ตอนที่ 185.1 ตัวอ่อนกระบี่อยู่ในมือ

บทที่ 185.1 ตัวอ่อนกระบี่อยู่ในมือ
โดย

ตอนนั้นฉีจิ้งชุนแอบขโมยกิ่งไม้ที่หลี่เป่าผิงขนมาไปทำเป็นกระบี่ จากนั้นก็แอบเอากระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นมาวางไว้ในตะกร้าสะพายหลังของเฉินผิงอัน ด้านในมีคนจิ๋วควันธูปสีทองไม่รู้ที่มาคนหนึ่งอาศัยอยู่

เพียงแต่ว่าหลังจากปรากฏกายในชั่วเวลาสั้นๆ สองครั้งที่โรงเตี๊ยมชิวหลูกับจวนจือหลันสกุลเฉาแล้ว คนจิ๋วควันธูปขี้อายก็ไม่เคยปรากฎตัวอีก สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่คิดจะบังคับหรือร้องขออะไร

ม่านราตรีมืดดำ ในร้านยาตระกูลหยาง ผู้เฒ่าสูบกระบอกยาสูบดังฟืดๆ เขาขมวดคิ้วมุ่น ยื่นมือออกไปคว้าจับ คนจิ๋วควันธูปก็ร่วงจากความว่างเปล่าลงสู่พื้น

หยางเหล่าโถวพูดเสียงเย็นชา “ฉีจิ้งชุนอุตส่าห์มานะซ่อนตัวเจ้าไว้ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”

นางยืนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางขลาดเขลา มือสองข้างกำชายเสื้อไว้แน่นคล้ายหวาดกลัวผู้เฒ่าคนนี้อย่างมาก แต่ก็ยังขยับริมฝีปากเบาๆ ตอบอีกฝ่าย

หยางเหล่าโถวยิ่งฟังก็ยิ่งหน้ายับ ครุ่นคิดอยู่นานถึงเอ่ยขึ้น “ข้ารับปาก”

เขาใช้กระบอกยาสูบเคาะพื้นหนึ่งทีก็มีศาลขนาดเล็กแห่งหนึ่งกลิ้งออกมาตั้งอยู่ตรงหน้าคนจิ๋วควันธูป

ใบหน้าของคนจิ๋วควันธูปเต็มไปด้วยความลิงโลด กำลังจะเดินเข้าไปข้างใน แต่จู่ๆ กลับเงยหน้าขึ้น ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

หยางเหล่าโถวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “หากรู้เรื่องทุกอย่าง แน่นอนว่าดีที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องรู้อะไรเลยเสียดีกว่า แบบนี้ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”

คนจิ๋วควันธูปคล้ายยังตัดสินใจไม่ได้ อยากกลับไปที่ตรอกหนีผิงสักรอบ อย่างน้อยก็ควรบอกลาเด็กหนุ่มคนนั้นสักคำ

หยางเหล่าโถวหยิบกระบอกขึ้นมาสูบยาใหม่อีกครั้ง พ่นควันหนาข้นโขมงคลุ้ง “เอาความฉลาดทั้งหมดเก็บใส่ท้องตัวเองไว้ถึงจะเรียกว่าคนฉลาดที่แท้จริง เจ้านึกจริงๆ หรือว่าเด็กคนนั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นใด นอกจากฝึกหมัดแล้ว วันๆ ก็รู้จักแต่จะทำความดีมีเมตตาต่อคนอื่น เป็นคนรวยน้ำใจอย่างเดียว? เสียแรงที่เจ้าเดินทางมากับเขาตลอดทาง เจ้านี่โง่จริงๆ แต่เขาน่ะไม่โง่หรอกนะ”

คนจิ๋วควันธูปมุ่ยปากอย่างไม่พอใจเล็กน้อย เพียงแต่ว่าพอนางเดินเข้าไปในศาลเล็กแห่งนั้นแล้วก็ต้องอึ้งตะลึงไปทันที

นางเหมือนเมล็ดข้าวสารเมล็ดหนึ่งที่เล็กจ้อยอย่างถึงที่สุดซึ่งอยู่ในถังใบใหญ่

แต่ละนามที่ถูกเขียนลงบนกำแพงสูงใหญ่ในศาลเล็กส่องประกายสว่างไสว แผ่แสงหลากหลายสีสันต่างกันออกไป

เหนือศีรษะของคนจิ๋วควันธูปมีกลุ่มดาวทอแสงเจิดจรัส

ผู้เฒ่าเก็บกระบอกยาสูบ ไพล่มือสองข้างไว้ข้างหลัง เดินหลังค่อมออกจากร้านยาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกจากเมืองเล็ก ตอนที่เดินผ่านสะพานหินโค้ง เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเสียดายและไม่เข้าใจ เดินลงสะพานหินไปอย่างเชื่องช้า เลียบลำคลองหลงซวีไปถึงนอกร้านตีเหล็ก ไม่ได้เดินเข้าไปข้างใน แต่มาหยุดที่ริมลำคลอง กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งครั้ง สตรีผู้เป็นเทพลำคลองก็ลอยลิ่วออกมาจากใต้ลำคลอง จิตวิญญาณของนางสั่นสะเทือน หมุนตัวอย่างมึนงง พอเห็นว่าเป็นหยางเหล่าโถวก็รีบยิ้มประจบทันที “ท่านเซียนใหญ่ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เวทอภินิหารไร้เทียมทาน แค่เรียกข้าสักคำก็พอแล้ว”

หยางเหล่าโถวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าไปที่ต้นกำเนิดของลำคลองหลงซวีเดี๋ยวนี้ แล้วจงสลายร่างทองครึ่งหนึ่งของตัวเองให้ผสานรวมกับน้ำของลำคลอง ช่วยเพิ่มน้ำหนักความอึมครึมของน้ำให้กับหร่วนฉง”

สตรีสาวอึ้งงันเป็นไก่ไม้

สลายร่างทองครึ่งหนึ่ง ผู้เฒ่าก็พูดง่าย เพราะไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดที่ต้องเผชิญในระหว่างที่สลายร่าง หรือความเสียหายของมหามรรคาก็ล้วนมากจนมิอาจประเมินการณ์

สตรีแต่งงานแล้วอยากจะพาตัวเองหนีไปให้ไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้เสียเดี๋ยวนั้น

แต่น่าเสียดายที่นางหนีไม่รอด

หยางเหล่าโถวพูดเสริม “เมื่อทำสำเร็จแล้ว และหร่วนฉงเปิดเตาหลอมกระบี่ได้สำเร็จ ข้าจะช่วยขอศาลเทพลำคลองให้เจ้าแห่งหนึ่ง อย่างมากสุดห้าสิบหกสิบปี เจ้าก็สามารถฟื้นคืนร่างทองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ร้อยปีพันปีหลังจากนั้นจะมีควันธูปให้เสพสุขไม่ขาดสาย นี่คือผลประโยชน์ที่เหมือนน้ำเส้นเล็กแต่ไหลยาวนาน เจ้าได้กำไรแน่นอน”

สตรีแต่งงานแล้วอึกๆ อักๆ พูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “สลายร่างทองครึ่งหนึ่ง เจ็บปวดเกินไป ข้ากลัวเจ็บนี่นา…”

ผู้เฒ่าไม่พูดอะไร แค่มองประกายแสงที่ส่องวิบวับอยู่บนพื้นผิวลำคลองหลงซวี

สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างระมัดระวัง “ท่านเซียนใหญ่ ข้าสามารถปฏิเสธได้หรือไ?”

หยางเหล่าโถวพยักหน้า “ได้”

ขณะเดียวกันกับที่สตรีแต่งงานแล้วแอบลอบยินดีก็ยังแปลกใจมากด้วย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เซียนใหญ่ผู้นี้หัดเข้าอกหัดเข้าใจผู้อื่น?

หยางเหล่าโถวหัวเราะเสียงเย็น “ข้าทุบร่างทองทั้งร่างของเจ้าให้แหลกย่อมได้ผลดีกว่า วางใจเถอะ รอให้จิตวิญญาณของเจ้าแหลกสลายไปในคืนนี้แล้ว วันหน้าข้าจะชดเชยให้หลานชายของเจ้าเอง”

สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกสิ้นหวัง หลังจากชั่งน้ำหนักดีแล้วก็ถามเสียงสั่น “ท่านเซียนใหญ่ วาสนาทั้งหลายขอให้ตกอยู่ที่หลานชายของข้าคนเดียวได้หรือไม่?”

ในใจนางคาดหวังว่าจะโชคดี เพราะนางรู้ว่า ไม่ว่าเซียนใหญ่ผู้นี้จะเป็นคนยุติธรรมแค่ไหน แต่มีเพียงแค่กับหม่าขู่เสวียนหลานชายของนางเท่านั้นที่เขาทำตัวแตกต่างออกไป

ทว่าหยางเหล่าโถวกลับยังคงปฏิเสธ “ไม่ได้”

สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วเหมือนขี้เถ้ามอด กล่าวอย่างห่อเหี่ยว “ถ้าอย่างนั้นข้าไปที่ต้นกำเนิดของลำคลองหลงซวีดีกว่า”

หยางเหล่าโถวไม่ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ

สตรีเทพลำคลองกัดฟัน เริ่มว่ายทวนกระแสน้ำขึ้นไป ลอดผ่านสะพานหินโค้งที่ไม่มีความผิดปกติใดๆ ตรงดิ่งเข้าไปยังภูเขาลึก

หร่วนฉงมาที่ริมตลิ่ง ยืนอยู่ข้างกายผู้เฒ่าแล้วถามว่า “เรื่องที่บอกว่าจะช่วยเด็กสาวคนนั้นหลอมกระบี่ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าก็ไม่รีบร้อน แล้วก็ไม่มีความคิดจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้าด้วย”

“เรื่องหลอมกระบี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน”

หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “แต่ข้าสามารถปิดบังตัวตนที่แท้จริงของบุตรสาวเจ้าได้สามสิบปี แต่เจ้าต้องรีบหลอมกระบี่เล่มนั้นให้เสร็จ นี่ต่างหากคือการแลกเปลี่ยนที่ข้าต้องการ”

หร่วนฉงเอ่ยยิ้มๆ ด้วยสีหน้าปกติ “ตัวตนที่แท้จริง?”

ผู้เฒ่าเอ่ยเรียบๆ “เจ้าหร่วนฉงแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าก็พอ”

หร่วนฉงอัดอั้นตันใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ

ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “วันหน้าเมื่อมองย้อนกลับมา มันนับว่าคุ้มค่า”

หร่วนฉงถามคำถามประหลาด “แล้วอะไรถึงเรียกว่า ‘ไม่คุ้มค่า’?”

ผู้เฒ่าตอบยิ้มๆ “หร่วนฉง แอบฟังคนอื่นคุยกันไม่ใช่นิสัยที่ดีเลยนะ”

หร่วนฉงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “เจ้า หลานชายคนโตตระกูลหลี่ เว่ยป้อ พวกเจ้าสามคน ข้าต้องจับตามอง”

ผู้เฒ่าพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายหน้า “สลับตำแหน่งของข้ากับหลี่ซีเซิ่งสักหน่อย น่าจะดีกว่า”

หร่วนฉงถามยิ้มๆ “หนึ่งพันปี หรืออีกหนึ่งหมื่นปีให้หลัง?”

ผู้เฒ่าไม่เอ่ยอะไรอีก

เมื่อใดที่เข้าสู่กลียุคซึ่งร้อยสำนักประชันกัน เอกบุรุษผู้แกร่งกล้า อัจฉริยะมากพรสวรรค์จะเป็นเหมือนหน่อไม้ที่ผุดหลังฝนตก พวกมันจะแทงทะลุพื้นดินขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่ชั่วข้ามคืนก็เปลี่ยนสภาพการณ์ของโลกให้เป็นโฉมหน้าใหม่เอี่ยม

ผู้เฒ่าเคยเห็นภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นนั้นมาแล้วไม่ใช่แค่ครั้งเดียว

จะอย่างไรซะหร่วนฉงก็เป็นแค่อริยะสำนักการทหาร ไม่ใช่อริยะของนิกายหยินหยาง แม้ว่าเรื่องการเติบโตของหร่วนซิ่วบุตรสาวเขาจะถือว่าเขามองการณ์ไกลมากแล้ว แต่ก็ยังไม่ไกลมากพอ

ผู้เฒ่าพลันโพล่งประโยคหนึ่งออกมา “แน่นอนว่าย่อมไม่คุ้มค่า คนธรรมดาสองคน เก็บวิญญาณไว้จะมีประโยชน์อะไร ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายนั้นไม่น้อย หากเปลี่ยนมาเป็นหม่าขู่เสวียนก็เป็นอีกเรื่อง”

หร่วนฉงถามยิ้มๆ “ผู้อาวุโสไม่เห็นดีในตัวเฉินผิงอันมาตั้งแต่แรกแล้ว?”

หยางเหล่าโถวสีหน้าไร้อารมณ์ “มีคนเห็นดีในตัวเขาก็พอแล้ว”

……

ทางเดินม้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือถูกเปิดใช้ใหม่อีกครั้ง เป็นเหตุให้เมืองหงจู๋ที่เดิมทีก็คึกคักมากอยู่แล้วยิ่งคับคั่งอวลไปด้วยเสียงฟ้อนร้องระบำ

ยามค่ำคืน เรือทัศนาจรลำหนึ่งที่แขวนม่านไผ่เขียวขับเคลื่อนมาบนอ่าวเนิบช้า มุ่งหน้าเข้าหาเมืองเล็ก เพิ่งจะเข้ามาในน่านน้ำลำคลองที่แบ่งคั่นเมืองเล็กออกเป็นสองส่วนก็มีการค้ามาเยือนถึงที่ เป็นเศรษฐีเฒ่าสวมชุดแพรต่วนหรูหราคนหนึ่งกับชายฉกรรจ์วัยกลางคนสวมผ้าป่านหยาบๆ คนหนึ่ง มองดูแล้วเหมือนนายท่านผู้เฒ่าที่ร่ำรวยพาคนงานในบ้านออกมาดื่มเหล้า

เรือทัศนาจรลำนี้ถือเป็นเรือขนาดกลาง มีหญิงชาวเรืออยู่ห้าคน คนขับเรือสองคน นักดนตรีดีดพิณต้มเหล้าสองคน ที่เหลืออีกคนหนึ่งคือสาวงามที่ท่วงท่าหน้าตาโดดเด่นที่สุด นางนั่งปรนนิบัติอยู่ข้างกายผู้เฒ่าอย่างระมัดระวังประหนึ่งนกน้อยอิงแอบแนบตัวคน นี่ทำให้ผู้เฒ่าชุดแพรหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข ยื่นมือไปชี้ชายฉกรรจ์สวมชุดหยาบเรียบง่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “เป็นอย่างไร เหล่าเซี่ย คนอาศัยอาภรณ์ พระพุทธรูปอาศัยร่างทอง (คล้ายสำนวนไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งของไทย) คำโบราณว่าไว้ไม่ผิดใช่ไหมล่ะ?”

ไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์คนนั้นอับอายจนพานเป็นโกรธ หรือเป็นคนตรงไปตรงมา หลังจากรับแก้วหนึ่งมาจากมือของสตรีผู้ทำหน้าที่ต้มเหล้า เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำก็พูดกับผู้เฒ่าว่า “เลิกเรียกเหล่าเซี่ยๆ สักที ข้าไม่สนิทกับเจ้าสักหน่อย”

ผู้เฒ่าเป็นคนหน้าหนา ตอนที่รับเหล้ามายังฉวยโอกาสลูบหลังมือของหญิงชาวเรือ แถมยังไม่ลืมหันไปขยิบตาใส่สตรีหุ่นอรชนผู้นั้น ทำเอานางสะอิดสะเอียนแทบแย่ เพียงแต่ต้องฝืนใจแย้มยิ้มส่งให้ ผู้เฒ่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาลิ้มรสชาติสุราอย่างตั้งใจ “เจ้าไม่สนิทกับข้า แต่ข้าสนิทกับเจ้า นามของเจ้าเหล่าเซี่ยโด่งดังมาตั้งแต่ทางตะวันตกเฉียงเหนือยันทางใต้ของพวกเรา ทุกครั้งที่พูดถึงเจ้ากับเพื่อนสนิท พอพวกเขารู้ว่าเจ้าเป็นคนบ้านเดียวกับข้า แต่ละคนต่างก็ขอร้องให้ข้าช่วยแนะนำ บอกว่าวีรบุรุษยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่พบหน้าสักครั้ง นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง”

ชายฉกรรจ์เพียงแค่ขมวดคิ้ว ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า

ผู้เฒ่าไว้หนวดทรงรั้งขมวด เวลานี้กำลังนั่งขัดสมาธิ เอียงศีรษะมองไปทางแสงไฟหลากสีบนชายฝั่ง มือหนึ่งหมุนแก้วเหล้า อีกมือหนึ่งใช้นิ้วลูบหนวด ท่าทางหน้าตาเช่นนี้ ไม่ว่าคนนอกจะมองอย่างไรก็ดูสถุลต่ำช้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านั่งขัดสมาธิของผู้เฒ่ายังจงใจให้เข่าแนบติดกับสะโพกอวบอิ่มของสตรีที่นั่งอยู่ข้างกาย ขนาดสตรีที่คร่ำหวอดอยู่ในโลกโลกีย์ก็ยังรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เลือกนั่งข้างชายฉกรรจ์ที่พูดน้อยนิ่งขรึม

ตอนที่ผู้เฒ่ายกแขนขึ้นลูบหนวดเผยให้เห็นช่องว่างตรงชายแขนเสื้อช่วงหนึ่ง เหล่าสตรีชาวเรือที่เชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่างผู้คนต่างก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ที่แท้ตรงข้อมือของผู้เฒ่าผูกเชือกยาวสีเขียวเข้มไว้เส้นหนึ่ง หากอยู่บนมือของเด็กเล็ก อาจจะพอน่ารักน่าเอ็นดูอยู่บ้าง แต่เมื่อมาผูกอยู่บนมือผู้เฒ่าก็ช่างแปลกแยกไม่เข้ากัน

จู่ๆ ผู้เฒ่าก็ถอนสายตากลับมา แล้วสอบถามสาวงามที่อยู่ข้างกาย “สตรีที่อยู่ในสถานเริงรมย์อย่างพวกเจ้า เชื่อเรื่องคำสาบานแห่งขุนเขาและทะเลหรือไม่?”

ไม่เพียงแค่นางที่ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร สตรีชาวเรือคนอื่นๆ ต่างก็หันมามองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าผู้เฒ่าคิดจะสื่อถึงสิ่งใดกันแน่

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ชี้นิ้วไปที่ชายซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “มาหาเขานี่ล่ะได้ผลที่สุด เขาเป็นถึงราชาใหญ่แห่งหนึ่งขุนเขา คอยดูแลภูเขาใหญ่ๆ หลายลูก คำสาบานแห่งขุนเขาและทะเลอะไรนั่น คำว่าคำสาบานแห่งขุนเขา…”

ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา ยกเหล้าดื่มเชื่องช้า ใจลอยไม่อยู่กับตัว

ผู้เฒ่าชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “อันที่จริงมาหาข้าก็ได้ผลเหมือนกัน ใต้หล้านี้มีหอเรือนหลังหนึ่งที่สูงๆ มาก ชื่อของมันเผด็จการนักล่ะ นั่นก็คือหอสยบสมุทร ตั้งอยู่ริมทะเล บ้านข้าก็อยู่ใกล้กับหอสยบสมุทรแห่งนั้น”

ในที่สุดชายฉกรรจ์ก็อดไม่ไหว ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่ชอบใจ “เจ้าคนแซ่เฉา เจ้าจะโอ้อวดกับพวกนางไปเพื่ออะไร?”

ผู้เฒ่าจิบเหล้าอึกเล็ก ใช้ตะเกียบคีบกับแกล้มชิ้นหนึ่งขึ้นมา ปรายตามองชายฉกรรจ์ “ก็เพราะพวกนางฟังไม่รู้เรื่อง ถึงคุยเรื่องนี้กับพวกนางได้สนุกไงล่ะ เอาไปอวดอ้างกับคนบนภูเขาต่างหากที่เรียกว่าน่าเบื่อ”

ใบหน้าของชายฉกรรจ์เต็มไปด้วยพยับเมฆอึมครึม กระดกเหล้าดื่มเงียบๆ อีกครั้ง

ในโลกมนุษย์ที่มีราชวงศ์กษัตริย์ปกครอง คำสาบานแห่งขุนเขาและทะเลมักจะถูกเหล่านักเล่านิทานที่เดินทางไปทั่วสารทิศยกมาพูดถึง และส่วนใหญ่จะเอามาใช้กับความรักระหว่างชายหญิง ซึ่งชาวบ้านธรรมดาไม่รู้ความหมายแฝงที่แท้จริงของมันมานานแล้ว

ในความเป็นจริงแล้วคำพูดนี้ค่อนข้างจะสำคัญกับคนบนภูเขา เป็นคำที่ใช้กับผู้ฝึกตน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นคำสาบานที่มีต่อภูเขา และคำสาบานที่มีต่อทะเล คำสาบานมีพลังแห่งการพันธนาการที่อัศจรรย์จนแทบไม่อาจบรรยาย ใช้ได้ผลยิ่งกว่าถ้อยคำที่เขียนลงในกระดาษซึ่งชาวบ้านล่างภูเขาใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันเสียอีก

ภูเขาขอแค่เป็นห้าขุนเขาใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักของแคว้นก็ล้วนได้หมด ยิ่งผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสูงมากเท่าไหร่ ข้อเรียกร้องที่มีต่อระดับของภูเขาก็ยิ่งสูง ส่วนใหญ่จะนำมาใช้กับพันธมิตรระหว่างแคว้นใหญ่ หรือไม่ก็สัญญาด้านการค้าขาย เมื่อเวลาผันผ่าน คำสัญญาหมั้นหมายเริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่วนคำสาบานต่อทะเลนั้นได้สูญเสียความหมายส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว เพราะเมื่อมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายในโลกตายไป ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรของใต้หล้าไพศาล เก้าดินแดนใหญ่นอกเหนือจากเก้าทวีปก็ไม่มีผู้ครอบครอง อีกทั้งราชวงศ์ในโลกมนุษย์ก็ไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งทวยเทพแห่งห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเทพวารีที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องมาออกหน้าควบคุมทะเลสาบยักษ์ห้าแห่ง รวมไปถึงมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลทั้งสี่แห่งอีกต่อไป

กล่าวกันว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางภูเขาตะวันตก สถานที่ที่ตะวันขึ้นนี้จึงอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของทะเลบูรพา

ผู้เฒ่าแซ่เฉาไม่สนใจความรู้สึกของชายฉกรรจ์แม้แต่น้อย เขาเคี้ยวกับแกล้มเสียงดัง ยื่นมือไปวางบนต้นขาของสตรีข้างกาย ถามตาหยี “พี่สาวคนงามท่านนี้คงรู้จักหอพิทักษ์เมืองกระมัง?”

สตรีผู้นั้นส่ายหน้า

 —————————

Sword of Coming กระบี่จงมา

Sword of Coming กระบี่จงมา

อ่านนิยายเรื่อง Sword of Coming กระบี่จงมา ” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์ หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “ เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ –ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Comment

Options

not work with dark mode
Reset