อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ยากนักกว่าจะเจอคนที่พูดภาษาทางการบุรพแจกันสมบัติทวีปได้ เพียงแต่ว่าเดินทางมาไกลขนาดนี้ เขารู้หลักการที่ว่าไม่ถามชื่อของพระ ไม่ถามอายุของนักพรตแล้ว เมื่อเจอกับคนแปลกหน้า ละลาบละล้วงถามอีกฝ่ายว่าแซ่อะไรมาจากไหนก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก
เฉินผิงอันจึงพาคู่สามีภรรยาเดินเข้าไปในหอจิ้งเจี้ยน บอกเล่าในสิ่งที่จินซู่เล่าให้เขาฟังแก่คนทั้งสองไปรอบหนึ่ง อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นคนความจำดีมาตั้งแต่เด็ก ของเลียนแบบกระบี่เซียนและภาพวาดเซียนกระบี่ที่อยู่ในแต่ละห้อง ขอแค่ตั้งใจจดจำ เฉินผิงอันก็จะสามารถบอกชื่อแซ่ ชื่อกระบี่และประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ให้คู่สามีภรรยาฟังได้ทันที
พาคู่สามีภรรยาเดินชมหอจิ้งเจี้ยนแล้วเฉินผิงอันก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา คิดว่าในเมื่อส่งมอบกระบี่ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวให้นานอีกสักหน่อย ไล่จดบันทึกเซียนกระบี่และกระบี่เซียนบางส่วนในหอจิ้งเจี้ยนที่ต้องตาเอาไว้ วันหน้าพอกลับไปถึงเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ว่างงานหรือรู้สึกเบื่อเมื่อไหร่ก็สามารถเอามาพลิกเปิดดู ก็เหมือนยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องมายังไม้ไผ่แผ่นเล็กที่บันทึกคำกลอนงดงามและหลักการในโลกมนุษย์ ต่อให้เฉินผิงอันเห็นไกลๆ ก็ยังรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ ความอบอุ่นนั้นราวกับว่าแสงแดดไม่ได้ส่องลงบนไม้ไผ่แผ่นเล็กและตัวอักษร แต่ส่องลงบนหัวใจของเขาเอง
ตอนที่คัดลอกสำเนาสามารถฝึกตัวอักษรได้พอดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกพู่กัน หมึกและกระดาษที่ภูเขาห้อยหัวจะแพงมากหรือไม่
สตรีแต่งงานแล้วที่ยังสาวคนนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าความจำดีมาก”
เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง หันไปส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย ความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ บนภูเขาไม่นับเป็นอะไรได้ คิดดูแล้วฮูหยินท่านนี้คงแค่ชวนคุยอย่างมีมารยาทเท่านั้น
คราวนี้เฉินผิงอันดูถูกตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ เพราะสามีภรรยาที่สายตาดีเยี่ยมคู่นี้แน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันมองไปยังของเลียนแบบกระบี่เซียนเล่มใดเล่มหนึ่งล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจ นี่เรียกว่าตายังมองไม่เห็น แต่จิตกลับไปถึงก่อนแล้ว นี่คือคอขวดที่เลื่องลือจุดหนึ่งของเซียนกระบี่ เป็นตัวตัดสินระดับความสูงในท้ายที่สุดของเซียนกระบี่ ว่าจะกลายเป็นเซียนกระบี่น้อยที่ถูกกระบี่บินกักขังเจตจำนงเดิม หรือจะเป็นเซียนกระบี่บนมหามรรคาที่สามารถควบคุมปณิธานกระบี่ได้นับพันนับหมื่น
เดินผ่านห้องต่างๆ มาเกินครึ่งแล้ว แต่เฉินผิงอันก็ยังคงติดตามคู่สามีภรรยาชมแต่ละห้องอย่างละเอียดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อันที่จริงพอเล่าประวัติคร่าวๆ ของหอจิ้งเจี้ยนไปแล้ว หลังจากนั้นก็แค่อาศัยความสนใจไปเลือกชมเซียนกระบี่หรือกระบี่มีชื่อเสียงที่ตัวเองชื่นชมเท่านั้น ทว่าสตรีแต่งงานแล้วยังคอยหันมาชวนเฉินผิงอันคุยอยู่เป็นระยะ เฉินผิงอันจึงติดตามพวกเขาไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบ บุรุษผู้นั้นไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปรอพวกเจ้าข้างหน้า”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดอะไรมาก หันมาพูดคุยกับเฉินผิงอันต่ออีกครั้ง แม้ว่าเฉินผิงอันจะมาที่หอจิ้งเจี้ยนแล้วรอบหนึ่ง แต่นอกจากเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงนานนับพันปีซึ่งมีรูปวาดแปะอยู่บนผนังเหล่านี้แล้ว อันที่จริงเขาก็แทบจะไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย กลับเป็นสตรีแต่งงานแล้วผู้ซึ่งมาเยือนที่นี่ด้วยความเลื่อมใสที่พูดจ้อไม่หยุด เล่าเรื่องราวอันเป็นตำนานของเซียนกระบี่หลายท่าน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกแซ่ต่งอะไรนั่น บอกว่าการที่กระบี่พกของเขามีชื่อว่า ‘สามอสุภ’ นั้น ไม่ใช่เพราะเขาศรัทธาในลัทธิเต๋า (สามอสุภในลัทธิเต๋ากล่าวไว้ว่าในร่างกายมนุษย์มีสามผีที่ทำให้มนุษย์เกิดความปรารถนาในการกระทำชั่ว) แต่เป็นเพราะเขาเคยบุกเดี่ยวเข้าไปยังใจกลางของโลกเผ่าปีศาจ สังหารปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนไปสามตน (อสุภแปลได้ว่าซากศพ สามอสุภจึงหมายความว่าสามศพ) ด้วยเหตุนี้ตระกูลต่งจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังเจ้าประมุขตระกูลต่งแทบทุกรุ่นต่างก็ต้องเคยสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตหยกดิบ หรือไม่ก็ขอบเขตเซียนด้วยมือตัวเองมาก่อน…
ในเมื่อพูดถึงตระกูลต่ง สตรีแต่งงานแล้วจึงพาเฉินผิงอันไปดูของเลียนแบบกระบี่ที่ชื่อว่า ‘จู๋เชี่ย’ (หีบไม้ไผ่ใบเล็ก) ด้วยความกระตือรือร้น เจ้าของกระบี่คือบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลต่งที่ฟื้นฟูตระกูลที่กำลังตกต่ำให้กลับมาเจริญรุ่งเรือง ตอนนั้นเดิมทีควันธูปของตระกูลต่งเบาบางเต็มที เจ้าประมุขถูกปีศาจใหญ่ตนหนึ่งทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ความตาย ปราณกระบี่ในตระกูลเกิดสภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่อายุน้อยคนหนึ่งของตระกูลต่งก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว นำกระบี่ ‘สูงหนึ่งจั้ง’ ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดินไปบนเส้นทางแห่งการสังหารปีศาจใหญ่ที่เหล่าบรรพบุรุษเคยเดินผ่านมาก่อน ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนไม่เห็นดีเห็นงามด้วย สองร้อยปีให้หลัง ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ก็พาหนึ่งคนหนึ่งกระบี่กลับมากำแพงเมืองปราณกระบี่ และยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาใบหนึ่ง ด้านในบรรจุศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสามตนหนึ่ง และก่อนที่เขาจะขึ้นไปบนหัวกำแพง ก็ได้ใช้กระบี่สูงหนึ่งจั้งที่ใกล้จะหักพังเต็มทีเล่มนั้นสลักตัวอักษรต่งลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่
นับแต่นั้นมา กระบี่ที่คนผู้นี้หลอมขึ้นใหม่ก็มีชื่อว่าจู๋เชี่ย
และตระกูลต่งก็กลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีน้ำหนักมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อได้พูดคุยกัน สตรีแต่งงานรู้ว่าเด็กหนุ่มแซ่เฉินก็ถามเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่าได้สังเกตกระบี่เล่มที่ชื่อว่า ‘เฟยไหลซาน’ (ภูเขาบินมา) บ้างหรือไม่
เฉินผิงอันยิ้มเขิน รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เพราะว่าเจ้าของกระบี่เซียนที่มีชื่อประหลาดเล่มนี้ แซ่เฉิน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษและจดจำได้อย่างชัดเจน อันที่จริงขอแค่มีเซียนกระบี่แซ่เฉิน เฉินผิงอันก็จะตั้งใจจดจำทั้งเซียนและกระบี่ที่พวกเขาพกติดตัว หากไม่เป็นเพราะไม่เคยเรียนวาดภาพมาก่อน อีกทั้งข้างกายยังไม่มีจิตรกรฝีมือเลิศล้ำอย่างบนเกาะกุ้ยฮวาให้ขอความรู้ เฉินผิงอันก็หวังว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้จะสามารถพกพาเอาลักษณะท่าทางของ ‘เซียนกระบี่’ เหล่านี้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกันได้
หลังจากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ยิ้มและเลือกเอาเรื่องราววีรกรรมอันห้าวเหิมของเซียนกระบี่แซ่เฉินสองสามคนที่เป็นคนรู้จักมาเล่าให้เฉินผิงอันฟัง
เมื่อมีคนตั้งใจใช้คำพูดมาบรรยาย ไม่ใช่แค่ยกคำไม่กี่ประโยคในบันทึกที่กระชับรัดกุม ถ้อยคำเย็นชามาเล่า เรื่องราวก็มักจะเต็มไปด้วยสีสันน่าสนใจเสมอ ราวกับมีป้ายอนุสรณ์ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำแห่งกาลเวลา มีต้นหลิ่วมากมายยืนต้นเรียงราย แค่คนรุ่นหลังมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ก็สัมผัสได้ถึงร่มเงาของพวกมัน นอกร่มเงาคือลมมรสุมที่โถมกระหน่ำ แม่น้ำแห่งกาลเวลาพัดกรากไหลเชี่ยว
เฉินผิงอันที่เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว เวลานี้กลับอดไม่ไหวยกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง
แม่นางที่ตัวเองชอบไม่ชอบตน เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก แต่ฟ้าไม่ได้ถล่มลงมา ควรจะมีชีวิตอย่างไรก็มีชีวิตอยู่ต่อไป
นี่คือเรื่องที่จู่ๆ เฉินผิงอันก็ใคร่ครวญจนเข้าใจตอนที่กลับเข้ามาในหอจิ้งเจี้ยนอีกครั้ง
แต่ไม่ใช่ว่าพอรู้จักเซียนกระบี่ที่สง่างามหลายคนแล้ว เฉินผิงอันจะรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองเสียใจนี้เป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีน้ำหนักอะไร
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าตอนที่ถูกทุบตีให้รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเสียอีก
ความรู้สึกเป็นทุกข์สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน ฝ่ายแรกเมื่ออดทนให้ผ่านไปได้ มันก็ผ่านไป
แต่ความเสียใจอย่างหลัง ดูเหมือนว่าหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี สิบปี ร้อยปี หรืออาจจะชั่วชีวิตก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผ่านมันไปได้
ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ พอเฉินผิงอันคิดว่าหากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ตนชอบผู้หญิงคนอื่น ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้เขาเศร้าเข้าไปอีก
ในตำราบอกว่าดื่มเหล้าดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาถึงได้ตกใจกลัวจนไม่กล้าดื่มเหล้าอีก
ไม่ทันรู้ตัว จากตอนแรกที่เฉินผิงอันเป็นผู้นำทาง ถึงท้ายที่สุดกลับเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่ช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังแทนอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่คนทั้งสองไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย
จากนั้นเฉินผิงอันก็เห็นว่าบุรุษคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูห้องสุดท้าย หันมาส่งยิ้มให้ตนกับสตรีแต่งงานแล้ว
บุรุษไม่ชอบพูด ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินชมหอจิ้งเจี้ยนด้วยกัน เขาทำเพียงแค่หันมามองประเมินเฉินผิงอันเป็นระยะเท่านั้น
เดินเข้าไปในห้องสุดท้าย เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชั้นวางกระบี่จูอวี๋และโยวหวง สตรีแต่งงานแล้วร้องอุทานอย่างตกตะลึง “ทำไมสองท่านนี้ถึงไม่มีภาพวาดล่ะ? ได้ยินมาว่าเจ้าของกระบี่จูอวี๋คือบุรุษที่หล่อเหลามากของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชียวนะ”
เฉินผิงอันเหงื่อตกเล็กน้อย แอบชำเลืองตามองบุรุษที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง ขอให้เขาอย่าแสดงความหึงหวงออกมาเลย
คิดไม่ถึงว่าบุรุษจะยิ้มหน้าบานทันที “สตรีเจ้าของโยวหวงก็คือสาวงามที่หาได้ยากในใต้หล้าเหมือนกัน”
เฉินผิงอันรู้สึกไม่พอใจแทนสตรีแต่งงานแล้วขึ้นมาทันที ผู้หญิงก็ได้แค่พูดล้อเล่นไม่กี่ประโยค ยังจะทำอะไรได้? เจ้าเป็นผู้ชายควรจะใจกว้างสักหน่อย เหตุใดถึงได้ประชดประชันกันอย่างนี้?
สตรีแต่งงานแล้วมองค้อนบุรุษของตัวเอง หันไปพูดยิ้มๆ กับเฉินผิงอัน “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่พาข้าเดินเที่ยวชมหอจิ้งเจี้ยน”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ ตัวข้าเองชอบเดินเล่นที่นี่ อีกสองสามวันหลังจากนี้ก็ยังจะมาอีก”
บุรุษหรี่ตาลง “ได้ยินว่าในหอจิ้งเจี้ยนมีเด็กโง่คนหนึ่งชอบเช็ดคราบน้ำลายให้กับกระบี่สองเล่มและชั้นวางกระบี่ในห้องนี้ คงไม่ใช่เจ้าหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน จึงแสร้งทำหน้ามึนงง โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่ใช่ๆ ข้าจะโง่ขนาดนั้นได้ยังไง?”
สตรีแต่งงานแล้วแอบกระทืบหลังเท้าบุรุษหนึ่งที จากนั้นจึงหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “พวกเราจะไปแล้ว เจ้าจะไปจากที่นี่พร้อมกันหรือไม่?”
จู่ๆ บุรุษก็ถามว่า “เห็นว่าเจ้าเป็นคนชอบดื่มเหล้า เจ้าอยากไปดื่มเหล้าไหม? ข้ารู้จักสถานที่ดีๆ ที่มีเหล้าดื่ม ของดีแถมยังราคาถูก หากไม่ใช่คนคุ้นเคยจะไม่เรียกซื้อ”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
บุรุษพูดเสียงขุ่น “มีคนบอกว่าจะเลี้ยงเหล้า เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธ อยู่ในภูเขาห้อยหัวยังกลัวว่าจะเจอคนชั่วอีกหรือ? อีกอย่างเจ้าคิดว่าพวกเราสองสามีภรรยาเหมือนคนที่อยากได้กระบี่ผุๆ หนึ่งเล่มและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พังๆ ลูกหนึ่งของเจ้าจนตัวสั่นหรือไง?”
เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
บุรุษผู้นี้พูดตรงเกินไปแล้ว
บุรุษถูกสตรีแต่งงานแล้วกระทืบหลังเท้าอีกหนึ่งที ฝ่ายหลังบ่นพึมพำ “ใครกันที่บอกว่าเกลียดคนที่คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้ามากที่สุด?”
บุรุษไม่กล้าเถียงภรรยาจึงหันมาถลึงตาใส่เฉินผิงอันแทน
เฉินผิงอันจึงหันไปคลี่ยิ้มให้สตรีแต่งงานแล้ว
บุรุษยิ่งอารมณ์ขุ่น แต่กลับถูกสตรีแต่งงานแล้วลากให้เดินไปที่หน้าประตูเสียก่อน
คนทั้งสามจึงเดินออกจากหอจิ้งเจี้ยน ลงบันไดไปพร้อมกัน
บุรุษที่อดกลั้นมานานถามขึ้นว่า “ไม่ดื่มเหล้าจริงๆ รึ? เหล้าดับทุกข์ของภูเขาห้อยหัวเป็นเหล้าที่ทั้งผีขี้เหล้าและเซียนสุราทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลต่างก็อยากดื่ม ว่ากันว่าปีนั้นหลี่เซิ่งลัทธิขงจื๊อทิ้งวิธีหมักเหล้าสูตรเฉพาะไว้ด้วยตัวเอง ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว เจ้าคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบข้า”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แวบหนึ่ง ด้านในเหลือเหล้าหมักกุ้ยฮวาอยู่อีกไม่มากแล้ว
บุรุษจุ๊ปากพูด “ไอ้หนู นิสัยพิรี้พิไรแบบนี้ของเจ้า เกรงว่าคงหาภรรยายาก”
มีดนี้แทงเข้ากลางใจของเฉินผิงอันเต็มๆ คิดในใจว่าก็เพราะข้าผู้อาวุโสไม่มัวพิรี้พิไรไงล่ะ ตอนนี้ถึงได้เป็นเหมือนวิญญาณเร่ร่อน ดึกดื่นค่อนคืนยังเตร่อยู่ในภูเขาห้อยหัว ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้เดินเล่นชมทิวทัศน์อยู่ข้างกายแม่นางหนิงไปแล้ว!
เฉินผิงอันแค่นเสียงตอบ “ไม่ดื่มเหล้า! ไม่มีภรรยาก็ไม่มีภรรยาสิ!”
นี่ถือว่าเฉินผิงอันเกิดโทสะอย่างที่หาได้ยากแล้ว
ย้ายสายตาไปมองฮูหยินท่านนั้น สีหน้าของเฉินผิงอันดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เขายกมือขึ้นกุมคารวะ “ฮูหยิน ไว้พบกันใหม่”
สตรียังสาวยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เหล้าดับทุกข์ของภูเขาห้อยหัวสมควรชิมจริงๆ ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบทั่วไป คิดจะชิมสักจอกก็ยังยาก พวกเราสนิทกับเถ้าแก่ของที่นั่นถึงได้เข้าไปดื่มเหล้าได้ หากเจ้าชอบดื่มเหล้าก็ไม่ควรพลาด อืม ต่อให้ไม่ชอบดื่ม ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรพลาดเหมือนกัน”
เฉินผิงอันเริ่มลังเล
บุรุษก็เริ่มพูดฟ้อง “เห็นไหม อิดๆ ออดๆ เจ้าชอบลงหรือไง? สรุปคือข้าไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันหน้าดำคล้ำ ในใจคิดว่าข้าผู้อาวุโสจะต้องให้เจ้ามาชอบไปทำไม
อันที่จริงคืนนี้เฉินผิงอันเหมือนคนขี้เมาที่ดื่มเหล้าจนเมามายแล้วยังไม่คืนสติ อารมณ์ไม่ใคร่จะดีเท่าไหร่นัก ถึงอย่างไรพระโพธิสัตว์ดินเผาก็มีโทสะได้
สตรีแต่งงานแล้วไม่สนใจบุรุษที่ใจแคบเหมือนไส้ไก่ ตบไหล่เด็กหนุ่มแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ไป ไปดื่มเหล้าด้วยกัน ข้าว่าเจ้าเหมือนคนมีเรื่องในใจ ถึงเวลาพอดื่มเหล้า เจ้าไม่ต้องสนใจว่าคนผู้นี้จะบ่นอะไร แค่ดื่มเหล้าของตัวเองไปก็พอ ฟ้าดินกว้างใหญ่ จอกเหล้าใหญ่ที่สุด ภูเขาสูงสายน้ำยาวไกล น้ำสุราลึกที่สุด”
เฉินผิงอันเกาหัวแล้วเดินไปข้างหน้ากับสตรีแต่งงานแล้ว
บุรุษเดินอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง หันกลับไปมองหอจิ้งเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วกระตุกมุมปาก
พอถูกคนผู้หนึ่งโยนออกมาจากหอจิ้งเจี้ยน นักพรตหญิงแห่งภูเขาห้อยหัวที่รับผิดชอบเฝ้าหอจิ้งเจี้ยนก็รีบมาที่ลานกว้างตีนภูเขาเดียวดาย ร้องไห้ตีโพยตีพายกับนักพรตน้อยที่กำลังเปิดหน้าหนังสือ ฟ้องการกระทำของบุรุษผู้นั้นกับอาจารย์ของตัวเอง นักพรตน้อยฟังคำพูดที่เกิดจากความแค้นเคืองของนักพรตหญิงอย่างไม่ใส่ใจจนจบก็ถามว่า “เจ้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครสินะ?”
นักพรตหญิงขอบเขตโอสถทองส่ายหน้าอย่างเลื่อนลอย
นักพรตน้อยพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นคนไม่รู้ก็คือไม่ผิด เจ้าไปเถอะ”
นักพรตหญิงยิ่งคลางแคลงใจ
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้าด้านหลังกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ไม่เข้มงวดขัดเกลาลูกศิษย์ ถือเป็นความขี้เกียจของครูโดยแท้”
นักพรตน้อยกล่าวอย่างเดือดดาล “ผายลม นี่เป็นคำพูดระยำของลัทธิขงจื๊อ สายของข้าไม่เคยเลื่อมใสในคำพูดนี้! ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การวางตัวและการฝึกตนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง?!”
นักพรตหญิงตกใจตัวสั่นสะท้าน หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม หลุบตามองต่ำ ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
—–