ติงอิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ๋อเซียนกระมัง? เป็นของเล่นที่แปลกใหม่มากจริงๆ น่าจะเพิ่งปรากฏบนอาณาเขตของพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเข้ามาที่แห่งนี้ด้วยเรือนกายและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย นับว่าหาได้ยากยิ่ง มิน่าเล่าเจ้าถึงชักนำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันได้มากมายขนาดนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวมีข้าติงอิงอยู่”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา เขาพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งเฮือก ก่อนจะตั้งกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
ติงอิงกวาดตามองไปรอบด้าน สองนิ้วของมือขวายังคงคีบกระบี่บินงดงามที่ส่องแสงสีเขียวมรกตเล่มนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ยื่นมือซ้ายออกมาข้างหน้า “พูดคุยกันจบแล้วก็ควรจะลงมือได้แล้ว ข้าจะลองดูว่าจะฆ่าเจ้าด้วยมือเดียวได้หรือไม่”
ติงอิงชำเลืองตามองท่าหมัดของเฉินผิงอัน ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า “แนะนำเจ้าว่าควรเปลี่ยนเป็นท่าหมัดที่ช่วยในการจู่โจมจะดีกว่า ข้ายังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นวิถียุทธ์ที่ทำให้คนดวงตาเป็นประกาย ไม่อย่างนั้นหากข้าชิงลงมือก่อนก็จะเหมือนหมัดก่อนหน้านี้ที่เจ้าต่อยให้ลู่ฝ่างและจ้งชิวถอยร่น เจ้าจะไม่เหลือกำลังให้ต้านทานเลยแม้แต่นิดเดียว”
ติงอิงกวักมือเรียกเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้เจ้าปล่อยหมัดได้มากสุดแค่สิบหมัด แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าต้องทำได้มากกว่านั้นแน่ ข้าอยากรู้นักว่ามากสุดเจ้าจะต่อยได้สักกี่หมัด? เจ้าจงปล่อยหมัดออกมาอย่างวางใจ ข้าจะรับทุกหมัดไว้เอง!”
เฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าจริงๆ พลังอำนาจตลอดทั้งร่างพลันเปลี่ยนจากขุนเขาสูงนครใหญ่มาเป็นกองทัพมาเหล็กที่ควบทะยานดุจน้ำขึ้นในทันที
ติงอิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ยังคงใช้มือข้างหนึ่งพันธนาการกระบี่บินเล็กจิ๋วเล่มนั้น ใช้มือแค่ข้างเดียวรับมือกับเฉินผิงอัน “มา!”
ทันใดนั้นก็เห็นเพียงว่าบนถนนตรงจุดเดิมที่เฉินผิงอันยืนอยู่ได้ยุบยวบลงไปเป็นหลุมใหญ่ยักษ์ที่มีเส้นรัศมีรอบวงหลายจั้ง ทว่าเงาร่างชุดขาวนั้นกลับไม่เหลืออยู่แล้ว
ติงอิงพยักหน้า เร็วใช้ได้
มิน่าเล่าลู่ฝ่างที่เลื่อนสู่ขั้นการควบคุมกระบี่มาได้ครึ่งก้าวถึงมีสภาพอเนจอนาถขนาดนั้น
ติงอิงใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดของเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นั้น ในขณะที่เขากำลังจะกำฝ่ามือ แรงหมัดที่ส่งมาพลันคลายออก หมัดที่สองพุ่งมาถึงซี่โครงของเขาแล้ว
ติงอิงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ หากเป็นอย่างที่ตนคาดเดาเอาไว้ กระบวนท่าหมัดนี้ ทุกครั้งที่หมัดถูกปล่อยออกมา ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว พละกำลังหรือจิตวิญญาณล้วนเพิ่มขึ้นในทุกหมัด จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดอยู่ที่ว่า หมัดที่ปล่อยออกมาติดๆ กันนี้ไม่เว้นพื้นที่ให้คนหลบเลี่ยง ได้แต่ฝืนแข็งใจต้านรับไว้เท่านั้น มองครั้งแรกเป็นเพียงภูเขาลูกเล็ก แต่หากมีเซียนใช้วิชาอภินิหารแหวกเปิดพื้นที่พันหมื่นลี้ออกดูก็จะค้นพบว่าภูเขาที่ไม่สะดุดตานี้คือ ‘เส้นทางมังกร’ ที่สมบูรณ์แบบทั้งเส้น กลับกลายมาเป็นบรรพบุรุษแห่งขุนเขาในใต้หล้า
ก่อนจะถึงหมัดที่แปด เท้าของติงอิงไม่ขยับเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งล้วนสามารถใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดได้อย่างพอดิบพอดี
รอบกายเหมือนมีเจียวหลงสีขาวหิมะตัวหนึ่งว่ายวนโอบล้อม มองไม่เห็นเงาคน
หมัดที่เก้าติงอิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยังคงใช้ฝ่ามือต้านหมัดที่พุ่งเข้ามายังหว่างคิ้ว
การลงมือของติงอิงที่มองดูเหมือนเรียบง่ายธรรมดาอย่างถึงที่สุดนี้ แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยแก่นแห่งวรยุทธ์เก้าชนิดที่รวบรวมมาจากสำนักและพรรคต่างๆ ในพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่ต้องพูดถึงหอจิ้งซินที่ติงอิงเห็นเป็นเหมือนสวนดอกไม้หลังบ้านของตัวเอง แม้แต่พรรคหูซานของอวี๋เจินอี้ วิชาหมัดที่จ้งชิวสืบทอดให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด ยอดเขาเหนี่ยวคั่นและตำหนักคลื่นวสันต์ กระบวนท่าหิมะถล่มอันเป็นวิชาทวนของเฉิงหยวนซาน เวทลับที่ไม่แพร่งพรายให้คนนอกของปรมาจารย์ใหญ่หลายคนอย่างเทพแปดกรเซวียยวน ติงอิงล้วนนำมาปรับใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ วิชาบางอย่างที่อยู่ในขั้นสูงสุดอยู่แล้วก็จะคงสภาพเดิมไว้ ไม่ไปแตะต้อง แต่วิชาบางส่วนที่ยังเหลือช่องว่าง ติงอิงที่อยู่ว่างๆ ก็จะช่วยปรับแก้ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น
หมัดที่สิบ
ติงอิงขยับไปด้านข้างหลายก้าว แต่กลับยังคงเปิดปากเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “วิชาหมัดนี้ของเจ้า มีความบกพร่องเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ ใช้วิธีทำลายศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองกลับเสียหายแปดร้อย ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะทนได้ถึงหมัดที่เท่าไหร่ และหมัดสุดท้ายนั้นจะร้ายกาจมากแค่ไหน”
เฉินผิงอันตั้งหน้าตั้งตาปล่อยหมัดอย่างเดียว หัวใจเหมือนจมดิ่งสู่ก้นบ่อโบราณ
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีใครมาร่วมชม
เพราะไม่กล้า
เดิมทีมารเฒ่าติงก็ขึ้นชื่อเรื่องชอบฆ่าคนที่มาชมศึกอยู่ด้านข้างอยู่แล้ว
พวกเจ้าเป็นคนไม่กลัวตาย ชอบมานั่งดูอยู่บนกำแพง ชอบมาชี้ไม้ชี้มือวิจารณ์ ชอบปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง ชอบทำหน้าตกตะลึงเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ กันนักใช่ไหม ทุกครั้งที่มีจังหวะว่างระหว่างประมือกับคนอื่น มารเฒ่าติงจะต้องตบพวกคนที่มาชมการต่อสู้จนเละเป็นเนื้อบดด้วยฝ่ามือเดียวเหมือนคนใช้พัดตบยุงบนมุ้ง ตบแมลงวันบนผนังเสมอ
ดังนั้นอาจารย์ที่ลักษณะคล้ายลิงผอมแห้งขององค์รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน เดิมทีหลบซ่อนอยู่ไกลๆ แต่พอเห็นว่ามารเฒ่าติงลงมือด้วยตัวเองก็รีบถอยออกมาทันที
นิสัยเช่นนี้ติงอิงเป็นอยู่คนเดียว บุคคลที่อยู่บนยอดเขาอย่างพวกจ้งชิว อวี๋เจินอี้ที่แม้จะไม่ชอบให้คนนอกมานั่งดูไฟชายฝั่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก
ทว่าการชมการเข่นฆ่าระหว่างยอดฝีมือระดับสองคือข้อห้ามใหญ่ของคนในยุทธจักร เพราะใครก็ไม่ชอบให้ความสามารถก้นกรุของตนต้องมาเปิดเผยสู่สายตาคนนอก คนมากปากมาก หนึ่งเล่ากันไปสิบ สิบเล่ากันไปร้อย จนแม้แต่คนเดินถนนก็ยังรู้ แบบนั้นจะยังเรียกว่าของก้นกรุอีกได้อย่างไร? ยุทธภพจะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เลื่อนเป็นปรมาจารย์ระดับหนึ่งแล้ว วรยุทธ์ก็จะยิ่งเล็กแคบลงมาอีก
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองอยู่ในระยะสองช่วงแขน แต่หมัดที่สิบเอ็ด ดูเหมือนติงอิงจะได้ลิ้มรสถึงความร้ายกาจของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าบ้างแล้ว เขาจึงขยับระยะห่างเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา พอถูกหนึ่งหมัดต่อยก็ถอยออกไปหนึ่งจั้งกว่า
ตอนนั้นลู่ฝ่างถูกสิบหมัดต่อยจนบาดเจ็บสาหัส หนึ่งเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก เขาไม่ทันได้ตั้งตัวรับมือ ทว่าติงอิงกลับเตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว สองก็เพราะลู่ฝ่างใฝ่เรียนวิชากระบี่อย่างเดียว ความทุ่มเทและความตั้งใจทั้งหมดอยู่ที่กระบี่ ร่างกายจึงมิอาจเทียบเคียงกับติงอิงได้ ลู่ฝ่างกินสิบหมัดของเฉินผิงอันเข้าไปก็เหมือนทหารเดินเท้ากลุ่มหนึ่งที่เจอกับทหารม้าเหล็กในผืนป่า เพียงปะหน้าก็แตกฉานซ่านเซ็น แน่นอนว่าย่อมพ่ายแพ้เหมือนภูเขาที่ล้มครืน สิบหมัดเหมือนกัน แต่ติงอิงกลับเหมือนได้ครอบครองนครยักษ์ที่มีป้อมปราการสูง กองกำลังทหารยังคงกร้าวแกร่ง
นี่หาใช่เพราะศักยภาพที่แท้จริงระหว่างลู่ฝ่างกับติงอิงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวไม่
จะว่าไปแล้ว การที่ติงอิงรับมือได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้ยังต้องยกให้เป็นความดีความชอบของบทเรียนก่อนหน้านี้ที่ลู่ฝ่างและจ้งชิวมอบให้เขา
หลังหมัดที่สิบเอ็ดผ่านไป ติงอิงไปยืนอยู่ห่างหนึ่งจั้ง ฉวยโอกาสที่หมัดต่อไปยังไม่เข้ามาประชิดตัวรีบสะบัดชายแขนเสื้อ สลายพายุหมัดที่ยังคงหมุนเวียนวนอยู่กลางฝ่ามือทิ้งไป กล่าวสัพยอกว่า “หากปล่อยมาอีกสักสามสี่หมัด เกรงว่าข้าคงต้องบาดเจ็บเล็กน้อยแล้ว”
หมัดที่สิบสองพุ่งเข้ามาแสกหน้า ติงอิงจึงออกหมัดเป็นครั้งแรก หมัดนั้นชนเข้ากับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันถอยหลังไปหลายก้าว แต่ความมหัศจรรย์ของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก็แสดงออกมาอย่างเต็มกำลัง เฉินผิงอันใช้ความเร็วและวิถีวงโคจรที่อยู่เหนือหลักการทั่วไปปล่อยหมัดนี้ออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
ติงอิงที่ไม่ทันได้ออกหมัด ได้แต่ยกศอกขึ้นต้านบังอยู่ด้านหน้าอย่างฉุกละหุก
ปลายศอกของตัวเองกระแทกเข้าที่หน้าอก
ติงอิงกระเด็นออกไปดังปัง แต่ปราณแท้จริงในชุดคลุมยาวกลับพองโป่งขึ้นมา ช่วยลดทอนพายุหมัดไปเกินครึ่ง
ชั่วเวลาประกายไฟแลบ สัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้คล้ายจะช้าไปเสี้ยวขณะหนึ่ง ติงอิงก็หรี่ตา ถอยกรูดออกไปด้านหลัง ขณะเดียวกันกับที่รับหมัดที่สิบสี่ก็เอ่ยพลางยิ้มบางๆ ไปด้วยว่า “ก่อนหน้านี้ในที่พักของเจ้า มีเจ้าตัวน้อยลักษณะเป็นภูตประหลาดตัวหนึ่ง มันไม่รู้จักกลัวตาย ถึงได้พยายามแอบเอากระบี่บินมุดดินมาหาเจ้า แต่ถูกข้าจับได้ ไม่รู้ว่าถูกแรงกระเทือนตายอยู่ในใต้ดินไปแล้วหรือเปล่า”
แล้วก็จริงดังคาด แม้ว่าคนหนุ่มจะสัมผัสได้ แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดมือ หมัดที่สิบห้าพุ่งออกมาอย่างว่องไว
หนึ่งหมัดผ่านไป
ติงอิงถอยหลังอีกครั้ง อีกทั้งสองนิ้วที่คีบกระบี่บินสืออู่เอาไว้ยังสั่นน้อยๆ ด้วย
ติงอิงไม่ตกใจ กลับกันยังดีใจมากเดียวซ้ำ เพียงแต่เก็บกดอารมณ์นี้ไว้อย่างลึกล้ำ
มองภายนอกเหมือนว่ามารเฒ่าติงที่ได้ครอบครองบัลลังก์อันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างมั่นคงมาหกสิบปีผู้นี้จะทระนงตัวจนกลายเป็นความประมาท ทว่าอันที่จริงส่วนลึกในใจของติงอิงนั้นอยากได้แก่นของกระบวนท่าหมัดนี้มาครอบครองยิ่งกว่าใคร
มีความเป็นไปได้มากว่าหากเขาเข้าใจวิชาหมัดนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง มันก็ช่วยให้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าจะทำเรื่องบางอย่างที่คิดไว้ในใจได้สำเร็จ
นั่นคือเขย่าคลอนกฎสวรรค์ของพื้นที่แห่งนี้!
ติงอิงไม่สนใจสักนิดว่าการเปิดปากพูดของเขาจะทำให้ลมปราณที่แท้จริงไหลหายออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ยังคงยิ้มบางกล่าวว่า “สี่หัวก่อนหน้านี้ ข้าเป็นคนให้ยาเอ๋อร์และโจวซื่อหิ้วออกมาให้เจ้าดูเอง เด็กคนนั้น หากข้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อเฉาฉิงหล่าง เขามาเจอกับเจ๋อเซียนอย่างเจ้า นับว่าโชคร้ายจริงๆ”
ต่อให้ติงอิงจะมองเห็นใบหน้าของเฉินผิงอันได้ไม่ชัดเจน แต่ผู้เฒ่ากลับสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร ‘เล็กน้อย’ ของคนผู้นี้
ไม่ใช่ความโกรธเคือง ถึงขั้นไม่ใช่จิตสังหารที่ไหลแผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เป็นจิตสังหารที่จงใจกดข่มไว้ให้เป็นเพียงเส้นบางๆ จากนั้นก็ขยำหนึ่งเส้นให้กลายเป็นหนึ่งก้อน
แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว
สภาพจิตใจของคนผู้นี้โดดเด่นแตกต่างไปจากบรรดาเจ๋อเซียนทั้งหลายที่ติงอิงเคยพบเห็นและเคยสังหารมา
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ติงอิงเรียนรู้มาหลากหลาย ไม่มีหนังสือเล่มใดที่ไม่ถูกเขาเปิดอ่าน เขาเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในตำราของลัทธิเต๋า กล่าวว่า ‘ล่องอยู่ในธาราไม่หลบเลี่ยงเจียวหลง คือความกล้าของคนขับเรือ ท่องอยู่ในป่าเขา ไม่กลัวหมาป่าและหมาใน คือความกล้าของนายพราน ร้อยคมมีดตัดสลับอยู่เบื้องหน้า ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย ก็คือความกล้าของวีรบุรุษ เมื่อพละกำลังของคนหมดสิ้นลง ยามเผชิญกับหายนะใหญ่ยังเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน นั่นก็คือความกล้าแห่งอริยะ’
หากคิดจะเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน จิตใจต้องมั่นคงก่อน
อะไรที่เรียกว่าเมื่อพละกำลังของคนหมดสิ้นลง? ก็คือเมื่อเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คิดว่าคนในครอบครัวนั้นตายหมดแล้ว และเจ้าตัวน้อยนั่นก็อาจตายไปด้วย ภายใต้เงื่อนไขนี้ เขาไม่เพียงแต่ต้องรู้ว่าความละอายใจและความเคียดแค้นของตัวเองล้วนไร้ความหมาย เพราะมีแต่จะพาตัวเองไปตาย มีเพียงมุ่งมั่นตั้งใจเท่านั้นถึงจะรอดไปจากสถานการณ์ตอนนี้ได้ และเมื่อรู้แล้วว่าควรทำอย่างไรก็ต้องทำให้ได้ด้วย
การรับรู้เป็นเรื่องง่าย แต่จะกระทำได้หรือไม่นั้น กลับยากยิ่งกว่า
ทว่าเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ทำให้ติงอิงผิดหวัง
เขาออกหมัดอย่างไม่มีอืดอาด ไม่มีพันธนาการใดๆ มาพันมือพันเท้า ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ต่อให้จะรู้ดีว่าทุกหมัดที่ปล่อยออกมาจะยิ่งช่วยให้ติงอิงเข้าใจกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ามากขึ้น ทว่าการออกหมัดของเขากลับยังไร้ซึ่งความกังวล ทำลายศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อย หากติงอิงไม่ตายภายใต้หมัดของตัวเอง ตัวเองก็ต้องเส้นชีพจรปริแตก จิตวิญญาณแหลกสลาย เลือดเนื้อพังทลาย ตายอยู่ท่ามกลางการส่งหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าหมัดสุดท้ายไปอย่างองอาจผึ่งผาย
หมัดที่สิบหก
ติงอิงพยักหน้ารับเบาๆ แล้วหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างอารมณ์ดี เห็นเพียงว่าท่ามกลางกวานดอกบัวสีเงินเหนือศีรษะของเขามีประกายแสงเหมือนน้ำตกที่ไหลรินลงมาอาบย้อมไปทั่วร่างของติงอิง
คราวนี้ติงอิงแค่ถอยสามก้าวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
เฉินผิงอันเก็บหมัด อาศัยแรงดีดสะท้อนกลับของหมัดดีดตัวออกไปข้างหลังหลายจั้ง
พอยืนได้มั่นคงแล้วก็ยกแขนขึ้น ใช้หลังมือปาดคราบเลือด
ติงอิงไม่มีความคิดจะเปลี่ยนจากการป้องกันมาเป็นการโจมตี ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมไม่ออกหมัดต่อแล้วเล่า? ดูจากสภาพของเจ้า อย่างน้อยก็น่าจะยังประคับประคองไปได้อีกสองหมัด อย่างน้อยที่สุดน่ะนะ”
ติงอิงมองคนหนุ่มที่เงียบงันไม่พูดไม่จาแล้วยกมือขวาขึ้น “ไม่คิดบ้างหรือว่าหากออกหมัดอีกสักครั้งหรือสองครั้งจะสามารถต่อยให้ข้าปล่อยสองนิ้วนี่ได้?”
ติงอิงถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย หากไม่เรียกใช้กวานดอกบัว ลางสังหรณ์ก็บอกกับเขาว่าตัวเองต้องเผชิญกับอันตรายแน่นอน มีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องพินาศย่อยยับกันไปทั้งสองฝ่าย
แต่คนเราก็ไม่ควรหวังให้ทุกเรื่องสมดังใจปรารถนาไปเสียหมัด แค่สิบกว่าหมัดนี้ก็มากพอให้เขานำมาศึกษาใคร่ครวญต่อแล้ว
มองออกว่ากระบวนท่าหมัดนี้คือหนึ่งในกระบวนท่าที่มีพลังพิฆาตสูงสุดของเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นี้แล้ว
ติงอิงรู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอ อันดับต่อไปควรจะทำเรื่องที่เป็นจริงเป็นจังได้แล้ว
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน
ทุกอย่างล้วนแปลกประหลาดถึงเพียงนี้
แต่ก็เพราะเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้รู้สึกว่าลมปราณที่ไม่สงบในหัวใจใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที
เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วได้เห็นหลิวเสี้ยนหยางนอนแบ๊บอยู่บนเตียง หลังจากเดินออกมาเขาก็มุ่งหน้าไปยังสะพานอย่างเงียบเชียบ
ความรู้สึกสิ้นหวังเช่นนั้น ต่อให้ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เดินมาไกลขนาดนี้ ฝึกหมัดมามากมายถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันก็ยังคงจดจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
ฟ้าดินกว้างใหญ่ เดียวดายเพียงลำพัง เมื่อเจอกับหลุมใหญ่บางแห่ง ให้ตายเจ้าก็ข้ามไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นหากไม่อัดอั้นจนตายก็เท่ากับรนหาที่ตาย ยังจะทำยังไงได้อีก?
ในเวลานี้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวยังเหมือนถูกปิดผนึกเอาไว้ ชูอีไม่สามารถออกมาได้
ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ยังมีแต่กลิ่นอายความตายเข้มข้น
ส่วนสืออู่ที่เป็นทั้งกระบี่บินและเป็นทั้งวัตถุฟางชุ่นก็ถูกติงอิงพันธนาการอยู่ระหว่างสองนิ้วอย่างแน่นหนาตลอดเวลา
ยังดีที่ในปีนั้นเฉินผิงอันเคยเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรมาก่อน
เฉินผิงอันถ่มเลือดทิ้งหนึ่งคำ “เจ้าลืมของบางอย่างเอาไว้ ไม่ได้เก็บมาหรือเปล่า?”
ติงอิงหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าหมายถึงกระบี่ที่เจ้าวางไว้บนโต๊ะเล่มนั้นน่ะหรือ? เจ้าคิดจะไปหยิบมันเพื่อมาสังหารข้า? แต่เมื่ออยู่ภายใต้เปลือกตาของข้า เจ้าคิดว่าตัวเองจะเดินไปถึงที่นั่นไหม?”
ติงอิงถามเองตอบเอง ส่ายหน้าพูดว่า “ขอแค่ข้าไม่เต็มใจให้เจ้าไป เจ้าเฉินผิงอันก็เดินออกไปได้ไม่ถึงสิบจั้ง ข้าแน่ใจเลยว่าเจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในกลุ่มของเจ๋อเซียนเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ หาไม่แล้วข้าก็คงไม่อาจกักตัวกระบี่บินเล่มเล็กๆ นี้ไว้ได้”
เฉินผิงอันแสยะปาก ปรายตามองกวานเต๋าเหนือศีรษะของติงอิง “ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี เจ้าล้วนยึดครองไปหมดแล้ว สะใจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ติงอิงหรี่ตาลง ปราณสังหารพลันท่วมทะลักออกมา “อ้อ? ไอ้หนู ไม่ยอมแพ้งั้นรึ แต่เจ้าจะทำอย่างไรได้เล่า?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดคำว่า ‘มา’ อะไรนั่น?”
เฉินผิงอันยกแขนข้างหนึ่งปาดออกมาเบื้องหน้า “ถูกไหม?”
ติงอิงไม่เอ่ยอะไร แค่ตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะเยียบเย็น
ในใจคิดว่าเจ๋อเซียนที่ไม่เหมือนใครผู้นี้ต้องกำลังคิดดิ้นรนก่อนตายอย่างแน่นอน
เขาแค่รอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวก็พอ
เฉินผิงอันพูดในใจตัวเองว่า ‘กระบี่ จงมา!’
ในห้องด้านข้างของบ้านหลังนั้น กระบี่ปราณยาวที่แค่ปราณกระบี่ก็หนักหลายสิบจินพลันพุ่งออกจากฝักในเสี้ยววินาที
จากนั้นก็เหมือนว่าจะติดตามร่องรอยคร่าวๆ ของเฉินผิงอันที่ทิ้งไว้ในครั้งสุดท้ายที่เดินออกจากประตู ราวกับต้องการจะสำแดงบารมีต่อฟ้าดินแห่งนี้ กระบี่ยาวจึงเหมือนสายรุ้งสีขาวที่แหวกทะลุหน้าต่าง พุ่งออกจากลานบ้านมาถึงตรอก พุ่งผ่านตรอกเข้ามาในถนนเส้นใหญ่ พุ่งผ่านไหล่ติงอิงไป
เมื่อเฉินผิงอันคว้าจับ ‘รุ้งขาว’ เส้นนี้
ปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ปานประหนึ่งแม่น้ำสายยาวยังคงเหลือค้างไว้ในโลกมนุษย์ มีทั้งคดงอ มีทั้งที่เป็นเส้นตรง แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะสลายหายไป
เมื่อเฉินผิงอันยื่นมือไปคว้ากระบี่ปราณยาวเล่มนั้นมา
ตัวกระบี่เหมือนน้ำค้างแข็ง ปราณกระบี่ก็เหมือนรุ้งขาว ชุดคลุมตัวยาวยิ่งเจิดจ้าเหนือกว่าหิมะ
ในโลกมนุษย์แห่งนี้ เฉินผู้ไร้เทียมทานในหนึ่งช่วงแขน
นอกเหนือจากหนึ่งแขนแล้วยังมีกระบี่อีกหนึ่งเล่ม
—–