ตอนที่ 257.2 เป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน

พวกผู้หญิงในร้านยาพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ตลอดเวลา สัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติใดๆ นี่ก็คือกบใต้บ่อของคนล่างภูเขา แต่ก็เป็นความสงบสุขอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ธรรมดาเช่นกัน พวกนางเห็นเถ้าแก่เดินจากนอกร้านเข้ามาข้างในก็ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง ในมือของชายฉกรรจ์หิ้วสุรารสดีที่ซื้อจากถนนใกล้เคียงกลับมาด้วยสองไห เขาเลิกผ้าม่านขึ้น ค้อมตัวเดินเข้าไปในลานบ้าน โยนเหล้าไหหนึ่งขึ้นสูงส่งไปให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้านั่ง ส่วนตัวเขาเองหยิบกระบอกยาสูบขึ้นมา นั่งลงบนขั้นบันไดด้านหน้าห้องหลักอีกครั้ง เงียบงันไม่เอ่ยคำใด ทั้งไม่สูบยา แล้วก็ไม่ได้ดื่มสุราอย่างสำราญใจ

ประโยคแรกที่เขาเอ่ย ไม่ได้พูดกับเฉินผิงอันที่ผู้เฒ่า ‘แต่งตั้ง’ ให้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา แต่สอบถามเทพหยินว่า “เหล่าจ้าว ตอนนี้คงพูดกันอย่างตรงไปตรงมาได้แล้วกระมัง? ท่านผู้เฒ่ามีคำสั่งอะไรอีก? อีกไม่กี่วันเฉินผิงอันก็ต้องโดยสารเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาเดินทางไปจากที่นี่แล้ว เรื่องของผู้ปกป้องมรรคา ช่วยให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ข้าได้หรือไม่?”

เทพหยินส่ายหน้า “เสินจวินแค่กำชับข้าว่า หากเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จก็จงดื่มด่ำกับความสุขไปซะ แต่หากล้มเหลวก็ให้จับเจ้าโยนลงทะเลเป็นอาหารปลา”

เจิ้งต้าเฟิงใช้มือสองข้างขยี้แก้มอย่างแรง “มารดาของข้าเอ๋ย ก็ยังงงอยู่ดี”

เจิ้งต้าเฟิงเอากระบอกยาสูบเก่าแก่มาวางไว้ในอ้อมอก เปิดผนึกดินบนไหเหล้าออก ก้มหน้าสูดสวบหนึ่งทีประหนึ่งมังกรสูบน้ำ สุราก็รวมตัวกันเป็นเส้นหนึ่งเส้นแล้วพุ่งเข้าไปในปากของเจิ้งต้าเฟิงด้วยตัวเอง เจิ้งต้าเฟิงเช็ดปาก แหงนหน้ามองไปยังทะเลเมฆผืนนั้น “เหล่าจ้าว เจ้าว่าท่านผู้เฒ่าจะเดาถึงภาพเหตุการณ์ที่ข้าได้พบเห็นในการฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้หรือไม่? คาดการณ์ได้หรือไม่ว่าข้าเกือบจะฝ่าด่านเคาะหัวใจไปถึงด้านชนประตูสวรรค์ได้ในรวดเดียว? เคยคิดได้หรือไม่ว่าตอนที่ข้าพบภาพเหตุการณ์บริเวณใกล้เคียงกับประตูใหญ่ ข้าเกือบจะ…”

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงดื่มเหล้า แต่แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มหน้าบาน “ไม่แน่ว่าคำพูดประโยคนั้นของท่านผู้เฒ่าอาจจะมีความหมายสองชั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ‘ไม่มีหวังเลื่อนสู่ขั้นเก้าไปตลอดชีวิต’ ฮ่าๆ ท่านผู้เฒ่านี่เกเรจริงๆ …”

มุมปากของเทพหยินกระตุก

รู้สึกว่าเจิ้งต้าเฟิงรนหาที่ตายจริงๆ

เจิ้งต้าเฟิงเหมือนถูกคนบีบคอ เหลียวมองไปรอบด้านอย่างคนร้อนตัว ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่กลางลานบ้าน หันหน้าไปทางทิศเหนือ พึมพำกับตัวเองว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ ศิษย์เจิ้งต้าเฟิงฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ แต่กลับไม่สามารถเล่าเรื่องที่น่ายินดีนี้ต่อหน้าท่านได้ ในใจให้ละอายยิ่งนัก ท่านผู้อาวุโสท่านฉลาดปราดเปรื่อง เป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ขอท่านอย่าโกรธ ศิษย์ทำได้เพียงจุดธูปสามดอกกราบสามครั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ!”

ในมือของเจิ้งต้าเฟิงถือธูปไว้สามดอกจริงๆ เขาคำนับสามครั้งไปยังทิศทางของต้าหลีที่อยู่ห่างไปไกล

เฉินผิงอันฉงนสนเท่ห์อย่างยิ่ง หยางเหล่าโถวสั่งสอนลูกศิษย์สองคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างหลี่เอ้อร์และเจิ้งต้าเฟิงได้อย่างไร

แต่พอคิดถึงพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีที่มีนิสัยแตกต่างกันไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ เฉินผิงอันก็ไม่ประหลาดใจอีกต่อไป

แต่ก่อนหน้าที่เจิ้งต้าเฟิงจะจุดธูปกราบไหว้ เขามีท่าทางที่ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง เฉินผิงอันมองเห็นอย่างชัดเจน เจิ้งต้าเฟิงยกแขนขึ้นมาข้างหนึ่ง ยื่นมือข้ามศีรษะอ้อมไปด้านหลัง ราวกับว่าตรงนั้นซ่อนธูปสามดอกเอาไว้ ตอนดึงมือกลับจึงติดมือเขามาด้วย

เจิ้งต้าเฟิงทำทุกอย่างนี้เสร็จก็นั่งกลับไปนั่งบนม้านั่งอย่างเกียจคร้าน ราวกับตัดสินใจแล้วว่าจะเสวยสุขจริงๆ เขาจ้องหน้าเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็จ้องตาเขา

คนหนึ่งคล้ายจอมอันธพาลที่ติดหนี้คนอื่น แต่ให้ตายก็ไม่ยอมใช้คืน

คนหนึ่งคล้ายกำลังพูดว่าเจ้ากล้าไม่คืนเงินข้า ข้าสู้เจ้าไม่ได้ ก็จะทำให้เจ้ารำคาญจนตายแทน

เทพหยินมองคนทั้งสองแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนไม่ค่อยเข้าใจวิถีทางโลกในปัจจุบันสักเท่าไหร่

เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายสถานการณ์ มีคนเลิกผ้าม่านขึ้น แต่กลับไม่ได้เดินเข้ามาในลานบ้านทันที มือข้างหนึ่งของเขาเลิกผ้าม่านขึ้นสูง มืออีกข้างหนึ่งหิ้วเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ดีที่สุดของนครมังกรเฒ่ามาหนึ่งไห ลำพังเพียงแค่ไหเหล้าที่งามประณีตใบนี้ก็สามารถขายได้หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาริมฝีปากแดงก่ำเห็นว่าในลานบ้านยังมีคนนอกอยู่ จึงเกิดความลังเล เขายืนอยู่ที่เดิม ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์เจิ้ง…ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”

หลังจากที่เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในร้านยาฮุยเฉิน เทพหยินก็หายตัวไป

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเป็นคนวัยเดียวกับตน มองออกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง ตอนนี้น่าจะยังเป็นขอบเขตสาม สังเกตจากการหายใจระหว่างที่พูดคุย การสั่นไหวเบาๆ ของกล้ามเนื้อทั่วร่างเมื่อเปิดปากพูด รวมไปถึงปราณเลือดลมที่แผ่ออกมาข้างนอก รากฐานวิถีวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มแห่งนครมังกรเฒ่าผู้นี้ปูมาได้แน่นหนาพอสมควร แต่มีตำหนิค่อนข้างเยอะ ‘ทางเดินม้าลาดตระเวน’ ในช่องโพรงลมปราณที่มีปราณแท้จริงบริสุทธิ์อยู่มากมายดูคล้ายจะไม่กว้างมากพอ และไม่ราบเรียบมากพอ…

เฉินผิงอันรู้สึกตกใจ

เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองสามารถมองขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของคนอื่นได้ด้วย

จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้ตระหนักว่าตนเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์แล้วจริงๆ

เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ถือสาอาการเหม่อลอยของเฉินผิงอัน เขากวักมือเรียกเด็กหนุ่มพร้อมคลี่ยิ้ม “รู้อยู่แล้วว่าปิดบังท่านปู่ของเจ้าไม่ได้ แต่ข้าไม่อยากจะตำหนิเจ้าหรอกนะ ของขวัญแสดงความยินดีมีแค่เหล้ากุ้ยฮวาที่ตระกูลฟ่านหมักเองไหเดียวเนี่ยนะ? สุกเอาเผากินไปหน่อยหรือเปล่า? ข้าเป็นคนที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องใหญ่สักเท่าไหร่ แต่กลับพิถีพิถันในเรื่องเล็กๆ เสมอมา เจ้าเอาเหล้าทิ้งไว้แล้วรีบกลับตระกูลฟ่านไปบอกปู่เจ้าว่า คนเราจะขี้เหนียวเกินไปไม่ได้”

เด็กหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างจนใจว่า “อาจารย์เจิ้ง เป็นเพราะข้าได้ยินท่านปู่พูดถึงเรื่องนี้ เลยแอบขโมยเอาเหล้ามามอบให้ท่าน นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของผู้อาวุโสตระกูลข้า ไม่อย่างนั้นอาจารย์รอให้วันหน้าข้าได้สืบทอดเรือเกาะกุ้ยฮวาลำนั้นก่อน แล้วข้าจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้ท่านอีกที? เหล้าไหนี้ข้าขโมยมาจากที่บ้าน กลับไปจะให้ท่านปู่ข้ารู้ไม่ได้เด็ดขาดเชียว แต่ข้าจะกลับไปขอของขวัญจากที่บ้านมามอบให้ท่านอาจารย์เดี๋ยวนี้แหละ…”

เด็กหนุ่มวางไหเหล้าลงแล้วก็วิ่งตุปัดตุเป๋จากไป

เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ห้ามปรามเด็กหนุ่มตระกูลฟ่านที่รีบร้อนจากไป เขาชำเลืองตามามองเฉินผิงอันที่ปราศจากความกระตือรือร้นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ในใจคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน ดูเจ้าเด็กตระกูลฟ่านสิ ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ ใจกว้างเปิดเผย พูดง่าย มีแต่ข้อดีเต็มไปหมด แล้วหันมาดูเจ้าเฉินผิงอัน หนี้เก่าแค่ห้าอีแปะ เจ้ากลับจดจำได้นานขนาดนี้ แถมผิวยังไม่ขาว คร่ำครึเคร่งเครียด ทั้งตัวมีแต่ข้อเสีย!

จากคำพูดของเด็กหนุ่ม มากพอจะให้เฉินผิงอันเข้าใจเรื่องวงในได้มากมาย

เด็กหนุ่มมีชาติกำเนิดจากตระกูลฟ่านแห่งนครมังกรเฒ่าที่ลงเดิมพันข้างต้าหลีเหมือนกับตระกูลฝู ตอนนี้กราบเจิ้งต้าเฟิงเป็นอาจารย์ ในอนาคตจะได้ครอบครองเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำนั้น

บวกกับคำพูดที่เทพหยินเปิดเผยก่อนหน้านี้ จึงรู้ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะทำการค้ากับเจ้านครฝูฉี

เฉินผิงอันโล่งใจได้เล็กน้อย ไม่ว่าบุคคลยิ่งใหญ่เหล่านี้จะมีไส้กี่ขด (เปรียบเปรยถึงแผนการอันสลับซับซ้อน) การที่ครั้งนี้ตนเลือกเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวด้วยเรือข้ามฟากของตระกูลฟ่านก็น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่มากนัก

ในอนาคตนครมังกรเฒ่าจะมีเทพเซียนตีกัน หรือว่ามีกลุ่มปีศาจสร้างความวุ่นวาย ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องคิดพิจารณากันเอาเอง เฉินผิงอันแค่ต้องอดทนรออยู่ในร้านยาก่อนไม่กี่วัน จากนั้นค่อยขึ้นเรือข้ามฝากเกาะกุ้ยฮวาลำนั้น เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ไปหาแม่นางหนิงที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นำกระบี่เล่มที่สะพายอยู่ด้านหลังไปมอบให้นาง…

เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาคว้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กตระกูลฟ่าน กลับมา เจ้าจะทำหน้าด้านไปขอของขวัญมาแทนข้าจริงๆ หรือนี่?”

อันที่จริงเด็กหนุ่มจะกลับไปพูดอะไรที่บ้าน เจิ้งต้าเฟิงไม่สนใจเลยสักนิด เขาแค่รู้สึกว่าอยู่ในลานบ้านเดียวกับเฉินผิงอันค่อนข้างจะน่าเบื่อ ไม่สู้คว้าเอาตัวเด็กหนุ่มที่ร่าเริงสดใสมาช่วยแก้เหงาจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องคอยนั่งจ้องตากับเฉินผิงอัน ประเด็นสำคัญคือเขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้าจะทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลไม่ได้ และลึกๆ ในใจยังรู้สึกวูบไหวอยู่เล็กน้อย

เด็กหนุ่มที่เกือบจะวิ่งออกไปนอกตรอกเล็กถูกคนคว้าคอเสื้อด้านหลังกะทันหัน ร่างถอยกรูดไปด้านหลัง ทำเอาเขาใจหายวาบ นึกว่าเจอนักฆ่า แต่พอได้ยินเสียงของอาจารย์เจิ้งดังขึ้นในหัวใจ เด็กหนุ่มก็หัวเราะหึหึ โบกมือบอกเป็นนัยแก่ข้ารับใช้ขอบเขตโอสถทองของตระกูลผู้นั้นว่าไม่ต้องตื่นเต้น เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับวิ่งเร็วๆ กลับไปที่ร้านยาฮุยเฉิน เอ่ยเรียกหญิงสาวทั้งหลายที่ค่อนข้างคุ้นเคยกันว่าพี่สาวสองสามคำก็เลิกม่านเดินเข้าไปในลานบ้าน มีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วอ่อนหวานดุจเสียงนกร้องดังไล่หลังเขามา

เด็กหนุ่มชอบบรรยากาศแบบนี้จริงๆ

แน่นอนว่าจอมยุทธ์หญิงและเทพธิดาทั้งหลายในตระกูลฟ่านงดงามมากกว่า มีกลิ่นอายของเซียนมากกว่า แต่เด็กหนุ่มรู้มานานแล้วว่า รอยยิ้มของพวกนางที่มอบให้ตนไม่เหมือนกับรอยยิ้มของพี่สาวพวกนี้

ฝ่ายหนึ่งยิ้มให้เจ้าประมุขตระกูลฟ่านในอนาคต อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มให้เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน

เด็กหนุ่มไม่ได้มีอคติกับฝ่ายแรก แต่ชอบฝ่ายหลังมากกว่า

เฉินผิงอันยกม้านั่งมาให้เด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มรีบเดินเร็วๆ ไปรับไว้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจนะ”

เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มตอบ “ไม่ต้องเกรงใจ”

จากนั้นเด็กหนุ่มที่หิ้วม้านั่งก็หันมามองเจิ้งต้าเฟิง “อาจารย์ ข้าควรจะนั่งตรงไหน?”

เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ เอ่ยสัพยอก “ไปนั่งตรงม่านไม้ไผ่ที่หน้าประตู ช่วยดูต้นทางให้หน่อย”

“ตกลง”

เด็กหนุ่มวิ่งไปที่หน้าประตูอย่างร่าเริง อีกทั้งยังนั่งด้วยท่าที่สำรวมอีกด้วย เอวของเขายืดตรง อกผึ่งผาย ตาและจมูกหลุบลงจ้องหัวใจ มือสองข้างวางทาบกันไว้บนหัวเข่า แม้ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามวางท่าให้เคร่งขรึมจริงจัง แต่รอยยิ้มก็ยังผุดขึ้นในดวงตาทั้งคู่อย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาของเขาใสกระจ่างดุจธารน้ำที่ไหลริน เวลาอารมณ์ดีดวงตาก็เหมือนพูดได้ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็เช่นกัน ไม่ใช่ดวงตาประเภทที่เป็นดั่งบ่อน้ำลึก ไม่มีมาดของผู้สูงศักดิ์พูดช้าอะไรทั้งนั้น

ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็รู้สึกอิจฉาเด็กหนุ่มคนนี้

บนร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าประตูมีสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้มาครอบครอง

ตอนนั้นซิ่วไฉ่เฒ่าเหวินเซิ่งที่ดื่มเหล้าเมามายถูกเขาแบกไว้บนหลัง ตบไหล่เขาแรงๆ แล้วพูดกับเขาว่า บนไหล่ของเด็กหนุ่มควรแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ ไม่ต้องคิดถึงบุญคุณความแค้นของครอบครัวของบ้านเมือง หรือบทความคุณธรรมอะไรทั้งนั้น

เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าประตูก็คือคนแบบนี้

เฉินผิงอันทำไม่ได้

ดูเหมือนว่าเจิ้งต้าเฟิงจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ผิดปกติของเฉินผิงอัน แม้จะไม่รู้ความคิดที่แน่ชัดของเขา แต่ชายฉกรรจ์คิดแล้วก็ยิ้ม โยนเหล้าหมักกุ้ยฮวาไหนั้นกลับไปให้เด็กหนุ่มตระกูลฟ่านยิ้มๆ

เด็กหนุ่มยิ้มเจิดจ้า “อาจารย์เจิ้ง ข้ากล้าดื่มแค่คำเดียวนะ”

เฉินผิงอันชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง ยิ้มตามไปด้วย “มาดื่มด้วยกัน”

เด็กหนุ่มคนนั้นอึ้งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นคำนี้ข้าจะดื่มให้มากหน่อย! อ้อ ใช่แล้ว ข้าชื่อฟ่านเอ้อร์ ไม่ใช่ชื่อเล่นนะ ชื่อฟ่านเอ้อร์จริงๆ เพราะก่อนหน้าข้ามีพี่สาวคนหนึ่ง ชื่อว่าฟ่านจวิ้นเม่า ดังนั้นข้าจึงชื่อฟ่านเอ้อร์…เอาเถอะ อันที่จริงไม่ว่าข้าจะมีพี่สาวหรือไม่ พ่อแม่ข้าตั้งชื่อนี้ให้ข้า ทำให้ข้าเสียใจยิ่งนัก (เอ้อร์ นอกจากแปลว่าสอง หรือลำดับรองแล้ว ยังแปลว่าโง่ได้อีกด้วย) เจ้าล่ะ บอกชื่อได้ไหม?”

เด็กหนุ่มดื่มเหล้าอึกใหญ่ ใบหน้าพลันแดงก่ำ ไอสำลักติดๆ กัน ดูท่าชื่อนี้จะทำให้เขาเสียใจจริงๆ

เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็ยิ้มตอบว่า “ข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย”

—–

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset