เซียนพสุธาชางชิงถอนหายใจ ทำหน้ากลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ขณะนั้นเอง รองผู้อำนวยการอวี้หัวก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
เขาไม่ใช้น้ำเสียงที่ล้อเล่นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว แต่พูดอย่างจริงจังว่า “ชางชิง เรื่องของเฉินเฉิน เจ้าก็คิดเสียว่าไม่เห็นก็แล้วกัน”
ชางชิงได้ยินก็ชะงัก ขณะที่เขากำลังสงสัย รองผู้อำนวยการอวี้หัวก็พูดต่ออีกว่า
“ทุกสรรพสิ่งล้วนเลือนราง ทุกอย่างในโลกใบนี้ต้องกลับคืนสู่ธุลีดิน…”
“ครั้งนี้ เฉินเฉินทำผิดไปจริงๆ เราในฐานะที่เป็นอาจารย์ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือ แก้ไขความผิดพลาดของลูกศิษย์ เข้าใจไหม”
เมื่อฟังคำของรองผู้อำนวยการจบ เซียนพสุธาชางชิงก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ได้สติ ปริศนาทุกสิ่งเริ่มคลี่คลาย
“ชางชิงเข้าใจแล้ว!”
เซียนพสุธาชางชิงก้มหัวอย่างนอบน้อม คำนับเซียนสวรรค์อวี้หัว
รองผู้อำนวยการอวี้หัวเมื่อเห็นท่าทางของเซียนพสุธาชางชิง ก็พยักหน้าน้อยๆ อย่างชื่นชม
จากนั้น เขาก็เบนสายตามองเบื้องล่างอีกครั้ง
ตรงนั้น มีอีกคนที่เขาค่อนข้างให้ความสนใจอยู่ นั่นก็คืออันหลินที่กำลังกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น
อันหลินไม่รู้ว่าอาการปวดหัวดำเนินไปนานแค่ไหน แต่ในความรู้สึกของเขา มันยาวนานปานหนึ่งศตวรรษ
อาการปวดหัวที่น่ากลัวเช่นนี้ ฝังรากลึกลงในสมองของเขา
เขาสามารถเขียนคำว่าเจ็บปวดนับหมื่นคำ เพื่อใช้มันมาบรรยายความรู้สึกแบบนี้!
“โอ๊ย ปวดจน…เกือบจะเอาชีวิตข้าแล้ว!”
อันหลินกุมหัว ลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก เนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“หา ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือไง โฮ่ง!” ต้าไป๋มองอันหลินที่คล้ายจะไม่เป็นอะไรแล้ว กระดิกหางอย่างดีอกดีใจ
เฉินเฉินจากไปแล้ว ตอนนี้ในสมรภูมิรบเงียบสงัด
เมื่ออันหลินเห็นหวังเสวียนจ้านที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น ก็เกิดลังเลขึ้นมา
“ต้าไป๋ เจ้าว่า เราจะเข้าไปสู้กับเขาสักตั้งดีไหม” อันหลินเห็นหวังเสวียนจ้านหมดซึ่งความฮึกเหิม หมดอาลัยตายอยาก ก็รู้สึกสงสารขึ้นมา
“ต้องไปอยู่แล้วสิ จัดการหมาตกน้ำเป็นเรื่องที่พวกเราชอบมากที่สุดไม่ใช่หรือ!” ต้าไป๋พูดอย่างลำพองใจ
“อย่าพูดเรื่องแย่ๆ เช่นนั้นด้วยความภูมิใจขนาดนี้ได้ไหม” อันหลินระอาใจ
ขณะที่อันหลินกับต้าไป๋กำลังหารือว่าจะเข้าไปหรือไม่ หวังเสวียนจ้านก็โงนเงนลุกขึ้นมาแล้ว
เขาเห็นอันหลินกับต้าไป๋ที่ยังอยู่ที่เดิม สีหน้าก็ถมึงทึงขึ้นมา
“พวกเจ้าไม่อาศัยโอกาสหลบหนี ยังอยู่ที่นี่เพื่ออะไร มาหัวเราะเยาะข้างั้นหรือ”
หวังเสวียนจ้านเดินไปทางอันหลินทีละก้าว อารมณ์โทสะค่อยๆ ผุดขึ้นมาในใจ
“ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะเจ้าเห็นข้าแพ้เฉินเฉิน จึงคิดว่าข้าอ่อนแอ วางแผนจะเอาชนะข้า เพื่อให้ชื่อก้องสรวงสวรรค์ ข้าจะบอกให้นะ แม้ข้าจะแพ้เฉินเฉิน แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าเจ้าหลายเท่า! อยากเอาชนะข้าหรือ ฝันไปเถอะ! ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่า อะไรคือความแตกต่างทางพลังที่แท้จริง!”
นัยน์ตาของหวังเสวียนจ้านกลายเป็นสีทองอีกครั้ง พลังในร่างกายแผ่กระจายประหนึ่งคลื่นทะเลคลั่ง
เขาจำต้องต่อสู้ เพื่อสร้างความฮึกเหิมของตัวเองใหม่อีกครั้ง!
ตอนแรกอันหลินตัดสินใจว่าจะจากไป คราวนี้เยี่ยมเลย หวังเสวียนจ้านเข้ามาก็พูดพล่ามยาวเหยียด จากนั้นจะระเบิดพลังเพื่อจัดการเขา จะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว!
“โฮ่ง! สมกับเป็นหวังเสวียนจ้านอันดับหนึ่งแห่งสำนัก หลังได้รับการกระทบกระเทือน กลับมาอยู่ในสภาพเทพสงครามของสำนักได้ไวปานนี้ อันหลิน พวกเราหนีกันดีกว่า!”
จู่ๆ ต้าไป๋ก็พูดขึ้นมา
อันหลินโมโหจนหน้ามืด พูดอย่างมีน้ำโหว่า “เมื่อกี้เจ้าจะจู่โจมไม่ใช่หรือ เพิ่งมานึกได้ว่าจะหนีตอนนี้ สายเกินไปแล้ว!”
ต้าไป๋แลบลิ้นอย่างเขินอาย
ตอนแรก มันคิดว่ามันกับหวังเสวียนจ้านอยู่ในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเหมือนกัน คงจะแตกต่างกันไม่มาก
แต่ยามมันได้เห็นการต่อสู้ระหว่างหวังเสวียนจ้านกับเฉินเฉิน ก็ตกใจกับพลังแห่งสายเลือดอันน่ากลัวของหวังเสวียนจ้าน ต่อมา เรื่องก็กลับตาลปัตร หวังเสวียนจ้านแพ้อย่างน่าประหลาด แถมยังสูญเสียความฮึกเหิมจนหมดสิ้น
ต้าไป๋ที่เห็นฉากนี้เข้า จึงคิดร้าย อยากลองสัมผัสความสุขที่มังกรตกต่ำถูกสุนัขรังแกสักหน่อย
แต่บังเอิญว่า…
หวังเสวียนจ้านก็มีความคิดอยากฝึกหอกของตัวเองเช่นกัน ซ้ำท่าทางดูไม่เลวเลย จะทำอย่างไรต่อดี!
“อันหลิน เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าเขมือบเจ้าลงท้องก่อน แบบนี้พอใจหรือยัง”
ยามคับขันต้าไป๋ก็มีจิตสำนึกเหมือนกัน เมื่อรู้ว่าเอาชนะไม่ได้ จึงตั้งใจว่าจะส่งอันหลินออกไปนอกเขตแดนด้วยวิธีที่อ่อนโยนกว่า
อันหลินส่ายหน้า ถอนหายใจแผ่วเบา จากนั้นก็ไปยืนอยู่หน้าต้าไป๋ เผชิญหน้ากับหวังเสวียนจ้าน!
ดวงตาดำสนิทของต้าไป๋เบิกกว้าง ไม่รู้ว่าอันหลินทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร “อันหลิน หากจะสู้ก็ให้ข้าจู่โจมเถอะ เจ้าทำหน้าที่เป็นกองหนุน มายืนอยู่หน้าข้าจะมาไม้ไหน”
“เอ่อ…ข้าอยากลองท่าใหม่หน่อย หากว่าไม่ได้ผล เจ้าค่อยลุย!” อันหลินเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ต้าไป๋ “…”
ยามนี้ ในจัตุรัสหยกขาว
เหล่านักเรียนเพิ่งตื่นจากภวังค์การต่อสู้ของเฉินเฉินกับหวังเสวียนจ้าน ก็เห็นคู่หูมนุษย์สุนัขจะเปิดศึกกับหวังเสวียนจ้าน บัดนี้จิตใจที่เพิ่งจะสงบลงเล็กน้อย เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาอีกแล้ว
โดยเฉพาะเซวียนหยวนเฉิงกับสวีเสี่ยวหลานที่เพิ่งกลับมาถึงจัตุรัสหยกขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
ขณะเดียวกัน ก็มีนักเรียนบางส่วนในจัตุรัสที่สะใจ พวกเขาเป็นนักเรียนที่ตกรอบเพราะคู่หูมนุษย์สุนัข บัดนี้ใบหน้ามีแต่ความคาดหวัง หึ อันหลิน เจ้าเก่งนักไม่ใช่หรือ คราวนี้ข้าจะดูว่าเจ้าจะมีจุดจบอนาถปานใด!
พานปู้อวี่ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ผู้มีคุณวุฒิ เริ่มผ่อนคลายจากสถานการณ์ที่น่าอายก่อนหน้านี้บ้างแล้ว
เขาเห็นจากบนหน้าจอผลึกหินว่า หวังเสวียนจ้านจะเปิดศึกกับคู่หูมนุษย์สุนัขแล้ว คิดว่าเป็นเวลาจะกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาแล้ว จึงเอ่ยปากช้าๆ ว่า
“หลังหวังเสวียนจ้านสู้กับเฉินเฉิน ความฮึกเหิมอันไร้เทียมทานถูกทำลาย ไม่เป็นเช่นก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ เขาค่อยๆ ฟื้นฟูจากสงครามเมื่อครู่นี้แล้ว มีความสามารถระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายเช่นเดิมเขาจะใช้คู่หูมนุษย์สุนัขเป็นหินลับหอก ทวงจุดสูงสุดของพลังกลับคืนมา!”
เสื้อผ้าของพานปู้อวี่โบกสะบัดแม้ไร้แรงลม แลดูทะนงองอาจ
คำพูดของเขา นำมาซึ่งสายตาจับจ้องของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง กลายเป็นบุคคลคนสำคัญของบริเวณนี้
ภายในป่าพันยอด เมื่อหวังเสวียนจ้านเห็นอันหลินอาจหาญก้าวออกมา ประจันหน้ากับเขา ก็ทำให้เขาอัดอั้นตันใจ ดวงตาแผ่รังสีอำมหิต
“กายแห่งมรรคขั้นเก้าอย่างเจ้า กลับใจกล้าก้าวออกมาสู้กับข้าเพียงลำพัง! ดีมาก เจ้าคิดว่าข้าแพ้เฉินเฉินผู้มีกายแห่งมรรคขั้นแปด จึงรู้สึกว่าข้าไร้ประโยชน์ใช่ไหม!”
ประโยคนี้อันหลินไม่ตอบ เขาแค่ยืนอยู่ที่เดิม รอการจู่โจมจากหวังเสวียนจ้าน
หวังเสวียนจ้านโมโหอันหลินมากทีเดียว คนที่อยู่ในระดับกายแห่งมรรคกระจอกๆ คนหนึ่ง ยังกล้าเผชิญหน้ากับเขา สำหรับคนที่ทะนงตนอย่างยิ่งเช่นเขา มันเป็นความอดสูอันใหญ่หลวง
“เอาหอกข้าไปกิน!”
หวังเสวียนจ้านไม่พล่ามให้เสียเวลาอีก ยื่นหอกที่รายล้อมด้วยมังกรเขียวและพลังปราณออกไป
อานุภาพของหอกนี้รุนแรงอย่างยิ่ง แม้จะเป็นนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ หากว่าไม่หลบหลีก ก็จะถูกหอกแทงตายได้เช่นกัน
แต่อันหลินกลับไม่หลบไม่หลีก ชูนิ้วขึ้นมา
ภาพที่คล้ายคลึงกัน ท่าทางที่เหมือนกันยิ่งนัก เพียงแค่คนทำไม่ใช่คนเดียวกัน
ขณะนั้น หวังเสวียนจ้านนึกถึงความน่ากลัวของดรรชนีวิถีสวรรค์ขึ้นมา…
ครืน!
ฟ้าดินมืดมน ราวกับทั้งบริเวณนี้เหลือเพียงนิ้วที่แฝงด้วยมรรควิถีอันสูงส่ง
หวังเสวียนจ้านเบิกตากว้าง ความน่ากลัวเริ่มฉายบนใบหน้า เขารู้สึกราวกับตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่ เขารู้สึกเหมือนตัวเองใกล้จะตายแล้ว!
แม้แต่ตอนที่ประจันหน้ากับเฉินเฉิน เขายังไม่มีความรู้สึกเหมือนเข้าใกล้ความตายอย่างรุนแรงเช่นนี้เลย
กาลเวลาหยุดนิ่ง แม้แต่พลังปราณก็เคลื่อนไหวไม่ได้
ครั้งนี้…
ไม่เหมือนกับครั้งที่สู้กับเฉินเฉิน!
เพราะครั้งนี้ พลังของมันไม่ได้เพ่งเล็งแค่หวังเสวียนจ้าน แต่เป็นโลกทั้งใบ!
ฟ้าดินถล่ม ดวงดาราย้อนกลับ ท่ามกลางความเวิ้งว้าง มีเพียงหนึ่งดรรชนีที่สูงเหนือทุกสิ่ง!
ในจัตุรัสหยกขาว แม้จะมีหน้าจอขวางกั้น แต่นักเรียนหลายหมื่นคนก็สัมผัสได้ถึงอานุภาพที่ชวนให้หยุดหายใจได้อย่างชัดเจน ทำให้หายใจไม่ออกและประหวั่นพรั่นพรึง!
เขตแดนค่ายกลที่ปกคลุมป่าพันหยด ถูกทะลวงจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่ในพริบตา พลังแห่งมรรควิถีหลั่งไหลเข้าไป บรรจบกันที่นิ้วนั้นทั้งหมด
รองผู้อำนวยการอวี้หัวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สีหน้าตะลึงพรึงเพริด
เซียนพสุธาชางชิงเป็นเหมือนรูปปั้น พูดอะไรไม่ออกแล้วอย่างสิ้นเชิง แต่เกิดความคิดอยากจะคุกเข่าลุงไปขึ้นมาชั่ววูบ
หวังเสวียนจ้านตะลึงงันไปแล้ว น้ำลายไหลออกมาจากปากเขา เนื้อตัวกระดิกไม่ได้ ยืนมองนิ้วนั้นนิ่งๆ
มันเป็นนิ้วที่น่ากลัวยิ่งนัก เพียงเวลาแค่ชั่วครู่ ก็ทำให้สรรพสิ่งหม่นหมอง!
อันหลินตื่นตระหนกในใจ หลังเขาผ่านความเจ็บปวดรวดร้าวครั้งนั้นมา ก็รู้วิชาดรรชนีวิถีสวรรค์อย่างกระจ่างแจ้งแล้ว
แต่ระบบแจ้งเตือนว่า เขายังไม่มีสิทธิ์ใช้มันไม่ใช่เหรอ
เขาคิดว่า ‘ไม่มีสิทธิ์ใช้มัน’ หมายถึงวางมาดขู่หวังเสวียนจ้านให้กลัวอย่างที่เฉินเฉินทำเสียอีก
แต่เหตุการณ์ตรงหน้านี้…พลังที่ทำให้ฟ้าดินหม่นหมอง กำลังมาบรรจบกันที่นิ้วของเขาอย่างรวดเร็ว
พลังที่แม้แต่เขาก็หวาดกลัว สั่นเทาไม่หยุด ก่อตัวขึ้นแล้ว กำลังจะระเบิดออกมาทั้งหมดแล้ว!
อันหลินคำรามในใจ อยากจะหยุดยั้งมัน
เขารู้ว่าหากปล่อยพลังออกมา ต่อให้มีหวังเสวียนจ้านหนึ่งร้อยคนก็ไม่พอ!
แต่ทว่า นอกจากความรู้สึกแปลกใจในตัวเองแล้ว เสมือนกับว่าร่างกายไม่ใช่ของเขา ไม่อาจหยุดการกระทำได้เลย
เสร็จกัน…คราวนี้หวังเสวียนจ้านจบเห่แน่…
………………………………..
Related