ตอนที่ 203.2 เด็กหนุ่มผีขี้เหล้า

บทที่ 203.2 เด็กหนุ่มผีขี้เหล้า
โดย

เฉินผิงอันเคยพูดกับแม่นางต่างถิ่นคนหนึ่งว่า หากวันหน้าตนเจอผู้หญิงที่ดีได้อย่างมารดาของตน ต่อให้นางจะถูกมรรคาจารย์เต๋าอะไรนั่นรังแก เขาก็จะยังม้วนแขนเสื้อพร้อมมีเรื่องเพื่อนาง จะสู้ได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เต็มใจสู้เพื่อภรรยาของตัวเองหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่งผู้หญิงที่ดีขนาดนั้นมาเป็นภรรยา แต่กลับไม่รู้จักถนอมนาง เฉินผิงอันให้รู้สึกละอายใจ

แน่นอนว่าแม่นางที่ดีแบบนั้น เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองหาเจอแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกให้นางรู้ ดังนั้นหลังจากนี้จึงต้องเดินทางท่องยุทธภพสักครั้ง

เขาจะต้องสะพายกระบี่สองเล่มที่ตัวเองแอบตั้งชื่อให้ว่า ‘กำจัดปีศาจ’ ‘ปราบมาร’ เดินไปหยุดตรงหน้านาง ปลุกความกล้าบอกกับนางดังๆ ว่า “แม่นางหนิง หนิงเหยา! ไม่ว่าเจ้าจะชอบข้าหรือไม่ ข้าก็ชอบเจ้า ชอบเจ้ามาก!”

ส่วนเรื่องที่ว่าจะโดนตบ หรือเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีกต่อไป ก็ขอให้เขาบากหน้าหนาๆ ไปพูดกับนางก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

ผู้เฒ่าแย่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาจากมือเฉินผิงอัน เงยหน้ากรอกเข้าปากอึกใหญ่ แต่กลับไม่ได้โยนคืนให้เฉินผิงอันในทันที เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เหล้านี่ห่วยแตกจริงๆ เจ้าพูดต่อสิ เรื่องหยุมหยิมที่ถูกดองเก็บมานานปีก็ได้แค่คู่ควรจะเป็นกับแกล้มเหล้าชั้นเลวกานี้นี่แหละ”

เฉินผิงอันครุ่นคิด สอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ “หลังผ่านหน้าหนาวปีนั้นไปได้ก็เหมือนว่าข้าจะฉลาดขึ้น หนังหน้าหนาขึ้น หากหิวจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะไปขอข้าวคนอื่นกิน จากนั้นก็จำไว้ขึ้นใจทุกครั้ง คิดว่าหลังผ่านหน้าหนาวไปแล้วก็ขึ้นเขาไปหาเงินมาคืนให้พวกเขาได้แล้ว แล้วพอมีคนแก่ใจดีบางคนเอาเสื้อผ้าเก่าๆ มามอบให้ข้า ข้าก็ไม่รู้สึกลำบากใจ ไม่พูดว่าที่บ้านไม่ขาดของอีกต่อไป แต่รับมาไว้โดยดี หลายปีนั้นข้าพยายามขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรให้ได้มากที่สุด แต่เงินที่หามาได้ก็ยังน้อยมาก เพราะว่าเรี่ยวแรงมีน้อยเกินไป แถมสมุนไพรดีๆ ที่ร้านตระกูลหยางต้องการก็หายากมาก นี่เป็นเรื่องปกติ สมุนไพรที่หาได้ง่ายๆ ไหนเลยจะทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้ข้าได้ ถูกไหม? ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนมาเป็นให้ความช่วยเหลือพวกเพื่อนบ้านแทน ตอนเช้าไปช่วยตักน้ำที่บ่อโซ่เหล็กให้พวกเขา พอเป็นช่วงฤดูทำนาก็จะไปช่วย ตอนกลางคืนข้าจะต้องไปนั่งเฝ้าช่วยแย่งน้ำมาให้พวกเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนอื่นมาตัดช่องทางน้ำ ข้าไม่กล้าทำให้ใครเห็นโจ่งแจ้ง จำเป็นต้องไปหลบอยู่ไกลๆ รอให้พวกชายฉกรรจ์จากไปเสียก่อน ถึงได้กล้าขุดร่องดินดึงน้ำเข้ามาในนาของเพื่อนบ้าน เฝ้ารอจนน้ำเต็มในนาแล้วถึงจะเอาดินกลบกลับคืนในร่องน้ำน้อยนั่นอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้ข้ายังเคยถูกคนไล่ตีอยู่หลายครั้ง ยังดีที่ข้าอายุน้อยแต่วิ่งได้เร็ว จึงเสียเปรียบแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น”

ผู้เฒ่าไม่สวมรองเท้าดื่มเหล้าเนิบช้า ปากพูดว่าเหล้ารสชาติแย่ แต่กลับดื่มติดๆ กันไม่ขาดปาก เงี่ยหูตั้งใจฟังเรื่องเล็กน้อยในหมู่ชาวบ้านที่ผ่านมานานปีไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ผู้เฒ่ากลับไม่รำคาญใจแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันได้พูดเรื่องที่อยู่ในใจอย่างหมดเปลือกก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก เขายื่นมือไปรับกาเหล้าคืน แต่กลับถูกผู้เฒ่ายกศอกตบฝ่ามือ กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “รอเดี๋ยวสิ”

ผู้เฒ่าใช้สองนิ้วคีบน้ำเต้าบรรจุเหล้า เอ่ยเนิบช้า “เฉินผิงอัน เจ้าเล่าเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ให้ข้าฟัง แล้วอยากฟังข้าผู้อาวุโสพูดถึงหลักการบนมหามรรคาที่ไม่มีประโยชน์บ้างหรือไม่? คำพูดเหล่านี้ข้าผู้อาวุโสเคยได้ยินมาตอนที่ยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์บนโลกใบนี้ เจ้าว่าสายตาของข้าผู้อาวุโสสูงแค่ไหน? สูงมากเลยใช่ไหมล่ะ แต่กระนั้นข้าก็ยังรู้สึกว่ามันไม่มีค่ามากพอ อยากจะลองฟังสักหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “พูดมาเลย ข้าชอบฟังคนอื่นพูดหลักการ”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน “ข้าผู้อาวุโสเคยยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ได้เจอกับบัณฑิตเฒ่าที่ท่าทางสุภาพมีความรู้คนหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวตนของเขา ภายหลังพอจะเดาได้คร่าวๆ เพียงแต่ไม่เข้าใจความหวังดีของท่านผู้อาวุโส ข้าถึงได้กลายมาเป็นคนวิปลาสน่าสมเพช ตอนนั้นคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกับบัณฑิตเฒ่า อย่าเห็นว่าข้าผู้อาวุโสเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ดีแต่จะใช้หมัดตัดสินปัญหา เพราะในความเป็นจริงแล้วข้ามีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต เคยเรียนหนังสือมาก่อน เรียนมาเยอะมาก พอพูดคุยกับบัณฑิตเฒ่าถึงท้ายที่สุด ก็เลยขอคำชี้แนะจากเขาเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างที่ตัวเองคิดไม่ตก บัณฑิตเฒ่าจึงพูดถึงหลักการของเขาให้ฟังคร่าวๆ”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าหิ้วกาเหล้า เริ่มสาวเท้าออกเดินเป็นวงกลม “บัณฑิตเฒ่าคนนั้นบอกว่า พวกเรามีชีวิตอยู่ในโลกที่สับสนวุ่นวายมาก คำพูดและการกระทำของคนหลายคน ต่อให้จะเป็นบัณฑิตที่มีความรู้สูงก็ยังขัดแย้งกันเองได้ เวลาที่พวกเราพบเจอเรื่องที่ไร้เหตุผลก็ต้องอยากถามอย่างเลี่ยงไม่ได้ว่า เหตุผลในหนังสือนั้นผิดหรือไม่ หรือว่าเหตุผลเหล่านั้นกล่าวได้ไม่ชัดเจน กล่าวได้ไม่ครบถ้วน”

“ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว จะทำอย่างไรดี? พวกเราควรจะปฏิบัติต่อโลกที่มีแต่คนมือถือสากปากถือศีลอย่างไร? วิธีนั้นมี หนึ่งคือใช้ชีวิตให้เรียบง่าย หมัดของข้าแข็งมากพอ วิชากระบี่ของข้าแข็งแกร่งพอ เวทอาคมของข้าแกร่งกล้ามากพอ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้มาทำลายสิ่งที่อยากทำลาย ปัญหาที่ยุ่งยากใช้วิธีง่ายๆ แก้ไข ขอแค่ตัวข้าอารมณ์ดีก็พอ ฟ้าดินมีกฎเกณฑ์พันธนาการข้า ข้าก็มีหมัดต่อยทำลายมัน บนโลกมีมหามรรคากดทับข้า ข้าก็มีหนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม ต่อให้จะสาสมใจแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ก็ควรต้องคิดอย่างนี้ ยืนหยัดไม่ไหวเอน เดินมุ่งหน้าตรงไปบนเส้นทางสายนี้ คนแบบนี้นั้นมีได้ แต่ไม่สามารถเป็นแบบนี้ได้ทุกคน”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็หยุดเดิน หันมองมาทางเฉินผิงอัน เอ่ยเยาะตัวเอง “ข้าผู้อาวุโสก็คือคนประเภทนี้”

“บัณฑิตเฒ่าเอ่ยต่อว่า อีกวิธีหนึ่งก็คือใช้ชีวิตให้ฉลาด ควรจะประหยัดแรงกายแรงใจอย่างไรก็ประหยัดไป คำว่ากฎเกณฑ์มีไว้ก็เพื่อให้แหก หากบัณฑิตเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นปราชญ์ผู้ไม่ยี่หระต่อโลก หรือไม่ก็เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างสมเหตุกับสมผล เลือกสมเหตุของตัวเอง ไม่สนสมผลของโลก เป็นเหตุให้โลกที่จอแจไปด้วยผู้คนมีแต่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้แก่กัน หากสามารถเอาคำว่า ‘ผลประโยชน์’ (ลี่ 利) มาแลกเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘มารยาท’ (หลี่ 礼) ได้ โลกใบนี้จะดีสักเท่าใด?”

“วิธีสุดท้ายก็คือมีชีวิตให้น่าเบื่อ คิดปัญหาที่ซับซ้อนให้มันซับซ้อนเข้าไปอีก แยกแยะข้อยิบย่อยออกมาวิเคราะห์ จัดระเบียบอย่างละเอียด ค่อยๆ ขบคิดมันไป หากอยากจะเข้าใจเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง อาจจะต้องอ้อมไปเป็นวงใหญ่ แต่สุดท้ายก็อาจจะพบว่าต้องย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทว่ามันไม่มีประโยชน์จริงๆ น่ะหรือ? มีสิ เมื่อคิดตกแล้ว ตัวเองก็จะสบายใจมากขึ้น ก็เหมือน…ก็เหมือนกับดื่มเหล้าที่หมักมานานลงไปหนึ่งอึกซึ่งจะทำให้ทั่วร่างอุ่นร้อน รสหวานซ่านติดลิ้น”

“อันที่จริงแล้วเหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่บัณฑิตอย่างพวกเราเลื่อมใสไม่ได้ดีงามเลิศเลออย่างที่คนบนโลกคิดกัน พวกเขาเองก็ยังคงมีกิเลสของความเป็นคนหลงเหลืออยู่ แต่ความรู้และหลักการของลัทธิขงจื๊อก็ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น ต่อให้จะไม่เห็นด้วยกับคำที่ว่าเดิมทีมนุษย์เกิดมาพร้อมสันดานที่ดี แต่ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยก็ยังชี้นำผู้คนให้ทำความดี”

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเดินวนไปวงรอบแล้วรอบเล่า สุดท้ายก็หยุดเดิน “ข้าผู้อาวุโสไม่แน่ใจว่าบัณฑิตเฒ่าผู้นั้นจะใช่คนคนนั้นหรือไม่ แต่ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู หากเป็นคนคนนั้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้นการที่บัณฑิตเฒ่ายอมพูดคุยเรื่องพวกนี้กับข้าด้วยใจที่สงบ ก็นับว่าไม่ง่ายเลย เพราะอย่างไรซะตอนนั้นที่ข้าผู้อาวุโสไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็เพื่อสร้างความวุ่นวายในถิ่นของคนอื่นเขา”

ผู้เฒ่ายกมือขึ้นกระดกเหล้าเข้าปากคำใหญ่ ก่อนจะโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นกลับไปให้เด็กหนุ่ม แล้วหัวเราะเสียงดังไปยังทิศไกล “พเนจรทั่วสารทิศเมื่อครั้งวันวาน คำพูดห้าวเหิมทรงพลัง หากไม่ได้เอ่ยก็คงไม่สาสมใจ!”

ผู้เฒ่ายืนอยู่ริมหน้าผา ก้าวเท้าข้างหนึ่งออกไป เงยหน้ามองท้องฟ้า “เมื่อข้าเดินอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ ดวงตะวันสาดแสงแรงกล้า ดวงจันทราส่องสว่างกลางนภา ต้องถามข้าสักคำว่า ฟ้าดินนี้สว่างเจิดจ้ามากพอหรือไม่?”

ผู้เฒ่าหันหน้ากลับมาถามยิ้มๆ “เฉินผิงอัน! เจ้าคิดว่าพอหรือไม่?!”

เฉินผิงอันก้มหน้าลงกำลังจะดื่มเหล้า พอได้ยินคำถามก็ได้แต่เงยหน้าขึ้น ตอบอย่างมึนงง “ยังไม่ค่อยพอ?”

ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง ชี้นิ้วไปยังทิศไกล “เมื่อข้าเดินอยู่บนยุทธภพ แม่น้ำโหมกระหน่ำ ลูกคลื่นโถมซัดสาด ต้องถามข้าสักคำว่า น้ำในแม่น้ำและลำคลอง (เขียนคำเดียวกับคำว่ายุทธภพ) มากพอให้ข้าดับกระหายหรือไม่?”

เฉินผิงอันรีบฉวยจังหวะช่วงที่ว่างกระดกเหล้าขึ้นดื่ม พอได้ยินคำพูดที่กล้าอย่างห้าวเหิมของผู้เฒ่าแล้ว เขาก็เกิดฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน มือหนึ่งถือน้ำเต้าบรรจุเหล้า อีกมือหนึ่งกำหมัดวางไว้บนหัวเข่า ตะโกนเสียงดังเหมือนเป็นลูกคู่ “ไม่พอ!”

ผู้เฒ่ากล่าวอีกว่า “เมื่อข้าเดินไปบนยอดเขา หอเรือนตระหง่านเสียดฟ้า ทะเลเมฆบรรจบพบเทพเซียน ต้องถามข้าสักคำว่า ลมกรดเหนือยอดเขาเย็นพอหรือไม่?”

เฉินผิงอันที่ใบหน้าแดงก่ำดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ อาศัยฤทธิ์สุราร้อนแรงที่ช่วยให้คึกคัก หัวเราะเสียงดังสนั่นด้วยใบหน้าเปล่งประกายแช่มชื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่พอๆ! อยู่ไกลเกินกว่าจะพอ! เหล้าไม่พอ น้ำในแม่น้ำไม่พอ ลมในภูเขาไม่พอ! ไม่พอทั้งหมดเลย!”

ทางฝั่งเรือนไม้ไผ่ เด็กน้อยสองคนหันมามองหน้ากัน

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูค่อนข้างจะเป็นห่วงนายท่านของตัวเองไม่น้อย ไม่ใช่ว่านายท่านของนางจะกลายเป็นผีขี้เหล้าไปหรอกนะ?

เด็กชายชุดเขียวกลับบ่นพึมในใจ นายท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือไง? หรือว่าฝึกหมัดจนโง่ไปแล้ว? หึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องมานะฝึกตนอีกแล้วใช่หรือเปล่า? ไม่งั้นแอบอู้สักสองสามวันดีไหม?

สุดท้ายของท้ายสุด เฉินผิงอันที่เมามายก็ล้มตึงหงายหลังไปพร้อมกับเก้าอี้

นับแต่นั้นมายุทธภพในโลกมนุษย์ก็มีเด็กหนุ่มผีขี้เหล้าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน

——————————

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset