดินทางหลังจากนี้ไม่มีรถม้าให้นั่งอีกแล้ว แต่นางกลับกระตือรือร้นพร้อมออกเดินทาง แค่เดินจะต้องกลัวอะไร ไม่อย่างนั้นรอยด้านที่ขึ้นบนฝ่าเท้าจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ?
เฉินผิงอันโบกมือบอกลาขบวนเดินทางตระกูลเหยา
ก้นของม้าตัวที่เหยาเซียนจือขี่อยู่กระดกขึ้นสูง เขาโบกมือให้เฉินผิงอันอย่างแรง
คนกลุ่มของเฉินผิงอันเดินทางขึ้นเหนือกันต่อ เขาทอดถอนใจด้วยความเสียดายเบาๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีหิมะใหญ่ตกลงมา ไม่อย่างนั้นจะได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขาจ้าวผิงอีกครั้ง ดูสิว่าเมืองเซิ่นจิ่งจะเป็นดินแดนเซียนบนโลกมนุษย์อย่างที่เล่าลือหรือไม่”
เผยเฉียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นพวกเรารอให้หิมะตกก่อนค่อยไปดีไหม?”
สองวันมานี้นางเอาแต่พันแข้งพันขาอยู่ข้างกายเหยาจิ้นจือทั้งวัน ปากก็เรียกพี่หญิงเทพเซียนไม่หยุด พยายามประจบเอาใจสตรีที่ในใจนางคิดว่า ‘หน้าตางดงามแต่ไม่กล้าพบเจอผู้คน’ แล้วหลังจากนั้นเหยาจิ้นจือก็มอบของขวัญก่อนจากลาให้นางชิ้นหนึ่งจริงๆ มันบรรจุไว้ในกล่องไม้ขนาดเล็กกะทัดรัด ด้านในมีเงินยาเซิ่งรูปแบบของราชวงศ์ก่อนที่เหยาจิ้นจือเก็บสะสมมาด้วยความยากลำบากสองสามเหรียญ และยังมีหลินจือขนาดเล็กที่แกะสลักจากไม้ลักษณะโบราณชิ้นหนึ่ง บวกกับของอื่นๆ อีกสิบกว่าชิ้น ตอนแรกเผยเฉียนคิดจะหลอกเอาเงินมาจากนางหลายๆ ตำลึง เฉินผิงอันไม่มีทางห้าม และนางเองถือไว้ก็ไม่หนัก ผลกลับกลายเป็นว่าเหยาจิ้นจือมอบปัญหาใหญ่ที่ยุ่งยากนี้ให้กับนาง เผยเฉียนเลยไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ สุดท้ายเป็นเหยาจิ้นจือที่จูงมือเผยเฉียนมามอบกล่องเก็บสมบัติให้กับเฉินผิงอัน อธิบายว่าด้านในมีสิ่งของที่แปลกและประณีต แต่กลับไม่มีค่า หวังว่าเฉินผิงอันจะไม่ปฏิเสธ เดิมทีเฉินผิงอันจะไม่รับไว้ หรือไม่ก็จะเลือกเอามาแค่ชิ้นเดียว แต่ว่าเหยาจิ้นจือยืนกรานหนักแน่น เฉินผิงอันจึงได้แต่ช่วยรับไว้แทนเผยเฉียน ใส่เก็บไว้ในหีบไม้ไผ่ สำหรับเรื่องนี้เผยเฉียนไม่แสดงท่าทีไม่สบอารมณ์เลยสักนิด กลับกันยังมองว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน กล่องไม้ใหญ่ขนาดนี้หนักจะตายไป ใส่ไว้ในห่อสัมภาระแล้วให้นางเดินแบกไปที่ยอดเขาเทียนเชวียอะไรนั่น จะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ?
คราวนี้ด้านหนึ่งนางยุให้เฉินผิงอันไปรอคอยหิมะใหญ่ในเมืองเซิ่นจิ่ง ด้านหนึ่งก็คิดในใจอย่างอารมณ์ดีว่าจะได้มีการจากลาเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะได้เงินขาวทองอร่ามที่นางอยากได้มากที่สุดมาก็เป็นได้!
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อในเมืองเซิ่นจิ่ง?”
เผยเฉียนกระดกห่อสัมภาระที่สะพายอยู่ด้านหลังให้เข้าที่ กำไม้เท้าเดินป่าแน่น กลับคำใหม่อย่างว่องไวเหมือนหญ้าบนกำแพง (ตรงกับสำนวนไทยว่า นกสองหัว เพราะหญ้ายอดกำแพงมันล้มเอนลงมาได้ทั้งสองฝั่ง) ด้วยการพูดอย่างเด็ดเดี่ยวผึ่งผาย “อยู่ดีๆ ข้าก็รู้สึกว่าควรต้องรีบเดินทางถึงจะถูก!”
เฉินผิงอันพูดกับคนทั้งสี่ว่า “ไม่ได้ขอม้าศึกมาจากตระกูลเหยา พวกเราก็ได้แต่เดินเท้าไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาเทียนเชวียแล้วล่ะ”
จูเหลี่ยนคลี่ยิ้มทันใด “เดินมากๆ ช่วยให้ยืดเส้นยืดสายได้”
……
ในท่าเรือเถาเย่มีเรืออูเผิง (เรือไม้ขนาดเล็กที่ตรงกลางมีหลังคาครึ่งวงกลม ทอจากไม้ไผ่ ทาด้วยสีดำ) ลำเล็กอยู่ลำหนึ่งลอยห่างจากขบวนเดินทางตระกูลเหยามาไกลมาก ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่งค่อยๆ หุบฝ่ามือข้างหนึ่งที่ขาวนวลราวกับหยกกลับมา แล้วหันไปพูดกับผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างกาย “นำความไปบอกเซินกั๋วกงเสียหน่อยว่า เลิกคิดหาเรื่องเฉินผิงอันได้แล้ว คนผู้นี้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพชนแห่งภูเขาไท่ผิง หากฆ่าคนผู้นี้ อย่าว่าแต่ราชวงศ์ต้าเฉวียนจะเจอกับหายนะเลย อารามจินติ่งของพวกเราก็จะเจอกับภัยพิบัติล้างสำนักไปด้วย”
ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวจากไป
ยังเหลือผู้ฝึกตนสาวอีกคนหนึ่งที่คอยต้มชาให้กับบุรพาจารย์ ถึงอย่างไรก็เป็นหญิงสาวจากตระกูลเซียนที่ฝึกตนมาตั้งแต่เด็ก ผิวพรรณของนางจึงขาวนวลยิ่งกว่าหิมะ
เซียนดินก่อกำเนิดท่านนี้นั่งเฉยอย่างนิ่งสงบ เอ่ยด้วยสีหน้าที่เฉยชาว่า “ทุกอย่างที่ทำมาล้วนสูญเปล่า”
เนื่องจากจำนวนมีน้อยนิด เดิมทีป้ายหยกศาลบรรพชนของภูเขาไท่ผิงที่ห้อยอยู่ตรงเอวเฉินผิงอันนั้นก็ถูกกล่าวขานถึงเป็นวงกว้างในกลุ่มของตระกูลเซียนบนภูเขาใหญ่อยู่แล้ว
และเซียนดินทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด ส่วนใหญ่ล้วนต้องรู้เรื่องวงในอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรนักพรตหญิงหวงถิงผู้นั้นก็เคยทำให้สำนักต่างๆ เผชิญกับความยากลำบากกันมาไม่น้อย เพียงแต่ว่าตลอดหกสิบปีมานี้ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่รู้ว่านางกำลังปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตหรือว่าถูกบุรพาจารย์ของภูเขาไท่ผิงกักตัวไว้กันแน่
หากไปหาเรื่องภูเขาไท่ผิงในเวลานี้ย่อมถือว่าเสียสติยิ่งกว่าไปท้าทายสำนักใบถงและสำนักกุยหยกในเวลาปกติเสียอีก
ต่อให้เป็นตู้หันหลิงก็ยังไม่กล้าเหมือนกัน
อีกอย่างเดิมทีเขาก็แค่ทำการค้าเล็กๆ ประหนึ่งการปักลายบุปผาลงบนผ้าแพรกับเสินกั๋วกงและผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเกาซื่อเจินก็เท่านั้น หากฆ่าเฉินผิงอันได้ย่อมดีที่สุด ไม่ฆ่าเฉินผิงอันก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ส่งผลกระทบกับแผนการใหญ่ของอารามจินติ่งพวกเขาอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าทำเช่นนี้เกาซื่อเจินอาจจะเต้นผางด่ากราดลามไปถึงมารดาเขา
แต่นั่นจะสำคัญกับอารามจินติ่งและเขาตู้หันหลิงได้อย่างไร?
เรื่องเล็กๆ บนโลกมนุษย์ ฮ่องเต้หรืออัครเสนาบดีจะใหญ่ได้สักแค่ไหนกันเชียว
เซียนดินก่อกำเนิดท่านนี้ครุ่นคิด เวลานี้สถานการณ์โดยรวมวุ่นวายโกลาหล หมากบางเม็ดของอารามจินติ่งถูกวางรากฐานไว้ตามที่ต่างๆ แล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็ควรลองเดินไปให้สูงอีกก้าว ไม่อย่างนั้นขอบเขตที่มีอยู่ตอนนี้ย่อมไม่มากพอ
ส่วนข้อที่ว่าเกาซื่อเจินจะตามไปไล่ฆ่าคนหนุ่มผู้นั้นอย่างเสียสติหรือไม่ นี่ไม่เกี่ยวข้องกับอารามจินติ่งนานแล้ว
“ท่านบุรพาจารย์ จะให้ข้าแอบไปเตือนเฉินผิงอันสักคำหรือไม่?”
นักพรตหญิงเอ่ยถามเสียงเบา เพียงแต่ไม่นานนางก็ปฏิเสธความคิดนี้ของตัวเอง “วาดงูเติมหาง ทุกเรื่องย่อมมีขอบเขต หากเลยเถิดไปจะไม่ดี”
ตู้หันหลิงส่ายหน้ายิ้ม “ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม อีกอย่างคนที่จะทำหน้าที่เป็นคนดีนี้ก็ควรจะเป็นเส้ายวนหราน มิใช่เจ้า”
ในดวงตาของผู้ฝึกตนหญิงแต้มยิ้ม “ท่านบุรพาจารย์ช่างปราดเปรื่อง”
ตู้หันหลิงยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
……
ไม่ต้องให้เฉินผิงอันขอ เหยาเจิ้นก็เอาแผนที่ขอบเขตทางทิศเหนือของต้าเฉวียนหนึ่งฉบับมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังมีแผนที่ของมณฑลและเขตการปกครองที่ละเอียดยิ่งกว่า ทำให้เฉินผิงอันรู้เส้นทางคร่าวๆ ในการเดินทางไปยังยอดเขาเทียนเชวียนานแล้ว
คนทั้งกลุ่มเดินออกจากถนนทางหลวงเข้าไปในถนนดินเหลืองเส้นหนึ่ง
บนหน้าผากของเผยเฉียนแปะยันต์สีเหลืองหนึ่งแผ่น ในมือถือไม้เท้าเดินป่า เดินเร็วราวกับสายลม
เผยเฉียนอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงชวนคุย “เหล่าเว่ย หลังจากเจ้ากินอิ่มแล้วต้องผายลมเหม็นๆ ออกมาบ้างไหม?”
เว่ยเซี่ยนไม่สนใจนาง
เผยเฉียนจึงไปก่อกวนคนอื่นแทน “เสี่ยวป๋าย ทำไมถึงไม่เคยเห็นเจ้าอึเลยล่ะ? อั้นไว้ในท้องแบบนี้ไม่ดีเลยนะ”
หลูป๋ายเซี่ยงหลุดหัวเราะพรืด
เผยเฉียนวิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายสุยโย่วเปียนที่อยู่ด้านหลังสุด นางเงยศีรษะขึ้น พูดด้วยสีหน้าประจบประแจง “พี่หญิงสุย เจ้าบินได้หรือเปล่า? ข้าได้ยินนักเล่านิทานใต้สะพานลอยเล่าบ่อยๆ ว่าพวกเทพเซียนไม่เพียงแต่บินบนหลังคา เดินไต่กำแพงได้ ยังสามารถสาดถั่วเหลืองออกไปให้กลายเป็นทหาร ทะยานลมขี่เมฆ ตาแก่นั่นจะหลอกดื่มเหล้าจากคนอื่น ข้าไม่เชื่อหรอก แต่ข้าเชื่อพี่หญิงสุย ข้าเคยเห็นคนเหยียบบนกระบี่บินมาแล้ว พี่หญิงสุยเจ้าหน้าตางดงามปานนี้ก็น่าจะทำเป็นเหมือนกันกระมัง? หากข้าโตแล้ว แล้วสวยได้สักครึ่งหนึ่งของพี่หญิงสุย ข้าคงดีใจตายเลย”
สุยโย่วเปียนหัวเราะหึหึใส่เจ้าตัวขี้ประจบน้อย
สุดท้ายเผยเฉียนไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน พูดปลงอนิจจังอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก “เมื่อก่อนตอนข้าอยู่บ้านเกิดมักจะรู้สึกว่าหากกินดินแล้วอิ่มท้องได้ อีกทั้งกินแล้วยังไม่ตายก็คงเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าอ่านเจอจากในตำราบอกว่าทิศเหนือของใบถงทวีปมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ดินกวนอิมของที่นั่นสามารถกินแทนข้าวได้จริงๆ”
เผยเฉียนทำสีหน้าตื่นตะลึง “เอาดินมากินแทนข้าวได้จริงๆ?! ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรสะพายตะกร้าไปขุดมาหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ทางผ่าน”
—–