ตอนที่เจิ้งหย่งถูกตบ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว คนส่วนใหญ่ในงานเลี้ยงล้วนได้ยิน รีบรุดเข้ามามุงดู จากนั้น พวกเขาก็ได้ยินประโยคที่สร้างความงุนงงยิ่งขึ้นไปอีก
“กับเดนมนุษย์แบบนี้ ให้ใช้กำลังจัดการ อย่าใช้วาจา!”
ผู้คนตะลึงงันอีกครั้ง บางคนรู้สึกเหมือนฝันไปเมื่อได้ยินประโยคแบบนี้
คนคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ ตบหน้าคนอื่นไม่พอ ตบแล้วยังจะด่าคนเขาอีก
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเขาพลาดเหตุการณ์อะไรไปหรือเปล่า…
สองคนที่ยังคุยกันดีๆ ในตอนแรก ทำไมจู่ๆ ถึงใช้กำลังขึ้นมา
แม้แต่คนที่มองทางนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน
เมื่อเซวียนหยวนเฉิงได้ยินคำพูดของอันหลินก็เงียบลงชั่วขณะ
จากนั้น เขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “อันหลิน นายพูดถูก…มีเหตุผล!”
แววตาของสวีเสี่ยวหลานแฝงรอยยิ้ม จ้องอันหลินเช่นกัน ไม่พูดอะไร
คนดังจากแต่ละหนแห่ง เมื่อเห็นสองคนที่เหลือไม่รู้สึกผิดและสำนึกผิดเลยสักนิด กลับแสดงท่าทีเห็นด้วย ก็อดเบิกตากว้างไม่ได้
ไม่ได้เป็นบ้าแค่คนเดียว พวกเขาสามคนบ้าไปกันหมดแล้ว!
เจิ้งหย่งที่ล้มอยู่บนพื้นตัวสั่นเทา ถลึงตาจ้องอันหลินเขม็ง เขาถูกตบจนมึนไปหมดแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโต สถานะของเขาสูงศักดิ์อย่างยิ่ง อย่าว่าแต่ตีเขาเลย ไม่เคยมีใครเคยด่าเขาด้วยซ้ำ
ตอนนี้คนที่ตบเขาต่อหน้าฝูงชนกำลังด่าเขาว่าเดนมนุษย์…
เขาไม่เคยถูกดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน โมโหจนเนื้อตัวสั่นเทา แต่ด้วยสถานะของเขา จึงไม่อาจระเบิดโทสะได้
หลินอู่หัวมองอันหลินที่ถูกรุมล้อมด้วยความกังวล
ส่วนเกาเผิงนั้นกลับดีใจเป็นที่สุด แม้ว่าเรื่องจะเหนือความคาดหมายของเขาไปบ้าง แต่ดูเหมือนว่าจุดจบของอันหลินจะน่าสมเพชกว่าเดิม มันเติมเต็มความสุขอันพิกลพิการบางอย่างของเขา
ไม่นาน ชายร่างท้วมคนหนึ่งก็เบียดตัวแทรกเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนยืนออกันเต็มไปหมด”
เมื่อทุกคนเห็นผู้มาเยือน สีหน้าก็สนใจยิ่งขึ้น เยี่ยม หลังลูกชายถูกตบ คนพ่อมาแล้ว!
ผู้มาเยือนคือเจิ้งหงยี่พ่อของเจิ้งหย่ง ผู้นำตระกูลเจิ้ง ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งตะวันตกเฉียงใต้
ราวกับบางคนได้เห็นจุดจบอันน่าสังเวชใจของพวกอันหลินแล้ว พากันส่ายหน้าทอดถอนหายใจ
เจิ้งหงยี่เห็นเจิ้งหย่งที่นั่งอยู่บนพื้น ใบหน้าซีกหนึ่งบวมเป่ง จากนั้นก็เห็นพวกอันหลิน กำลังถูกผู้คนรุมล้อม ก็อดยืนอึ้งกับที่ไม่ได้
อันหลินโคลงแก้วไวน์ในมือ ไวน์แดงดูฉูดฉาดอย่างยิ่งภายใต้แสงไฟ
“สั่งสอนลูกชายของคุณให้ดีหน่อย อย่าให้เขาเอาเหล้าปลอมมาทำร้ายคนอื่นอีก…”
เมื่อเจิ้งหงยี่ได้ยินอันหลินพูด ก็มองไวน์แดงในมือของอันหลิน
คนมีไหวพริบอย่างเขา คาดเดาความเป็นมาของเรื่องได้อย่างแม่นยำทันที
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้า เดินไปยืนข้างเจิ้งหย่ง
“คุณพ่อ…” ใบหน้าของเจิ้งหย่งฉายความหวาดกลัว
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือดังไปทั่วงานเลี้ยงอีกครั้ง เจิ้งหงยี่ยกฝ่ามือค้างไว้ สั่นสะท้านไปทั้งตัว
เท่านี้ยังไม่พอ เจิ้งหงยี่เริ่มกระหน่ำทุบตีเจิ้งหย่งที่นั่งอยู่บนพื้น “แกมันโง่ แกรู้ตัวไหมว่าตัวเองทำอะไรลงไป! แกช่วยจำใส่สมองหน่อย ตั้งใจสำนึกผิดซะ!”
เจิ้งหงยี่ทั้งตบทั้งเตะเจิ้งหย่ง พร้อมกับด่าทอไปด้วย
เขารู้ว่าหากเขายิ่งลงมือแรงมากเท่าใด ด่าแรงมากใด โอกาสรอดชีวิตของลูกชายเขาก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ ทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงตะลึงงัน
บางคนสงสัยว่าตัวเองตาฝาดไป อดขยี้ตาไม่ได้
คุณพระ! เจิ้งหงยี่บ้าไปแล้วเหรอ
สามคนตรงนั้นต่างหากที่ตบลูกของคุณ คุณควรจะสั่งสอนสามคนนั้นไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้ลงไม้ลงมือกับลูกชายตัวเองล่ะ!
ครั้งนี้เจิ้งหงยี่ทำเกินไปแล้วจริงๆ ทุกหมัดถึงอกถึงใจ ผู้ชมที่มุงดูได้ยินเสียงกระทบอย่างชัดเจน
ผ่านไปครู่หนึ่ง คล้ายว่าเขาจะเหนื่อยแล้ว จึงตะโกนบอกพ่อบ้านว่า “เหล่าหลิว ลากตัวลูกทรพีออกไป จัดการต่อ จนกว่าขาสองข้างจะหัก!”
พ่อบ้านมองเจิ้งหงยี่อึ้งๆ มึนงงเล็กน้อย
คราวนี้เจิ้งหงยี่ตะโกนขึ้นมาอีกครั้งว่า “ยังไม่รีบไปอีก!”
เสียงตะคอกทำให้พ่อบ้านสะดุ้งโหยง รีบเรียกยามมาช่วยลากเจิ้งหย่งที่ถูกทุบตีจนฟกช้ำดำเขียวทั้งตัวออกไป
“เหล่าเจิ้ง ฉันหวังว่า ‘จัดการจนขาจะหัก’ ที่คุณว่า จะไม่ใช่แค่ลมปาก”
ในตอนนั้นเอง ก็มีผู้หญิงรูปร่างผอมเพรียว สวมชุดราตรีสีดำคนหนึ่ง เยื้องย่างเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย พูดเสียงเย็น
เธอก็คือหวงซานซานที่รีบเดินทางมาพร้อมกับเจิ้งหงยี่
หวงซานซานก็รู้สึกเหมือนกันว่าไวน์ในมืออันหลินมีปัญหา
ยาพวกนี้อำพรางคนทั่วไปได้ แต่สำหรับนักพรตที่มีพลังยุทธ์เพียงพอแล้ว สามารถมองออกได้ในปราดเดียว
“เรื่องนี้คุณมั่นใจได้เลย เจิ้งหงยี่คนนี้พูดคำไหนคำนั้น!”
ใบหน้าของเจิ้งหงยี่หนักแน่น จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาพวกอันหลิน โค้งตัวกล่าวขอโทษ “ต้องขออภัยจริงๆ ผมสั่งสอนลูกไม่ดีเอง! บทลงโทษของลูกชายทรพีของผม ไม่ทราบว่าท่านทูตทั้งหลายพอใจหรือไม่”
อันหลินพยักหน้า “พอใช้ได้ ต่อไปบอกให้ลูกชายคุณสงบเสงี่ยมหน่อย ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าสิ่งที่หัก จะเป็นขาที่สามของเขา[1]…”
แผนชั่วของเจิ้งหย่ง อันหลินจะไม่รู้ได้อย่างไร
อยากวางยาสวีเสี่ยวหลานงั้นเหรอ
ถึงเขาจะไม่มีทางทำสำเร็จ แต่แค่มีความคิดแบบนี้ อันหลินก็ให้อภัยไม่ได้แล้ว
อันหลินเห็นแก่เจิ้งหงยี่ จึงไม่ได้ลงโทษสถานหนัก
เจิ้งหงยี่ได้ฟังก็สะดุ้ง เมื่อรู้ว่าลูกชายของตัวเองรอดแล้ว ก็พูดอย่างซาบซึ้งทันทีว่า “ท่านทูตมีเมตตาปรานี ผมซาบซึ้งเป็นล้นพ้น!”
ทุกคนในงานเลี้ยงที่เห็นฉากนี้ต่างก็คิดว่าตัวเองฝันไป
มีคนตบหน้าลูกชายเขา เขาช่วยตบไม่พอ ตบเสร็จแล้วยังจะขอบคุณคนพวกนั้นอีก…
เกาเผิงก็งงไปหมดแล้ว เกือบจะทรงตัวไม่อยู่
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เข้าใจเลย!
บางคนไม่เข้าใจ แต่บางคนที่มีไหวพริบกลับเดาออกทันที
‘เหล้าปลอมทำร้ายผู้อื่น’ ที่อันหลินเอ่ยถึง อาจจะเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเหล้าของเจิ้งหย่งมีปัญหา
และเมื่อรู้เรื่องเหล้าปลอม วิธีการลงโทษอย่างใหญ่โตของเจิ้งหงยี่ รวมถึงการขานเรียกว่า ‘ท่านทูต’ ยิ่งบ่งบอกว่าสถานะของสามคนนี้ไม่ธรรมดา
บางที…พวกเขาก็คือคนที่เจิ้งหงยี่จะแนะนำให้ทุกคนรู้จักในค่ำคืนนี้ล่ะมั้ง
เป็นอย่างที่คิด หลังจัดการเรื่องของเจิ้งหย่งเรียบร้อยแล้ว
เจิ้งหงยี่ก็แนะนำอันหลิน เซวียนหยวนเฉิงและสวีเสี่ยวหลานให้ทุกคนได้รู้จัก
สถานะของพวกเขาในตอนนี้ก็คือ เจ้าหน้าที่พิเศษของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ
สถานะนี้ ผู้คนในงานเลี้ยงไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
แต่หลังจากที่หวงซานซานเอาจดหมายลับออกมา พวกเขากลับเข้าใจแล้ว
เนื้อหาในจดหมายกล่าวเพียงว่า ‘เจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมดในแถบตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อเห็นหนังสือฉบับนี้แล้ว จำต้องอำนวยความสะดวก ให้กับการทำภารกิจของเจ้าหน้าที่พิเศษ’ เมื่อทุกคนเห็นจดหมายฉบับนี้ ก็พากันจับจ้องทั้งสามคนที่ดูอายุยังน้อยด้วยความตกตะลึง
ประสิทธิภาพของจดหมายฉบับนี้ ถึงขั้นว่ามีผลกับเลขาธิการประจำมณฑลด้วยซ้ำ
หากว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ของปลอมละก็ เช่นนั้นภูมิหลังและสถานะของสามคนนี้ ต้องสูงเทียมฟ้าแน่!
ทุกคนในงานเลี้ยงเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจิ้งหงยี่ถึงทำแบบนั้น
การกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลของเขา ตอนนี้ได้รับคำอธิบายแล้ว
เมื่อเกาเผิงได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ก็ยืนนิ่งกับที่
เขาคิดไม่ถึงเลยว่า จุดประสงค์ของการจัดงานเลี้ยงในคืนนี้ จะเป็นการทำเพื่อสร้างความสะดวกในการทำภารกิจให้พวกอันหลิน
บิ๊กบอสสะเทือนวงการทั้งหลาย มารวมตัวกันที่นี่เพื่ออำนวยความสะดวกให้พวกอันหลิน!
เขารู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นบ้าแล้ว
คนแบบนี้ กลับถูกเขาดูถูกเหยียดหยามสารพัด แอบคิดแผนร้ายที่ไม่มีใครรู้ ไม่อยากอยู่แล้วหรือไง!
หลินอู่หัวงงยิ่งกว่า ปีที่แล้วอันหลินยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชิงหัวอยู่เลย ลาออกเพราะติดหนี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมแค่ชั่วพริบตา ก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาลไปได้ล่ะ
ขอความร่วมมือจากบิ๊กบอสแต่ละวงการของตะวันตกเฉียงใต้ได้ ต้องมีอำนาจมากแค่ไหนกัน
หลินอู่หัวคิดว่าสวีเสี่ยวหลานพูดได้ถูกเผง เธอตาบอดไปแล้วจริงๆ มองเกาเผิงที่ใกล้จะเสียสติแล้ว จากนั้นมองอันหลินที่ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติให้ทุกคนได้งานเลี้ยง ความเสียใจก็พรั่งพรูเข้ามาในใจ
แต่ท้ายที่สุด ก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างจนใจ
เพราะหากให้เธอตัดสินใจเลือกอีกครั้งภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลย เธอก็คงจะเลือกแบบนี้อยู่ดี…
…………………………………………
[1] ขาที่สาม หมายถึง อวัยวะเพศ
Related