เจ้ากรมผู้เฒ่าบอกความลับอีกเรื่องหนึ่งด้วยความปรารถนาดี “จ้วงหยวน (จอหงวน) เด็กหนุ่มสองคนซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นเด็กอัจฉริยะของราชวงศ์ก่อน สามารถสอบเคอจวี่ได้อย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่ ทว่ากลับมีชื่อเสียงในวงการขุนนางไม่ดีนัก คนหนึ่งในนั้นก็ยิ่งชีวิตล้มเหลวในช่วงบั้นปลาย เป็นเหตุให้ราชสำนักมีข้อห้ามอย่างมากในเรื่องนี้ คราวนี้เจ้าพลาดตำแหน่งซิ่วไฉ ไม่ใช่ฝีมือของพี่ใหญ่เจ้า เขาไม่ได้จิตใจอำมหิตขนาดนั้น แล้วก็ไม่กล้าด้วย ข้ายังไม่ตายสักหน่อย อันที่จริงเป็นความต้องการของข้าเอง เพื่อสยบข่มและเคี่ยวกรำสภาพจิตใจเจ้า วันหน้าเมื่ออยู่ในวงการขุนนางจะได้มีประสบการณ์ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว วงการขุนนางไม่ใช่การเล่นหมากล้อม ชิงมือลงก่อนอย่างงดงามก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับราชวงศ์นี้”
หลังจากที่เด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นจากไปแล้ว ผู้เฒ่าก็หมุนตัวไปหยิบตำราอีกเล่มออกมา ในนั้นก็มีรอยกดทับอยู่เหมือนกัน แต่กลับไม่มีเหรียญอยู่ด้านใน ทว่าประโยคที่อยู่ตรงรอยกลบทับคือคำสอนของอริยะปราชญ์ที่บอกว่า ‘ผู้สูงส่งคือวิญญูชน เชี่ยวชาญการแลกเปลี่ยนความรู้ ขัดเกลานิสัยและคุณธรรมให้ยิ่งดีงาม’
เพราะว่ามีเหรียญเงินแค่เหรียญเดียว เด็กหนุ่มจึงได้ยึดครองโชควาสนาทั้งหมดไปโดยไม่รู้ตัว
คล้ายกับว่านี่เป็นเจตนารมณ์สวรรค์ซึ่งคนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
นี่ทำให้เจ้ากรมผู้เฒ่าที่ปรารถนาอยากฝึกวิชาเซียนมาโดยตลอดถึงขั้นไม่กล้าแย่งชิง
ผู้เฒ่าที่อยู่ในวงการขุนนางซึ่งผู้คนคอยแต่จะแก่งแย่งความดีความชอบกันมาเกินครึ่งชีวิตพูดสะท้อนใจแฝงไว้ด้วยความเลื่อมใสและนับถือจากใจจริง “ยอดฝีมือนอกโลกช่างมีฝีมือของเทพเซียนจริงๆ”
……
ระหว่างที่เดินทางอยู่บนเส้นทางภูเขา เฉินผิงอันทำหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ให้ตัวเองหนึ่งใบ ตามหลักแล้ว นอกจากใส่ห่อผ้าฝ้ายห่อนั้น ยังสามารถใส่สิ่งของได้อีกไม่น้อย ทว่าเฉินผิงอันยังคงให้เผยเฉียนสะพายห่อผ้า รวมไปถึงถือคันเบ็ดไม้ไผ่ นอกจากนี้เขายังทำไม้เท้าอันเล็กเหมาะมือให้กับนางอีกอันหนึ่ง
หลังจากนั้นเส้นทางภูเขาและแม่น้ำยาวไกล ดูเหมือนว่าจากแต่เดิมที่เฉินผิงอันรีบเร่งเดินทาง ร้อนใจอยากออกไปจากใบถงทวีป กลับบ้านเกิดที่แจกันสมบัติทวีปโดยเร็วที่สุด ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาเป็นสงบจิตสงบใจได้แล้ว เพียงแต่น่าสงสารเด็กหญิงเผยเฉียนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปด้วย นางบ่นด้วยความคับแค้นใจตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับคำพูดคำจาโผงผางทำร้ายจิตใจคนอย่างตอนที่เพิ่งรู้จักกันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้เริ่มเรียนหนังสือมาบ้าง หรือเป็นเพราะกลัวว่าเฉินผิงอันจะโมโหแล้วทิ้งนางไปไม่สนใจใยดี ต่อให้จะบ่น เผยเฉียนก็หัดรู้จักพูดอ้อมค้อมบ้างแล้ว
สำหรับคำบ่นของนาง เฉินผิงอันฟังเป็นลมที่พัดผ่านข้างหู นั่นยิ่งทำให้เผยเฉียนไม่พอใจเข้าไปใหญ่
การเดินทางในภายหลังคนทั้งสองได้พบเห็นทัศนียภาพมากมาย ทำให้เผยเฉียนได้เปิดโลกทัศน์ ยกตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่งได้เห็นหิ่งห้อยจำนวนนับไม่ถ้วนยามกลางดึกของฤดูใบไม้ร่วง คล้ายโคมไฟดวงเล็กๆ ที่แขวนไว้เต็มม่านฟ้า ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันไม่สนใจ นางใช้ไม้เท้าตบพวกมันดังเพี๊ยะๆๆ ศพกลาดเกลื่อนไปทั่ว เฉินผิงอันหันหน้ามามอง นางก็รีบหยุดมือทันที แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาเดินทาง
พวกเขายังเคยเดินผ่านผืนป่ารกครึ้มที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่ง ผืนป่าแห่งนี้มีดินที่อุดมสมบูรณ์ ทว่ากิ่งก้านต้นไม้ที่แผ่ออกมาด้านนอกกลับเต็มไปด้วยซากแห้งของพวกนกและสัตว์ป่า
เผยเฉียนตกใจรีบดึงชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้ ถึงได้กล้าเดินต่อ ก่อนจะเข้าไปในป่า เฉินผิงอันหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาหนึ่งแผ่น โยนเข้าไปในผืนป่า พบว่ายันต์ที่เขียนบนกระดาษธรรมดาแผ่นนั้นพลันติดไฟ เพียงแต่ว่าเผาไหม้อย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันจึงเดินตรงเข้าไปด้านใน เผยเฉียนขอร้องเฉินผิงอันว่าให้มอบยันต์หนึ่งแผ่นให้นางไว้คุ้มกันกาย เฉินผิงอันทำเป็นไม่ได้ยิน บอกนางว่าหากกลัวตัวประหลาดพวกนั้นก็ให้ท่องหนังสือเสียงดังๆ เพราะหลักการของอริยะปราชญ์สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้
เผยเฉียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยังคงกำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันไว้แน่น ขณะเดียวกันก็พยายามท่องเนื้อหาในตำราไปด้วย
อันที่จริงตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้นบางมาก นางรู้จักตัวอักษรทั้งหมดที่อยู่บนนั้นแล้ว แล้วก็อ่านจบแล้ว ก่อนหน้านี้เผยเฉียนก็เคยขอเปลี่ยนเล่มใหม่ บอกเฉินผิงอันว่าให้นางเลิกอ่านหนังสือเล่มเดียวซ้ำไปซ้ำมาได้แล้ว น่าเบื่อยิ่งนัก แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยอมอนุญาต เขาบอกให้นางอ่านซ้ำหลายๆ รอบ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่อ่านเท่านั้น ยังต้องอ่านออกเสียงด้วย ยามเช้าตรู่เมื่อเขาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู นางก็จะต้องเริ่มอ่าน ยามสนธยา เขายังคงฝึกยืนนิ่ง นางก็ยังต้องอ่าน ถึงท้ายที่สุดนางจึงท่องทุกบทความที่อยู่ในนั้นจนขึ้นใจได้จริงๆ
รอจนคนทั้งสองเดินออกจากป่าลึกก็ยังไม่มีความเคลื่อนใดๆ
เผยเฉียนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เป็นเพราะท่องหนังสือจนเหนื่อย คอนางแหบแห้งไปหมดแล้ว
จนกระทั่งคนทั้งสองเดินออกไปได้สิบกว่าลี้ ต้นไม้ใหญ่หลายต้นถึงได้เริ่มส่ายสะบัดอย่างบ้าคลั่งคล้ายกำลังระบายความโกรธแค้น
จากนั้นคนทั้งสองยังผ่านหุบเขาแห่งหนึ่ง ข้างแอ่งน้ำใต้น้ำตกมีผีเสื้อหลากสีบินระบำจนคนมองตาพร่าลาย
เผยเฉียนฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันกำลังหุงข้าวฆ่าผีเสื้อไปหลายสิบตัวด้วยความเร็วดุจฟ้าร้องฉับพลันจนคนไม่ทันได้ยกมือป้องหู อีกทั้งนางยังเลือกเฉพาะตัวที่สวยที่สุด ตบเพี๊ยะหนึ่งที ผีเสื้อถูกหนีบอยู่ในหน้าหนังสือ ผลคือถูกเฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่เน้นๆ หนึ่งที ทำเอานางเจ็บจนทรุดนั่งกุมหัวร้องโหยหวน หน้าผากบวมเป่ง ตอนกินข้าวก็ยังหน้าตาบูดบึ้ง
คนทั้งสองยังเจอคนตัดไม้ที่ตัดฟืนเสร็จแล้วลงมาจากภูเขา ยังกินข้าวของเขาไปหนึ่งมื้อ เฉินผิงอันคิดอยากจะจ่ายเงิน แต่ครอบครัวที่มีนิสัยซื่อๆ ครอบครัวนั้นกลับไม่ยอมรับไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมตอบรับ เฉินผิงอันจึงได้แต่ถอดใจ ก่อนจะเดินออกมาจากลานบ้านที่ถูกล้อมไว้ด้วยไม้ไผ่แห่งนั้น เขาก็หันมาบอกให้เผยเฉียนเอ่ยขอบคุณครอบครัวนั้น เผยเฉียนที่กินข้าวของคนอื่นไปไม่น้อยกลับไม่ใคร่จะเต็มใจนัก แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาของเฉินผิงอันโดยบังเอิญจึงรีบโค้งตัวเอ่ยขอบคุณอย่างว่าง่ายทันที
คนทั้งสองเดินออกมาจากภูเขาใหญ่ที่ทอดตัวยาว แล้วก็เจอเข้ากับแม่น้ำสายใหญ่อีก นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนได้เห็นคนลากจูงเรือที่ลากเรือลำใหญ่ขนาดนี้ ภายใต้แสงแดดแผดเผา บุรุษเหล่านั้นตะโกนร้องส่งสัญญาณอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำเอานางที่มองดูอยู่ปากอ้าตาค้าง แล้วก็ให้ชอบใจนัก ดูเหมือนว่าคนที่น่าเวทนาใต้หล้านี้จะมีไม่น้อยเลยจริงๆ เพียงแต่ไม่นานนางก็หุบยิ้ม หากเจ้าหมอนั่นเห็นเข้า นางต้องถูกเล่นงานอีกแน่ คราวก่อนก็แค่ตนเก็บฝืนมาได้น้อยเท่านั้น เขายังอนุญาตให้ตนที่ท้องร้องด้วยความหิวโหยกินข้าวถ้วยเล็กๆ แค่ถ้วยเดียว เฮ้อ เฉินผิงอันผู้นี้ปรนนิบัติยากซะจริง นายท่านใหญ่ที่มีเงินต้องกวนโอ้ยน่าเตะแบบนี้ด้วยหรือไง รอให้นางใช้ไม้เท้าในมือแอบฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกได้ก่อนเถอะ นางจะต้องตีให้เขาร้องหาพ่อหาแม่เลยทีเดียว ถึงเวลานั้นคอยดูสิว่าเขาจะยังกล้าถลึงตามองตนอีกไหม
อยู่กับภูเขากินจากภูเขา อยู่กับน้ำกินจากน้ำ
เดินทางอยู่ริมแม่น้ำ จู่ๆ นางก็นึกอยากตกปลา จึงบอกให้เฉินผิงอันช่วยทำคันเบ็ดตกปลาให้นางคันหนึ่ง ทว่าเขาไม่สนใจนาง เผยเฉียนจึงได้แต่หยิบมีดผ่าฟืนไปฟันต้นไผ่ที่ลำต้นหนาใหญ่ด้วยตัวเอง พอฟันต้นไผ่โค่นลงถึงตระหนักได้ว่านี่ใช่คันเบ็ดเสียที่ไหน เอามาทำไม้พายยังพอว่า จากนั้นนางที่หน้าหงอยจึงไปเลือกหาไม้ไผ่ต้นบางๆ ยังดีที่คนขี้งกทาสเฝ้าทรัพย์อย่างเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุนัก เขายอมมอบตะขอและเส้นเอ็นตกปลาให้นาง เพียงแต่ว่าคนทั้งสองตกปลาเหมือนกัน นั่งอยู่ห่างกันไม่ไกล แต่เฉินผิงอันกลับตกปลาได้เป็นระยะ แถมยังตกได้ปลาหลีตัวใหญ่ที่ยาวเท่าแขนของนางตัวหนึ่ง ทว่านางกลับไม่มีแม้แต่กุ้งมากินเหยื่อ หรือว่าเจ้าพวกที่อยู่ในน้ำก็เลือกคนที่จะยอมเป็นอาหารให้ ใช้ตาสุนัขมองคนต่ำด้วย? นางอยากจะกระโดดลงไปในน้ำแล้วใช้คันเบ็ดฟาดให้ปลากุ้งทั้งหมดที่อยู่ในแม่น้ำตายไปซะให้หมด
ทว่าแกงปลาหม้อใหญ่คืนนั้นทำให้เผยเฉียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ขอข้าวถ้วยที่สามจากเฉินผิงอันอย่างกล้าๆ กลัวๆ บอกว่าวันนี้ตกปลาใช้พละกำลังของนางไปสิ้นแล้ว จำต้องชดเชยด้วยข้าวถ้วยใหญ่ ส่วนแกงปลานางจะกินให้น้อยหน่อย จะไม่แย่งเขากินแล้วกัน เดิมทีนางนึกว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอม คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนั่นกลับยอมตักข้าวเพิ่มให้ มื้อนี้มีน้ำแกงปลาราดบนข้าวสวย บนโลกไม่มีอาหารใดที่หอมหวนเอร็ดอร่อยเท่านี้อีกแล้ว นางกินซะพุงกาง
ภายหลังนางก็ตกปลากับเฉินผิงอันอีกครั้งหนึ่ง ยังคงขว้างคันเบ็ดและดึงขึ้นอย่างมั่วซั่วอยู่เหมือนเดิม สรุปก็คือบนคันเบ็ดของนางยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
กลับเป็นเจ้าหมอนั่นที่ตกได้ปลาดำตัวใหญ่มากตัวหนึ่ง ลำพังแค่แข่งงัดข้อกับปลาตัวนั้นก็ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเค่อ มองดูเฉินผิงอันวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนชายฝั่ง นางก็กลอกตามองสูงทันที เจ้าเป็นทั้งวิชากระบี่และวิชาตระกูลเซียน กลับปล่อยให้ตัวเองถูกปลาโง่ๆ ตัวหนึ่งปั่นหัวแบบนี้ ไม่ลดสถานะตัวเองไปหน่อยหรือไง?
มองคันเบ็ดตกปลาของตนที่ ‘มั่นคงดุจภูผา’ บ่นเจ้าพวกที่หลบอยู่ใต้น้ำซึ่งไม่ยอมเห็นแก่หน้านางแม้แต่น้อย แล้ว เผยเฉียนก็ถอนหายใจหนักๆ รู้สึกเสียดายความสามารถที่มีอยู่เต็มตัว จนใจที่สวรรค์ไม่ทำให้คนสมใจปรารถนา นางเลยไม่มีพื้นที่ให้ใช้ความสามารถนั้นเลย
ดังนั้นนางวางแผนว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ตกปลาอีกแล้ว ต้องใช้ความอดทนและเรี่ยวแรงมากมายขนาดนั้น แต่กลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวมา ยังจะทำมันไปทำไม?
อาหารกลางวันของวันนั้น เฉินผิงอันบอกเคล็ดลับการตกปลาบางข้อแก่นางอย่างที่หาได้ยาก
หลักการนั้นนางฟังเข้าใจ แต่เผยเฉียนก็ยังไม่เต็มใจจะเรียนตกปลากับเฉินผิงอัน ทว่าพอเขาบอกว่าตกปลาคราวหน้า เขาจะสอนนางด้วยตัวเอง นางถึงยังไม่โยนคันเบ็ดตกปลานั่นทิ้ง
นางถามหยั่งเชิงไปหนึ่งประโยค “แกงปลาอร่อยก็จริง แต่หากต้องกินทุกวันก็ออกจะเลี่ยนไปหน่อย พวกเราลองเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นดูบ้างดีไหม?”
เฉินผิงอันตอบนางกลับมาว่า “ดีสิ ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปหาของกินมา”
เผยเฉียนแกล้งโง่ “ข้าอายุยังน้อย มีใจแต่ไร้กำลัง”
ตกปลาวันที่สอง เฉินผิงอันไม่ได้ใช้คันเบ็ดของเขา แต่เอาของเผยเฉียนมาใช้แทน รออยู่ครึ่งวัน ไม่สนใจปลาเล็กปลาน้อยที่มาตอดเหยื่อ แต่พอปลาใหญ่หนักประมาณเจ็ดแปดจินตัวหนึ่งงับตะขอ เขาก็พลันยกคันเบ็ดขึ้น เส้นเอ็นตกปลาถูกดึงตึงเป็นวงโค้งที่งดงาม ทุกอย่างพอดิบพอดีไปหมด เผยเฉียนที่นั่งหาวอยู่ข้างๆ มาครึ่งวันเบิกตากว้างทันที เฉินผิงอันบอกให้นางรีบมารับคันเบ็ดไป ให้นางรับมือกับปลาใหญ่ตัวนี้ด้วยตัวเอง เผยเฉียนกระโดดผลุงขึ้นมา พอรับคันเบ็ดไปแล้ว ภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ทำเอาเฉินผิงอันมองตาค้าง
สองมือของนางกำคันเบ็ดไว้แน่น อาศัยลำไม้ไผ่ที่หนาและแข็งแกร่งจนไร้เหตุผลนั่น เด็กหญิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่พูดไม่จาก็เริ่มกระชากมันไปด้านหลังสุดชีวิต เคล็ดลับทั้งหลายที่เฉินผิงอันถ่ายทอดให้ก่อนหน้านี้อย่างเช่น ค่อยๆ เลี้ยงปลาเอย เก็บสายปล่อยสายเอย หรืออย่ารีบให้ปลาใหญ่เห็นแสง ต้องค่อยๆ ลดทอนกำลังของปลา ต้องให้มันสำลักน้ำหลายๆ ครั้งอะไรพวกนั้น เผยเฉียนฟังไม่เข้าหูแม้แต่ประโยคเดียว คิดแต่จะใช้เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากมันขึ้นมาบนฝั่งท่าเดียว
การตกปลาดีๆ ที่เดิมทีควรจะผ่อนคลายสบายอารมณ์ กลับถูกเผยเฉียนทำให้เหมือนการแข่งชักคะเย่ออย่างไรอย่างนั้น
ปลาตัวไม่เล็ก อีกทั้งยังอยู่ในน้ำ แถมยังเป็นปลาดำที่มีแรงมากอีกด้วย หันกลับมามองเผยเฉียนที่เรี่ยวแรงไม่มาก พอไม่ทันระวัง เด็กหญิงผอมแห้งจึงเซถลาไปหลายก้าว ทั้งคนทั้งคันเบ็ดต่างก็ถูกปลาใหญ่กระชากลงไปในน้ำ นางเคยหัวเราะเยาะว่าเฉินผิงอันพูดจาเหลวไหล ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีหลักการที่ปลาสำลักน้ำ คราวนี้กลายเป็นเผยเฉียนที่ต้องสำลักน้ำบ้างแล้ว นางว่ายน้ำไม่เป็น แต่พอโมโหขึ้นมา ให้ตายนางก็ไม่ยอมปล่อยมือ
สุดท้ายยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ต้องไปหิ้วนางขึ้นมาจากน้ำ คันเบ็ดถูกปลาใหญ่กระชากจากไปแล้ว
คราวนี้เผยเฉียนไม่ได้ร้องไห้โฮอย่างเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ เด็กหญิงที่สภาพเหมือนลูกเจี๊ยบตกน้ำยืนอยู่บนชายฝั่ง อ้าปากกว้าง ร้องไห้ไร้เสียง
ปลาไม่มีแล้ว แกงปลาของคืนนี้ก็ไม่มีแล้ว คันเบ็ดไม่มีแล้ว ต่อให้จะรู้ว่ายังมีอาหารแห้ง นางไม่มีทางหิว ยังมีข้าวให้กิน แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เสียใจขนาดนี้
เฉินผิงอันช่วยเช็ดน้ำตาและน้ำบนหน้าให้นาง แต่กลับไม่ได้เอ่ยปลอบใจนาง
เขาแค่นึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นยังไม่ได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยางที่เชี่ยวชาญการตกปลา ไม่รู้เคล็ดลับของการตกปลา ไม่รู้จักเลือกช่วงเวลา ไม่รู้จักเลือกสถานที่ เวลาไปตกปลาจึงมักจะกลับมามือเปล่า หน้าร้อนที่ร้อนระอุ อากาศช่วงบ่ายสามารถแผดเผาให้ผิวคนปวดแสบปวดร้อน ก็คงจะเป็นความรู้สึกประมาณนี้กระมัง
อาหารมื้อนั้น แน่นอนว่ามีแค่ผักดองและข้าวสวยเท่านั้น
เข้าไปเปลี่ยนชุดใหม่ในกระโจมหลังเล็ก ตอนกินข้าว เผยเฉียนก็ยังอารมณ์ไม่ดี เฉินผิงอันถามยิ้มๆ ว่า “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงใจกล้าขึ้นมา ไม่กลัวว่าจะจมน้ำตายหรือ?”
เผยเฉียนที่นั่งอยู่ด้านข้างก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว น้ำเสียงที่พูดจึงไม่ชัดเจน “ก็มีเจ้าอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง เผยเฉียนพลันเงยหน้าขึ้น พูดเสียงขุ่นเคือง “ทำไมต้องตีข้าด้วย? ข้าเสียใจจะตายอยู่แล้วนะ!”
เฉินผิงอันยิ้ม “กินข้าวของเจ้าไป”
เผยเฉียนแค่นเสียงเย็น หันหน้าไปมองแม่น้ำ คันเบ็ดที่กว่าตนจะทำได้ไม่ใช่ง่ายๆ ตอนนี้ถูกน้ำพลัดหายไปแล้ว นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันเอ่ยขึ้น “คันเบ็ดอันนั้นของข้า ยกให้เจ้า”
เผยเฉียนกังขาเล็กน้อย เห็นว่าเขาไม่เหมือนล้อเล่นจึงยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะให้เจ้ายืมไปตกปลาบ่อยๆ แล้วกัน ข้าใจกว้างนักล่ะ”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉิวๆ
นางฉลาดหัวไวถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เอาไปใช้กับการเรียนหนังสือหรือเขียนตัวอักษรบ้างนะ
มีเพียงช่วงกลางดึกที่นางนอนหลับสนิทแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ฉวยโอกาสตอนเฝ้ายามฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวและคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงเงียบๆ
พวกเขาเดินทางผ่านเมืองเล็กแห่งหนึ่งจึงแวะซื้อเสบียงเพิ่มเติม เฉินผิงอันซื้อชุดใหม่ให้นางหนึ่งชุด เผยเฉียนชื่นชอบอย่างยิ่ง คืนนั้นนอนพักที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เผยเฉียนไม่ได้นอนบนเตียงมานานมากแล้ว นางกลิ้งตัวไปมาบนเตียงอย่างมีความสุข แต่จู่ๆ นางก็สังเกตเห็นว่าตรงหน้าต่างมีแมวขาวตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่ และมันกำลังจ้องมองตน
เผยเฉียนกระโดดลงจากเตียง โวยวายเสียงดังว่า “คิดจะก่อกบฏรึ บังอาจจ้องมองข้า” คว้าไม้เท้าที่วางเอียงๆ ไว้ข้างโต๊ะได้ก็ทิ่มไปที่แมวขาว
แมวขาวเป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ มันคิดจะก่อกบฏ ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจหนีไป กลับกันยังกระโดดลงมาจากหน้าต่าง หลบพ้นการโจมตีจากไม้เท้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างว่องไวปราดเปรียว บางครั้งยังส่งเสียงขู่ฟ่อใส่เผยเฉียน เผยเฉียนโมโหหนัก เอามือยันไม้เท้าไว้กับพื้น ถลึงตากว้าง “ปีศาจจากที่ใด?! จงรีบบอกชื่อแซ่มาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!”
แน่นอนว่าเผยเฉียนต้องการหยอกมันเล่น
ทว่าแมวขาวตัวนั้นกลับ ‘ปรายตา’ มองนาง แล้วพูดภาษาคนกลับมาว่า “นังเด็กบ้า สมองเจ้ามีปัญหาหรือไง?”
แล้วมันก็หมุนตัวกลับ กระโดดผลุงหนึ่งครั้ง จากไปทั้งอย่างนี้
ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบทิ้งไม้เท้า วิ่งไปเคาะประตูห้องที่อยู่ติดกันอย่างแรง
—–