หลังจากเทียนจวินผู้เฒ่าและจงขุยจากไป หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบสุข
เผยเฉียนที่ต่อสู้กับเปลือกตาตัวเองไม่ไหวถูกเฉินผิงอันอุ้มขึ้นไปตรงบานหน้าต่างแล้วให้นางกลับไปนอนเอง
เฉินผิงอันอยู่ในลานบ้านเพียงลำพัง ไม่ได้ฝึกเดินนิ่งและไม่ได้ฝึกวิชากระบี่ แต่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหินใคร่ครวญถึงแผนการหลังจากนี้
บางครั้งก็เงยหน้ามองม่านฟ้าอย่างเหม่อลอย ก่อนหน้านี้จงขุยเคยเล่าให้ฟังว่า ในบรรดาอริยะที่มีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ นอกจากพวกที่ต้องไปบุกเบิกที่ดินตามหาพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์แห่งใหม่แล้ว อริยะคนอื่นส่วนใหญ่แล้วจะเฝ้าบัญชาการณ์อยู่ตามทวีปใหญ่ในใต้หล้าไพศาล อยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบหรือมหาสมุทร หลุบตาลงมองมายังโลกมนุษย์ ในสายตาของพวกเขา ผู้ฝึกตนใหญ่บนโลกมนุษย์ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็เหมือนคนธรรมดาที่เห็นหิ่งห้อยลอยไปลอยมาในยามค่ำคืนของฤดูร้อน ความเจิดจ้าหรืออ่อนด้อยของแสงก็อยู่ที่ว่าขอบเขตของเหล่าเทพเซียนพสุธาสูงหรือต่ำ ดังนั้นศึกที่ภูเขาไท่ผิง การเปิดฉากสังหารอย่างเต็มกำลังกับวานรขาว เมื่อไม่มีการอำพรางภาพเหตุการณ์เอาไว้ ในสายตาของอริยะที่อยู่เหนือใบถงทวีปก็คล้ายกลุ่มแสงสองกลุ่มที่ระเบิดแตก เป็นเหตุให้ดึงดูดอริยะลงมา เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีวิชาอภินิหารสูงส่งสร้างความวุ่นวายอย่างไร้สาเหตุ หรือไม่ก็ใช้เวทคาถาชำระความแค้นส่วนตัว หากพวกเขาต่อสู้กันอย่างไร้ความพะวงจนภูเขาและแม่น้ำปริแตกพังทลาย อาณาประชาราษฎร์ก็จะเผชิญกับความยากลำบาก
เวลาที่มากกว่านั้น เฉินผิงอันจะหลับตาทำสมาธิ ในใจท่องคาถาตระกูลเซียนที่บันทึกอยู่บนแผ่นหยกของจวนปี้โหยว
อ่านตำราหนึ่งร้อยรอบย่อมเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หมื่นคาถาอาคมบนโลกล้วนหนีไม่พ้นต้นกำเนิดดั้งเดิม
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ได้ยินเสียงฝีเท้าของแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นดังมาจากนอกเรือน ก่อนหยุดตรงหน้าประตูคล้ายลังเลว่าควรจะเคาะประตูดีหรือไม่
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูเรือน เหยาเจิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ สามารถฟังฝีเท้าแล้วแยกแยะได้”
เฉินผิงอันถาม “ไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ที่สวนดอกไม้ของจุดพักม้ากันดีหรือไม่?”
เหยาเจิ้นเดินเคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอัน เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ที่เมื่อวานตอนกลางวันไม่ได้ไปเที่ยวชมสถานที่ที่เซียนบรรพกาลขี่กระเรียนบินทะยานก็เพราะข้าได้รับข่าวว่าทูตลับของเมืองเซิ่นจิ่งจะมาถึงจุดพักม้า ข้าจึงได้แต่รอ รอจนกระทั่งยามสองตอนกลางคืน แขกผู้ทรงเกียรติท่านนั้นถึงจะมา เจ้าเดาดูสิว่าเป็นใคร?”
ในเมื่อถามเขาเฉินผิงอันก็ย่อมไม่ใช่บุคคลในเมืองเซิ่นจิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนแน่ ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัวของเฉินผิงอัน เอ่ยตอบว่า “เซินกั๋วกง เกาซื่อเจิน”
เหยาเจิ้นยกนิ้วโป้งให้พลางพยักหน้ารับ “คือท่านกั๋วกงผู้นั้นนั่นแหละ”
ผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือน
ในเมื่อสามารถทำให้เซินกั๋วกงรับหน้าที่เป็นทูตลับได้ อีกทั้งยังนำพระราชโองการของฮ่องเต้มาบอกที่เมืองฉีเฮ้อ ก่อนที่ขบวนเดินทางตระกูลเหยาจะเข้าไปในเมืองเซิ่นจิ่ง นี่ก็หมายความว่าในใจของฮ่องเต้ น้ำหนักของเซินกั๋วกงเหนือกว่าเหยาเจิ้นว่าที่เจ้ากรมกลาโหมมากนัก ส่วนเรื่องที่ว่าก่อนหน้าเซินกั๋วกงจะออกจากเมืองหลวง ฮ่องเต้สกุลหลิวได้กระซิบกระซาบสั่งสอนก่อกวนให้ความคิดของเขายุ่งเหยิงหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยพบฮ่องเต้สกุลหลิวมาก่อนจึงไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นการที่เซินกั๋วกงมาเยือนจุดพักม้าเมืองฉีเฮ้ออย่างลับๆ สำหรับท่านแม่ทัพผู้เฒ่าแล้วย่อมไม่ต่างอะไรจากการมาอวดอ้างอำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า
การอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนั้นไม่ง่าย
ต่อให้จะเป็นเจ้าเหยาเจิ้นก็เหมือนกัน เจ้าก็ยังคงเป็นคนนอกที่อยู่ริมชายแดนคนหนึ่งเท่านั้น
การ ‘เดินทางไกล’ ข้ามผ่านกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนั้น เฉินผิงอันที่พิศมรรคาร่วมกับนักพรตผู้เฒ่าตงไห่ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย บางทีจนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้ว เด็กบ้านนอกแห่งตรอกหนีผิงถึงจะสลัดดินโคลนก้อนสุดท้ายให้หลุดออกจากกางเกงได้อย่างแท้จริง
เหยาเจิ้นเอ่ยเนิบช้า “กั๋วกงและจวิ้นอ๋องต่างแซ่ของราชวงศ์ต้าเฉวียนมีทั้งหมดสิบคน เผชิญเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างที่สกุลหลิวก่อตั้งแคว้นมาสองร้อยปี ตอนนี้ก็เหลือแค่จวนของเซินกั๋วกงอยู่เพียงหน่อเดียวแล้ว ชื่อเสียงของอดีตเซินกั๋วกงดีเยี่ยม เป็นคนมีคุณธรรม มีสองครั้งที่เขายอมเสี่ยงถูกปลดป้ายกั๋วกงออกจากจวนเพื่อปกป้องขุนนางน้ำดีครั้งหนึ่งและแม่ทัพบู๊ชายแดนผู้หนึ่ง ดังนั้นคนในราชสำนักไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ก็ล้วนมีความสัมพันธ์ควันธูปอยู่กับจวนเซินกั๋วกง เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงคนปัจจุบันเป็นคนคมในฝัก ไม่ค่อยชอบแสดงฝีมือนัก แต่ตอนเป็นหนุ่มเคยไปมาหาสู่กับจวนขององค์รัชทายาทในยุคสมัยนั้น ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว กั๋วกงท่านนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย ดังนั้นเกาซู่อี้ถึงได้มีความสามารถให้ทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งได้…”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยแทรก “เกาซู่อี้ทำตัวโอหังอวดดี สร้างความเดือดดาลให้กับชนชั้นสูงหลายฝ่าย ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่ใช่ฝีมือการทำลายชื่อเสียงตัวเองของเซินกั๋วกง กั๋วกงทั้งสองรุ่นต่างก็อาศัยความสามารถของตัวเองครอบครองผลประโยชน์ที่ขุนนางในราชสำนักต่างก็ไม่กล้าคิดถึง หากเกาซู่อี้ไม่ทำอะไรซะบ้าง จุดจบของจวนกั๋วกง ไม่แน่ว่าอาจเป็นแบบเดียวกับที่ทหารชายแดนตระกูลเหยาต้องประสบพบเจอก่อนหน้านี้”
เหยาเจิ้นมีสีหน้าประหลาด ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอันอีกครั้ง “เหมือนกับที่เหยาจิ้นจือหลานสาวข้าพูดไว้เลย”
แต่ว่าจากนั้นเหยาเจิ้นก็ตบไหล่เฉินผิงอัน “แต่ว่าคำพูดเหล่านี้ จิ้นจือของพวกเราพูดไว้ตอนอายุสิบสี่ปี”
เฉินผิงอันรู้สึกขำอยู่ในใจ ท่านเป็นถึงแม่ทัพผู้เฒ่ามางัดข้อกับข้าเรื่องพวกนี้ไปเพื่ออะไร แต่ปากกลับเอ่ยคล้อยตาม “แม่นางจิ้นจือมีจริยาดุจบุปผาฮุ่ยหลัน (เปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่ที่มีนิสัยบริสุทธิ์ผุดผ่อง ลักษณะนิสัยชดช้อยสง่างาม) ไม่ว่าจะเรียนรู้สิ่งใดก็ล้วนชำนาญ ข้าย่อมเทียบนางไม่ติดอยู่แล้ว”
ใบหน้ายับย่นแก่ชราของเหยาเจิ้นดุจบุปผาผลิบาน พยับเมฆในใจหายไปสิ้น
ส่วนข้อที่ว่าเซินกั๋วกงเกาซื่อเจินมาถึงจุดพักม้าแล้วพูดอะไรบ้าง ในฐานะขุนนางสกุลหลิว เหยาเจิ้นย่อมไม่เอามาแพร่งพรายอยู่แล้ว
แต่หากเมืองเซิ่นจิ่งและท่านกั๋วกงคิดจะเล่นงานผู้มีพระคุณน้อยของตน เหยาเจิ้นก็ไม่ถือสาหากต้องตายอีกสักรอบ ถึงอย่างไรชีวิตแก่ๆ นี้ของตนก็มอบให้เฉินผิงอันแล้ว และนี่ยังถือว่าสกุลเหยาได้กำไรแล้วด้วย อีกอย่างกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาก็หลุดพ้นจากคลื่นมรสุมลูกนี้ไปแล้ว นี่คือข้อสรุปของหลานสาวเหยาจิ้นจือเมื่อได้พูดคุยกับเขาท่ามกลางแสงเทียนหลังจากส่งเกาซื่อเจินออกนอกเมืองไปแล้ว ก่อนที่เขาเหยาเจิ้นจะเข้าเมือง จะมีคนนับหมื่นมายืนตามตรอกซอกซอยเพื่อรอต้อนรับ ชื่อเสียงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาจะถูกผลักดันอยู่ในวงการขุนนางไปเป็นชั้นๆ จนกระทั่งชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทั้งราชสำนัก
สวนดอกไม้ของจุดพักม้ามีชื่อเสียงอย่างมาก ภายใต้การช่วยกันกระจายข่าวอย่างสุดกำลังของนักท่องเที่ยว นักประพันธ์และขุนนางที่ถูกเลื่อนขั้นหลายยุคหลายสมัย สถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น ‘ความงดงามแห่งบ่อภูเขา ความวิจิตรแห่งศาลาหอเก๋ง อ๋องทั้งหลายของเมืองหลวงล้วนมิกล้าอาจเอื้อม’
ใบไม้เขียวขจีเป็นพุ่มหนา สะพานเล็กสายน้ำไหลริน คนทั้งสองเดินไปบนสะพานไม้ทรงโค้ง ตอนนี้ความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อโครงสร้างของสะพานอาจไม่เป็นรองขุนนางของกรมโยธาคนใดแล้วก็ได้ เฉินผิงอันเดินอยู่บนสะพาน บางครั้งฝีเท้าก็แผ่วเบา บางครั้งก็หนักหน่วง เขายื่นมือออกไปเคาะราวระเบียงเบาๆ เหยาเจิ้นคิดแค่ว่านี่เป็นความชอบของเขาจึงไม่ได้เอ่ยถามเพื่อแสดงความสงสัยใคร่รู้
ขบวนเดินทางตระกูลเหยาออกเดินทางในวันมะรืน คืนนี้มีงานเลี้ยงที่ผู้ว่าฯ ของเมืองจัดให้ พรุ่งนี้ก็เป็นเจ้าเมืองที่เชื้อเชิญแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นไปเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงยังต้องอยู่เที่ยวในเมืองฉีเฮ้ออีกสองวัน
เฉินผิงอันปิดด่านฝึกตนอยู่ในเรือน
เรื่องการเลื่อนขั้นบนวิถีวรยุทธ์ ความเร็วในการไต่ทะยานเหนือกว่าที่คาดการณ์ก่อนออกมาจากภูเขาห้อยหัวมากนัก จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แล้วก็รีบร้อนไม่ได้ด้วย
แต่เรื่องการสร้างสะพานแห่งความอมตะขึ้นมาใหม่อีกครั้งกลับเป็นเรื่องเร่งด่วนจวนตัวเหมือนไฟไหม้ขนคิ้ว
การจินตนาการสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือในพื้นที่มงคลดอกบัว อีกครั้งหนึ่งคือริมฝั่งลำคลองหมายเหอ สะพานยาวสีทองแห่งนั้นปรากฏขึ้นเหนือลำคลองได้สำเร็จแล้ว และทุกครั้งที่ปรากฏล้วนมั่นคงขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะครั้งที่สองที่สามารถพาดผ่านลำคลองหมายเหอไปได้ เฉินผิงอันถึงขั้นมั่นใจว่าสามารถขึ้นไปเดินบนนั้นได้แล้ว
แต่พอคิดถึงว่าการสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ ยังต้องหล่อหลอมสมบัติอาคมห้าธาตุให้เป็นวัตถุพิทักษ์เรือนของ ‘เรือนกายซึ่งเป็นฟ้าดินขนาดเล็ก’ เฉินผิงอันก็ให้ปวดหัวขึ้นมาครามครัน มีคาถาบนแผ่นหยกที่เจ้าแม่เทพวารีมอบให้ก็เท่ากับว่าตอนนี้เฉินผิงอันจำเป็นต้องลงมือเตรียมการได้แล้ว หมายความว่าเฉินผิงอันต้องหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากถึงห้าชิ้น ไม่อย่างนั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะที่สร้างขึ้นมาก็ยังคงเป็นดั่งเส้นทางสายขาด เว้นเสียแต่ว่าจะละทิ้งตบะวิถีวรยุทธ์ของทั้งร่าง ไม่อย่างนั้นหากสะพานแห่งความเป็นอมตะถูกสร้างขึ้นมาได้สำเร็จ ปราณวิญญาณจะเป็นดั่งน้ำมหาสมุทรที่กรอกเทเข้ามา ผลลัพธ์ย่อมร้ายแรงเกินกว่าจะคาดถึง แต่หากช่องโพรงลมปราณในร่างมีสิ่งที่คล้ายคลึงกับทะเลสาบหรือจวนตระกูลเซียนอยู่ห้าแห่ง ก็จะสามารถกักเก็บปราณวิญญาณสะสมเอาไว้ ขณะเดียวกันก็จะไม่ส่งผลต่อการสำรวจตรวจตราไปรอบทิศของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้น มองโดยรวมแล้วทั้งสองฝ่ายจะสามารถเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
สภาพการณ์ที่ลี้ลับเกินจะหยั่งเช่นนั้นเหมือนเฉินผิงอันคนหนึ่งอาศัยสองหมัดเดินไปทั่วใต้หล้า ส่วนเฉินผิงอันอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ในภูเขาลึก ปิดประตูไม่รับแขก เพียงตั้งใจฝึกตนไปเงียบๆ
เวลาที่เฉินผิงอันเดินนิ่งก็พูดกับตัวเองในใจไปด้วย “ตราประทับตัวอักษรน้ำที่อาจารย์ฉีมอบให้ต้องเอามาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเชื่อมโยงเข้ากับชะตาชีวิต เหมือนอย่างตราประทับตัวอักษรภูเขาที่ถูกคนทำลาย ขอแค่ตัวคนไม่ตาย มันก็ยังคงสามารถผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในช่องโพรงลมปราณ ต่อให้จะไม่เหลือพลานุภาพอยู่อีก แต่อย่างน้อยก็ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ อยากเห็นตอนไหนก็ได้เห็นไปชั่วชีวิต อีกอย่างคาถาเซียนที่เจ้าแม่เทพวารีมอบให้ก็มีบทความที่พูดถึงการหล่อหลอมน้ำมากที่สุด”
“ส่วนแผ่นหยกโบราณที่ทั้งสามารถบำรุงความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและจิตวิญญาณนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวข้องกับน้ำของห้าธาตุ แต่ระดับขั้นของมันสูงหรือต่ำ ภูมิหลังเป็นอย่างไร ข้ากลับไม่รู้เลยสักอย่างเดียว คงต้องถามเว่ยป้อก่อนถึงจะได้”
“น่าเสียดายที่ชุดคลุมอาคมสีทองไม่อยู่ในห้าธาตุ ไม่อย่างนั้นระดับขั้นของมันก็เพียงพอ แล้วก็เหมาะให้เอามาหล่อหลอม ไม่จำเป็นต้องคอยสวมอยู่บนร่างตลอดเวลาจนทำให้เซียนดินก่อกำเนิดมองเห็นตื้นลึกได้ในปราดเดียว เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ”
“หัวใจบุ๋นสีทองดวงนั้นของเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อี ตอนที่ข้าพูดถึงความรู้เรื่องการเรียงลำดับในจวนปี้โหยวมีความรู้สึกเชื่อมโยงมาถึงใจข้า ดูเหมือนว่าสามารถเอามาหลอมเป็นธาตุทองของห้าธาตุได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีเรื่องการเรียนหนังสือก็ไม่ต่างจากการฝึกหมัดฝึกกระบี่ที่เป็นการฝึกฝนยาวนานชั่วชีวิตอยู่แล้ว”
“ดินของห้าธาตุ นักพรตเด็กที่ถูกนักพรตเฒ่าไหว้วานมาได้พูดถึงดินห้าสีของภูเขาและแม่น้ำในห้าขุนเขาของต้าหลี ตอนนี้กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีกรีฑาทัพลงใต้ ไฟสงครามลุกลามไปทั่ว หรือจะบอกว่าสกุลซ่งต้าหลีจะสามารถยึดครองแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งจริงๆ? หากเป็นเช่นนี้จริง ดินห้าสีของห้าขุนเขาราชวงศ์ต้าหลีก็คงจะมีค่ามาก ดูท่าแล้วเรื่องนี้คงต้องรอให้กลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนเสียก่อน แล้วก็ยังต้องรบกวนถามเว่ยป้อที่มีสถานะเป็นองค์เทพของขุนเขาเหนือต้าหลีอีกที”
เฉินผิงอันที่สวมชุดขาวออกหมัด ‘ลืมตน’ ได้ดุจเมฆคล้อยน้ำไหล คล่องแคล่วราบรื่นเป็นพิเศษ
ไม่ได้เหมือนตอนที่ยังเป็นลูกศิษย์เรียนขึ้นรูปของเตามังกรที่ทุกจุดล้วนมีกลิ่นอายของช่างปั้นผู้คร่ำครึ หากเทียบว่าตอนนั้นเขาคือคนเขียนตัวอักษรบรรจง ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นอักษรแบบตวัดที่เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองพลิ้วไหวแล้ว
แก่นสำคัญที่ทำให้เขาทำได้เช่นนี้ มีเพียงการทนทานต่อความยากลำบาก คว้าจับโชควาสนาเอาไว้ได้ก็เท่านั้น
……
คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดต่างก็มีงานอดิเรกแปลกๆ แตกต่างกันออกไป
ช่วงนี้เว่ยเซี่ยนจะชอบกินของขบเคี้ยว ตรงเอวซ้ายขวาจะต้องแขวนถุงเล็กๆ ไว้สองใบ ด้านในบรรจุเต็มไปด้วยอาหารที่ซื้อมาจากร้านต่างๆ
หลูป๋ายเซี่ยงชอบของทุกอย่างที่ประณีตงดงาม ตอนนี้ชอบกำหมากหลายเม็ดไว้ในมือ เวลาที่เดินเล่นจะชอบถูเม็ดหมากจึงมีเสียงกริกๆ เบาๆ ส่งมาจากฝ่ามือ
จูเหลี่ยนไม่ชอบถูกพันธนาการ ยกตัวอย่างเช่นเวลาสวมรองเท้าหุ้มแข้งยังต้องสวมถุงเท้า นี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมากสำหรับเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาไปหาซื้อรองเท้าฟางสานคู่หนึ่งมาจากที่ไหนในเมืองฉีเฮ้อ อีกทั้งยังเปลี่ยนมาสวมชุดผ้าป่านสีเหลืองอ่อนจาง นอกจากนี้ไม่ว่าจะหยุดพักที่เมืองใด จูเหลี่ยนจะต้องไปหาซื้อนิทานเรื่องเล่าพิสดารเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ หรือไม่ก็นิยายรักประโลมโลกมาสองสามเล่ม ทุกครั้งที่มีเวลาว่างก็จะเปิดหนังสืออ่านฆ่าเวลา
สุยโย่วเปียนนอกจากจะทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่ทุกวันแล้ว การที่นางไม่มีงานอดิเรกใดๆ เลย เดิมทีก็ถือเป็นงานอดิเรกแปลกๆ ที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
รอจนเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดเสร็จก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
วันนี้จูเหลี่ยนกำลังนั่งอาบแดดอันอบอุ่นของต้นฤดูหนาวอยู่ในลานบ้านพลางอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญเล่มหนึ่ง
เด็กหนุ่มเหยาเซียนจือวิ่งมาเคาะประตูขอเรียนวิชาหมัดกับเว่ยเซี่ยน
หลูป๋ายเซี่ยงกำลังเล่นหมากล้อมกับเหยาจิ้นจือที่มาถึงก่อนหน้านี้
หลังจากที่สุยโย่วเปียนไปยังภูเขาลูกเล็กแห่งนั้น ท่าทางของนางก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจึงเริ่มปิดด่านอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง นางวางกระบี่พาดไว้ตรงเข่า แล้วมักจะผลักกระบี่ออกมาจากฝักชุ่นกว่า ก่อนจะผลักกลับคืนไป ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เผยเฉียนเป็นคนที่ไม่ยอมหยุดอยู่นิ่ง มองหลูป๋ายเซี่ยงเล่นหมากล้อมกับเหยาจิ้นจือได้พักหนึ่งก็รู้สึกว่าน่าเบื่อจึงกลับห้องไปหยิบไม้เท้าเดินป่าอันนั้นมาออกท่ากระบองอันบ้าคลั่งซึ่งเป็นจุดขายของตัวนางเองอยู่ข้างเว่ยเซี่ยนและเหยาเซียนจือ เว่ยเซี่ยนบอกให้เหยาเซียนจือฝึกวิชาหมัดท่าหนึ่งไปก่อน เขามองเผยเฉียนอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงียบไปนาน เด็กหญิงถือไม้เท้าเดินเขาอันนั้นแล้วออกกระบวนท่าอย่างสะเปะสะปะ บางครั้งไม่ทันระวังยังตีโดนตัวเอง ไม่เสียแรงที่เป็นกระบวนท่าอันป่าเถื่อนที่สังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย
เหยาเซียนจือที่ฝึกท่ายืนนิ่งเห็นแล้วก็เหลือกตามองบน
แต่ดูเหมือนเว่ยเซี่ยนจะไม่ได้รู้สึกว่าเด็กหญิงที่ผิวดำดุจถ่านกำลังทำตัวเหลวไหลไร้สาระ
เผยเฉียนหอบฮักๆ ค้อมตัวลง เอาสองมือค้ำไม้เท้าเดินป่าอันนั้น ถามว่า “เหล่าเว่ย พรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง เรียกได้ว่าโดดเด่นเป็นหนึ่งในหมื่นเลยหรือไม่? พรุ่งนี้…ไม่ดีกว่า ปีหน้าข้าจะสามารถกลายเป็นยอดฝีมือล้ำโลกอย่างพ่อข้าได้แล้วใช่หรือไม่? แค่ฝ่ามือเดียวก็เล่นงานเจ้าสิบคนได้แล้ว?”
เว่ยเซี่ยนตอบไม่ตรงคำถาม “คนในยุทธภพกล่าวไว้ว่าปีกระบี่เดือนดาบฝึกทวนยาวนาน หากเจ้าอยากจะให้วิชากระบองพัฒนาอย่างรุดหน้าจริงๆ ข้ามีข้อแนะนำสองอย่าง อย่างแรกคือออกกระบองดุจมังกรทะยานในไร่นาหรือสวนดอกน้ำมัน นานวันเข้าก็จะมีพลังอำนาจของผู้ไร้ศัตรูแห่งใต้หล้า สองคือไปแหย่รังแตน เมื่อพาตัวไปตกอยู่ในอันตรายก็จะมีพลังอำนาจอีกอย่างหนึ่งคือมองความตายเสมือนบ้านเกิด”
เผยเฉียนเห็นว่าเว่ยเซี่ยนพูดจาดูจริงใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้าไม่หลอกข้าแน่นะ?”
เว่ยเซี่ยนเอ่ยอย่างเฉยเมย “เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า”
หลูป๋ายเซี่ยงที่หันหลังให้กับเรือนแห่งนี้ยิ้มบางๆ
จูเหลี่ยนร่างโก่งค่อมที่กำลังอ่านหนังสือเพิ่งใช้นิ้วแตะน้ำลายพลิกหน้าหนังสือไปอีกหน้าหนึ่ง ทว่าบทอัศจรรย์ชายหญิงหน้าก่อนหน้านี้เขียนได้งดงามยิ่งจึงพลิกกลับไปเปิดอ่านซ้ำอีกรอบอย่างอดไม่อยู่
เผยเฉียนพลันส่ายหน้า ถอนหายใจหนึ่งที พูดด้วยสีหน้าน่าสงสารว่า “เหล่าเว่ยเอ๋ย เจ้ามองไม่ออกหรือว่าที่ข้าฝึกไม่ใช่วิชากระบอง แต่เป็นวิชากระบี่น่ะ?!”
เว่ยเซี่ยนแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง คราวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้จริงใจสักเท่าไหร่
เผยเฉียนอับอายจนพานเป็นโกรธ “เหล่าเว่ยหากเจ้ายังทำตัวน่าเบื่อแบบนี้อีก ความสัมพันธ์น้ำตาลปั้นไม้นั้นของพวกเราถือว่าขาดกัน!”
เว่ยเซี่ยนกระตุกมุมปาก ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
กำลังจะพูดออกไป เผยเฉียนก็รีบโยนไม้เท้าเดินป่าทิ้ง ยกมืออุดปากทันที
แล้วเสียงของเฉินผิงอันก็ดังขึ้นจริงดังคาด “กลับห้องไปคัดตัวอักษรห้าร้อยตัว”
นอกจากอ่านหนังสือ ท่องหนังสือแล้ว เฉินผิงอันยังบอกให้เผยเฉียนคัดหนังสือด้วย
ทุกครั้งที่เผยเฉียนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันคัดหนังสือจะต้องรู้สึกอยากตบตัวเองสักสองที ใครใช้ให้เจ้าไปขอพู่กันกระดาษอะไรมาจากผีสาวเซวียนฮวาจวนปี้โหยวนั่น ผลกลับกลายเป็นเปิดช่องให้เฉินผิงอันพูดว่า ในเมื่อเจ้ามีพู่กันเป็นของตัวเองแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มฝึกคัดตัวอักษรทุกวันเถอะ ไม่มาก แค่ห้าร้อยตัว แต่ตัวอักษรไหนคัดไม่ตั้งใจ บิดเบี้ยวเกินไป จะไม่นับรวมในห้าร้อยตัว จะต้องคัดชดเชยไปอีก เผยเฉียนถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว นี่ตนเพิ่งจะมีชีวิตสุขสบายเหมือนเทพเซียนได้กี่วันเอง?
เผยเฉียนพองแก้มโป่งเหมือนซาลาเปาลูกใหญ่ หยิบไม้เท้าเดินป่าอันนั้นขึ้นมาแล้วเดินกลับห้องไปคัดหนังสือแต่โดยดี
ภายใต้บรรยากาศที่กลมเกลียวปรองดองกันของเรือนพักแห่งนี้
ในเขตการปกครองของศาลเทพภูเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองฉีเฮ้อไปหนึ่งร้อยลี้ เพราะควันธูปของทุกปีมีมากเกินไป แม้ศาลแห่งนี้จะไม่อาจถูกเรียกว่าเป็นจวนเทพภูเขา แต่ก็ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมือนจวนในดินแดนเซียนแห่งหนึ่ง
สองวันมานี้มีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนที่จวนไม่หยุด แสงไฟถูกจุดสว่างไสว เหล่าบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่อยู่ในศาลเทพภูเขาเล็กๆ คอยยกน้ำรินชาปรนนิบัติแขกสูงศักดิ์เหล่านั้นอย่างกระตือรือร้น
ผู้ที่มาถึงสถานที่แห่งนี้ก่อนใครคือเทพเซียนบนภูเขาตัวจริงเสียงจริงท่านหนึ่ง ข้างกายมีผู้ฝึกตนหญิงงดงามปานเทพธิดาติดตามมาด้วยสองคน
เขาคือตู้หันหลิงเจ้าอารามแห่งอารามจินติ่ง เซียนดินขอบเขตก่อกำเนิดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ อารามจินติ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีภูเขาสวยน้ำใสในทางตอนเหนือของใบถงทวีป
เทพเซียนพสุธาที่มีความเป็นมายิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ศาลเทพภูเขาที่ไม่เข้าขั้นแห่งนี้เลย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเชิญตัวเซียนซือผู้เฒ่าได้
ตอนแรกเทพภูเขายังตกใจจนร่างทองในศาลส่ายไหวไม่มั่นคงตามไปด้วย เพียงแต่ว่าพอได้รับฟังคำที่ตู้หันหลิงป่าวประกาศด้วยตัวเอง บอกว่าแค่มาขอยืมสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นที่รับรองสหาย หลังจบเรื่องย่อมมีของขวัญตอบแทนให้ เทพภูเขาก็มีความมั่นใจทันที ตู้หันหลิงเซียนซือไม่ถึงขั้นต้องใช้อุบายกับบุคคลตัวเล็กจ้อยเช่นตน เทพภูเขาตัวเล็กๆ อย่างเขายังไม่คู่ควร
—–