ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีท่าทางโอหังวางโตผู้นี้ คือยอดฝีมือที่เพิ่งจะมาอยู่ในกองทัพนี้ได้ไม่นาน เล่าลือกันว่าเคยเป็นคนรู้ใจของบุคคลยิ่งใหญ่บางคนในวังหลวง แต่เนื่องจากบุคคลยิ่งใหญ่ผู้นั้นสูญเสียอำนาจ เขาจึงต้องออกจากเมืองหลวงมาหาคุณความชอบทางการทหาร คนผู้นี้เห็นอำนาจและความสูงศักดิ์ของในเมืองหลวงมาจนเคยชิน จึงไม่ค่อยให้ความเคารพนับถือเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งที่ออกมาอยู่ชายแดนด้านนอกหลายปีคนหนึ่งเท่าใดนัก
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำย้ายเส้นสายตามองไปยังหนึ่งม้าหนึ่งคนที่อยู่ข้างกายซ่งเฟิง “เจ้าเด็กหน้าขาวแซ่เฉา ขอแค่เจ้าล้างก้นให้สะอาดไปพบข้า ข้าจะมอบความชอบทางการทหารที่จะได้รับจากนี้ให้เจ้าไปเปล่าๆ เลย เป็นอย่างไร?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ถูกหมิ่นเกียรติเพียงแค่ยิ้มตาหยี ยังไม่ลืมโบกมือให้ชายฉกรรจ์ เหมือนจะบอกให้เขารีบไปลงสนามรบ อย่ามัวเสียเวลาอยู่อีกเลย
ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เขากระดกก้นขึ้นสูงอยู่บนหลังม้า เอื้อมมือไปด้านหลัง ตบป้าบเข้าที่ก้นตัวเองแรงๆ หนึ่งทีแล้วส่ายก้นไปมา ก่อนจะนั่งกลับลงไปบนอานม้า ควบตะบึงเข้าหาจุดที่แสงกระบี่สาดส่อง
ทหารม้ายอดฝีมือข้างกายซ่งเฟิงต่างก็โมโหขุ่นเคือง
มีเพียงซ่งเฟิงและบุรุษชุดผ้าฝ้ายเท่านั้นที่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
กองทัพม้ากองนี้ค่อยๆ เยาะย่างตรงไปยังศูนย์บัญชาการณ์ทัพใหญ่
ในร้านที่สร้างขึ้นง่ายๆ หยาบๆ แห่งหนึ่งบริเวณใกล้เคียงกับประตูเมืองมีคนสามคนที่เลือกอำพรางลมปราณของตัวเองไว้ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนจบสงครามใหญ่ในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการรบครั้งใดทั้งสิ้น ปล่อยให้ประตูเมืองถูกตีแตก ปล่อยให้ราชวงศ์ต้าหลีสารเลวนั้นบุกเข้ามาในเมือง ปลิดชีพทุกคนที่กล้าถืออาวุธจนสิ้น
คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเมืองขนาดใหญ่ทางทิศเหนือแห่งนี้ ก่อนที่กองทัพต้าหลีจะมาล้อมเมือง แม่ทัพใหญ่ที่พิทักษ์เมืองก็ป่าวประกาศแก่ภายนอกไว้แล้วว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ที่เมืองหลวง คนที่เหลืออีกสองคน คนหนึ่งคือผู้นำสำนักตระกูลเซียนบนภูเขาของแคว้นซีเหอ ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้รับใช้เชื้อพระวงศ์ของแคว้นใกล้เคียง มีตบะโอสถทอง!
เทพเซียนโอสถทองท่านหนึ่ง ประตูมังกรสองท่าน พวกเขามาแอบอำพรางกายอยู่ที่นี่ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือเมืองอันเป็นที่ตั้งของกองทัพ เพราะในความเป็นจริงก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
แผนการลับครั้งนี้เป็นของแคว้นเล็กบริเวณใกล้เคียงหกแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นซีเหอด้วย วางไว้ก็เพื่อสังหารซ่งเฟิง!
หวังสังหารลูกหลานเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีกลางสนามรบ!
หากทำสำเร็จ ต่อให้แคว้นจะล่มสลาย แต่ก็สามารถปลุกกำลังใจผู้คนได้มาก ต่อให้บนแผ่นดินของแคว้นทั้งหกจะถูกกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีบดขยี้ผ่านไป แต่อย่างน้อยก็ยังมีผู้ผดุงคุณธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนหยัดยืนขึ้นมาได้อย่างห้าวหาญ ซึ่งจะต้องทำให้สัตว์เดรัจฉานต้าหลีกลุ่มนี้เหนื่อยกับการรับมือ หาความสงบไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว และในเวลาสั้นๆ ก็จะไม่มีวิธีนำรากฐานของหกแคว้นไปใช้เป็นทรัพยากรในการลงใต้ได้อย่างราบรื่น
ส่วนข้อที่ว่าการคาดการณ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างที่หวังไว้หรือไม่ เกรงว่าคนทั้งสามและกษัตริย์ของอีกหกแคว้นก็คงไม่ยินดีจะคิดให้ลึกซึ้ง
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องมัวพะวงอีกแล้ว แผ่นดินแตกแยก สรรพชีวิตมอดม้วย คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว!
หากทำสำเร็จ ชื่อเสียงก็จะขจรขจายไปไกล สละกิจการและรากฐานที่อยู่ทางทิศเหนือทิ้ง หนีเอาชีวิตรอดไปทางใต้ มูลค่าในตัวเองก็จะเพิ่มขึ้นมาก คิดจะกลายเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของราชวงศ์ใหญ่สักแห่งหนึ่ง จะยากตรงไหน?
ไม่มีหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต อายุขัยกำลังจะสิ้นสุดลง ทำตัวขี้ขลาดหวาดกลัวอยู่บนภูเขามาสามร้อยปี ก่อนตายก็ควรจะมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่กล้าหาญสักครั้ง
คนบนภูเขาสามคนที่อยู่ตรงนี้ ต่างคนต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไป
ในบรรดาคนของกองทัพนี้ ซ่งเฟิงมองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วฝ่ามือที่กำเชือกบังคับม้าไว้แน่นกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
บุรุษหล่อเหลาที่มีใบหน้าเหมือนจิ้งจอกคนนั้นยิ้มบางๆ ให้กับซ่งเฟิง “มีข้าเฉาจวิ้นอยู่ด้วย เจ้าไม่มีทางตายหรอก”
บุรุษที่เรียกตัวเองว่า ‘เฉาจวิ้น’ พลันถามขึ้นว่า “ช่วยเหลือเจ้าครั้งนี้ เจ้าซ่งเฟิงก็ต้องช่วยข้าครั้งหนึ่ง ไม่ยากหรอก แค่ในรายชื่อสิ่งที่เสียหายในสงครามซึ่งรายงานไปทางราชสำนัก บวกการกระทำของผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเพิ่มเข้าไปด้วย ตกลงไหม? ง่ายมากเลย แค่บอกว่าผู้ฝึกลมปราณผู้นั้นตายไปด้วยน้ำมือของผู้ฝึกลมปราณฝั่งตรงข้ามที่หลบซ่อนตัวอยู่ เพราะสละตัวเองปกป้องเจ้านายอย่างกล้าหาญ”
ซ่งเฟิงพยักหน้ารับ
เฉาจวิ้นดึงมือสองข้างออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้ฝ่ามือแยกไปกดลงบนด้ามกระบี่สั้นและยาว ก่อนจะค่อยๆ ดันพวกมันออกจากฝักช้าๆ
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
สันหลังของม้าที่นั่งอยู่ระเบิดหักท่อน ม้าตายคาที่
เฉาจวิ้นพุ่งฉิวออกไป เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไม่มีเหลือ
กลางอากาศยังคงเหลือรุ้งยาวที่มีประกายแสงไหลรินสองเส้นพาดผ่าน
หนึ่งเค่อต่อมา
เมื่อผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองคนสุดท้ายมือขาดเท้าขาด จำต้องเลือกระเบิดโอสถทองด้วยความเคียดแค้น บนชุดผ้าฝ้ายตัวยาวของผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งจนเรียกได้ว่าวิปริตผู้นี้กลับไม่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่จุดเดียว ตอนที่ผู้ฝึกลมปราณโอสถทองฆ่าตัวตาย เขาก็ขี่กระบี่จากไปอย่างสง่างาม บ้านเรือนในรัศมีร้อยจั้งใต้ฝ่าเท้าที่กระบี่ของเขาพุ่งผ่านล้วนพังราบเป็นหน้ากลอง ฝุ่นคลุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน
ซ่งเฟิงเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
แล้วถึงได้ควบม้าเข้าเมืองอย่างวางใจ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ตรงไปยังจวนของแม่ทัพใหญ่ แต่ไปยังสนามรบที่ก่อนหน้านี้มีปราณกระบี่พุ่งขึ้นมาก่อน
รอเขาไปถึงที่นั่น ก็เห็นว่าท่ามกลางซากปรักหักพังมีศพของคนตระกูลเซียนต้าหลีที่ใช้ค้อนคู่ทำลายเมืองนอนจมอยู่กลางกองเลือด ตรงบริเวณแขนถูกทวนยาวเล่มหนึ่งปักทะลุตรึงแน่น ผู้ฝึกกระบี่หล่อเหลาที่สวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวยืนอยู่บนหัวทวน กำลังอ้าปากหาว พอเห็นซ่งเฟิงก็ยิ้มกวักมือเรียกเขา
หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกกระบี่ที่มีนามว่าเฉาจวิ้นจะเป็นฝ่ายย้ายไปอยู่กองลาดตระเวนธรรมดาที่ทำหน้าที่สอดแนมศัตรูกองอื่น ไม่เสียเวลาอยู่ข้างกายซ่งเฟิงอีกต่อไป
ผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศ คุณความชอบทางการทหารแต่ละครั้งน้อยนิด ทว่ากลับต่อเนื่อง ได้มาเจอกับทัพต้าหลีที่กรีฑาทัพลงใต้บนสนามรบของแคว้นใกล้เคียง เขาใช้วิธีการที่เสี่ยงอันตรายปลิดชีพทหารลาดตระเวนอย่างเงียบเชียบ ทุกครั้งที่ลงมือจะหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร ไม่เคยเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งปีก็ฆ่าทหารลาดตระเวนฝีมือดีของต้าหลีไปแล้วหนึ่งร้อยหกสิบคน
ต้องรู้ว่าทหารลาดตระเวนที่ทำหน้าที่สอดแนมสถานการณ์ทางฝั่งศัตรูล้วนคัดเลือกมาจากยอดฝีมือในยอดฝีมืออีกที
เนื่องจากศึกหลายครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพียงการต่อสู้อย่างผิวเผินที่ปะทะกันเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้รวมตัวกันเป็นศึกใหญ่อยู่ในสมรภูมิรบบางแห่ง ผู้ฝึกตนหนุ่มสำนักการทหารผู้นี้จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจและถูกทหารต้าหลีล้อมสังหาร แต่ฝ่ายต้าหลีก็เริ่มมีการระแวดระวังในทุกด้าน เพิ่มจำนวนผู้ฝึกลมปราณที่ติดตามกองทัพให้มากขึ้น โดยที่อำพรางตัวอยู่ในกองทัพ หวังจะสร้างฉากตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นรอตะครุบอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อผู้ฝึกลมปราณติดตามกองทัพที่มีขอบเขตชมมหาสมุทรสองคนถูกฆ่าตายไป ในที่สุดทหารระดับสูงของกองทัพต้าหลีก็ให้ความสำคัญกับเจ้าหมอนี่อย่างจริงจัง แต่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนี้กลับเผ่นหนีไป อ้อมเป็นวงใหญ่ สุดท้ายก็มาอยู่บนสนามรบแคว้นซีเหอที่ซ่งเฟิงเป็นผู้นำทัพ
เฉาจวิ้นได้มาพบเขา เป็นความบังเอิญ
แต่เขาได้มาพบเฉาจวิ้น ต้องเป็นความแน่นอนบางอย่าง เดินอยู่ริมแม่น้ำบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกเลยได้อย่างไร
เฉาจวิ้นมองเขาฆ่าทหารลาดตระเวนเจ็ดคนที่อยู่ข้างกายจนหมด แล้วจึงสังหารเขา
ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ามาเข้าร่วมกับกองทัพ มองดูเหมือนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ถูกแต่งตั้งเป็นโหว เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพเหมือนเป็นเรื่องง่ายคล้ายการเอื้อมมือไปหยิบของในกระเป๋า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ
เฉาจวิ้นเลียนแบบชายฉกรรจ์ถือค้อนทำลายเมืองด้วยการตัดศีรษะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เดิมทีควรมีอนาคตยาวไกล เพียงแต่ไม่ได้เอามาแขวนไว้ที่เอว แต่แขวนไว้ข้างหนึ่งของอานม้า จากนั้นก็มุ่งหน้าลงใต้เพียงลำพัง เขาจะเลียนแบบคนผู้นี้อีกครั้ง นั่นคือควบม้าพร้อมอาวุธคู่กายไปลอบฆ่าเหล่าแม่ทัพใหญ่ในกองทัพของแคว้นซีเหอ
เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าเจ้าของศีรษะที่แขวนอยู่ข้างอานม้า
แต่ความต่างเดียวระหว่างคนทั้งสองก็คือ เขาเฉาจวิ้นมีผู้พิทักษ์มรรคา เวลาเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ปล่อยพลังเข่นฆ่าสังหารให้สาแก่ใจแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องคิดหาทางหนีทีไล่อะไรทั้งนั้น
เขาก้มหน้าลงยิ้ม ใช้มือตบไปที่ศีรษะของคนที่ตายตาไม่หลับ เลือดบนศีรษะแข้งหอดไปนานแล้ว เส้นผมก็แห้งกรอบเหมือนหญ้าแข็งๆ เฉาจวิ้นยิ้มตาหยีพูดว่า “น่าเสียดายที่เจ้าไม่มี”
น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่งดังขึ้น “ทำไมเจ้าไม่ช่วยทหารลาดตระเวนพวกนั้น อยู่ในสนามรบด้วยกันก็เหมือนเป็นสหายกัน”
เฉาจวิ้นกล่าวยิ้มๆ “หากข้าไม่อยู่ที่นี่ พวกเขาตายไปก็ถือว่าตายเปล่า แต่พอข้าอยู่ด้วย จะดีจะชั่วก็มีคนช่วยพวกเขาแก้แค้น พวกเขาไม่ควรขอบคุณข้าหรอกหรือ?”
ตระกูลเซียนแล้งน้ำใจ
การฝึกตนบนภูเขาห่างไกลจากโลกมนุษย์ ยิ่งนานวัน ระยะห่างก็ยิ่งยาวไกล
นานวันเข้าผู้ฝึกตนหลายคนจึงแล้งน้ำใจต่อโลกมนุษย์ อย่างมากสุดก็แค่เหมือนคำกล่าวที่ว่า ข้าไม่สร้างความลำบากใจให้กับโลกใบนี้ แต่ก็อย่าคาดหวังว่าข้าจะปฏิบัติต่อโลกใบนี้เป็นอย่างดี
……
บางแห่งในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหญิงเสื้อผ้าขาดวิ่นคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายซาลาเปาเนื้อ นางจ้องมองซึ้งนึ่งซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่มีไอร้อนลอยกรุ่น ได้กลิ่นหอมจางๆ โชยมา น้ำลายก็ไหลด้วยความอยากกิน
ชายฉกรรจ์ที่เป็นเถ้าแก่ร้านรำคาญที่นางขวางหูขวางตาจึงตวาดไล่อย่างโมโห เด็กหญิงยืดอกเชิดหน้า แบฝ่ามือแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีเงิน
เหรียญทองแดงห้าเหรียญ ห้าอีแปะ
ชายฉกรรจ์ไม่แม้แต่จะมองนางเต็มๆ ตา ยังคงบอกให้นางไสหัวไป เห็นว่านางยังไม่ยอมไปจึงยกเก้าอี้ขึ้นทำท่าจะฟาดนาง
ทำเอาเด็กหญิงตกใจรีบวิ่งหนี
วิ่งห่างไปไกลแล้ว เด็กหญิงถึงหันกลับมามองร้านนั้นด้วยสายตาอาฆาต แสยะปากใส่ หันตัวกลับเดินไปอีกร้านหนึ่งที่ขายแผ่นแป้งย่าง ซื้อมาสองแผ่นใหญ่ ยังเหลือเงินอีกหนึ่งอีแปะ
อันที่จริงกินแผ่นเดียวนางก็ผ่านพ้นวันนี้ไปได้แล้ว และตอนแรกนางก็กินแค่แผ่นเดียวจริงๆ
ทว่าเดินไปเดินมา ความคิดในหัวของนางก็เริ่มตีกัน สุดท้ายจึงหามุมกำแพงมุมหนึ่ง หยิบเอาแผ่นแป้งย่างที่เดิมทีเก็บไว้เป็นอาหารของวันพรุ่งนี้ออกมากิน
พอกินหมด ดูเหมือนนางจะรู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้นจึงหยิกแขนตัวเองแรงๆ หนึ่งที แต่พอลุกขึ้นยืน เด็กหญิงที่น้อยครั้งจะอิ่มท้องแบบนี้ก็ลิงโลดขึ้นมา สาวเท้าวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้า บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นชี้กระดาษว่าวที่ลอยอยู่เหนือเมืองหลวงด้วยความอิจฉา
คืนนี้นางไม่ได้กลับไปยังรังเล็กที่เป็น ‘บ้านของตัวเอง’ อากาศตอนกลางคืนของหน้าร้อนเย็นสบาย นอนที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ทำให้ตายหรอก แค่ยุงเยอะอาจจะทำให้รำคาญหน่อยก็เท่านั้น
ตรงประตูหน้าบ้านคนมีเงินหลังหนึ่งที่สถานะทางบ้านค่อนข้างจะมั่นคงตั้งวางสิงโตหินที่สลักด้วยฝีมือหยาบๆ เอาไว้ อีกทั้งรูปร่างยังแปลกประหลาด ไม่ได้อยู่ในท่านั่งยอง แต่สี่ขาแนบพื้น แหงนหน้ามองไปไกล สิงโตหินขนาดไม่สูงไม่ต่ำ พอดีให้เด็กหญิงปีนขึ้นไปบนหลังได้ นางนั่งดูดาวของราตรีฤดูร้อนอยู่ด้านบนก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ควักเอาเหรียญทองแดงที่เหลือเหรียญสุดท้ายออกมา
มองผ่านช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กลางเหรียญไปยังดวงดาวบนท้องฟ้ากว้างใหญ่
นาทีนั้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นนางก็เก็บซ่อนเหรียญทองแดงไว้เป็นอย่างดี ฟุบตัวนอนคว่ำบนหลังสิงโต เพียงไม่นานก็ส่งเสียงกรนเบาๆ
สิงโตหินอีกตัวที่อยู่ข้างกัน เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น เขาหันหน้ามามองเด็กหญิงที่หลับสนิทแล้วขมวดคิ้วแน่น ยากที่จะวางใจลงได้
แต่แล้วเฉินผิงอันก็ไม่คิดอะไรมากอีก เขาเริ่มหลับตาลงฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ท่าทางของเด็กหญิงที่ฟุบหลับอยู่บนหลังสิงโตหินเหมือนคนที่กำลังฝันหวาน
—–