ผ่านไปครู่ใหญ่ สุดท้ายอันหลินก็ยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ไม่ได้อยู่ดี
ไม่ว่าทางไหนก็ต้องตาย สู้ดิ้นรนก่อนตายสักหน่อยดีกว่า…
ทิวทัศน์ในบริเวณป่าพันยอดเรียบง่ายยิ่งนัก ทุกหนแห่งล้วนมีแต่ดินเหลืองกับเศษหิน แม้แต่ยอดเขาที่ตั้งตระหง่านดุจกระบี่คมนับพันลูก ก็หัวโกร๋นเช่นกัน
“เฮ้อ กิจกรรมนี้นอกจากต่อสู้แล้ว ไม่มีเรื่องอื่นที่ทำได้เลยเหรอ” อันหลินประสานมือไว้หลังท้ายทอย เยื้องย่างไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
คนห้าหมื่นชีวิตกระจัดกระจายอยู่ในป่าพันยอดที่กินเนื้อที่หนึ่งร้อยลี้ อยากเจอกับนักเรียนคนอื่น จำต้องเคลื่อนไหวไปข้างหน้าไม่หยุดแบบนี้เท่านั้น
เดินไปได้ไม่นาน อันหลินก็ได้ยินเสียงต่อสู้ดังมาจากข้างหน้า เสียงดังสนั่นของเวทมนตร์ดังไม่ขาดสาย และมีเสียงกรีดร้องแว่วมาเป็นครั้งคราวอีกด้วย
เมื่ออันหลินไปถึง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือ นักเรียนคนหนึ่งล้มอยู่บนพื้น ยันต์คุ้มกันสีทองปรากฏขึ้นบนตัวเขา
เอ๊ะ นั่นคือยันต์คุ้มกันประเมินผลแพ้รบงั้นเหรอ
อันหลินหลบอยู่หลังก้อนหินก้อนหนึ่ง กำลังแอบมองไปทางที่กำลังต่อสู้กันอยู่
แม่เจ้า โหดร้ายเกินไปแล้ว!
สหายที่ล้มอยู่บนพื้นคนนั้น คงจะถูกฟันไปหลายทีเลยสินะ
บาดเจ็บขนาดนี้ จึงจะกระตุ้นยันต์คุ้มกันประเมินผลแพ้รบได้งั้นเหรอ
อันหลินยิ่งดูก็ยิ่งหวั่นใจ น่ากลัวเหลือเกิน กิจกรรมนี้น่ากลัวเกินไป…ตอนนี้เขาเกิดความคิดอยากวิ่งหนีแล้ว
ขณะนั้นเอง ก็มีอักขระประหลาดมากมายปรากฏขึ้นบนยันต์คุ้มกันสีทอง
ต่อมา สหายที่บาดเจ็บคนนั้นก็อันตรธานหายไปจากที่เดิม ท่าทางคงจะถูกส่งตัวออกจากป่าพันยอดแล้ว
ชายคนที่ได้ชัยชนะกระหยิ่มยิ้มย่อง กระบี่สีชาดปล่อยสะเก็ดไฟออกมากลางอากาศ จากนั้นก็มองไปอีกทางหนึ่ง
ชั่ววินาทีนั้น หัวใจของอันหลินเย็นเยียบไปเกือบครึ่งดวง สังหรณ์ใจไม่ดีผุดขึ้นในใจ
“สหายที่ซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน ไม่ต้องซ่อนแล้ว ข้าเห็นเจ้าแล้ว”
ทิศทางที่ชายคนนั้นมอง เป็นตำแหน่งที่อันหลินซ่อนตัวพอดี
อันหลินได้ยินประโยคนี้ ไม่มีทางอื่นแล้ว ต้องทำใจกล้าปรากฏตัวต่อหน้าคนคนนั้น
ชายที่ถือกระบี่สีชาด มีรูปลักษณ์ไม่โดดเด่น เพียงแต่รูปร่างสูงใหญ่กำยำเป็นอย่างมาก ให้อารมณ์เปี่ยมด้วยพลัง
เมื่อเขาเห็นอันหลินปรากฏตัวแล้ว ก็พูดอย่างฉงนสนเท่ห์ว่า “เอ๊ะ เหมือนข้าจะเคยเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อน”
เอ๊ะ เคยเห็นเรามาก่อนเหรอ
อันหลินจ้องชายหน้าแปลกตรงหน้า นึกไม่ออกเลยว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน
“เจ้าคืออันหลินปีหนึ่งสินะ” ชายคนนั้นพูด
“ใช่แล้ว” แม้อันหลินจะแปลกใจ แต่ก็เอ่ยปากตอบไปอยู่ดี
เมื่อได้ยินคำตอบของอันหลิน ชายคนนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะทันที “เจ้านี่เอง เหมือนในรูปวาดในอันดับคนดังของสำนักราวกับแกะ ไม่ผิดแน่”
อันหลินได้ฟังก็ชะงัก อันดับคนดังของสำนัก นี่เรากลายเป็นคนดังไปแล้วเหรอ
แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เมื่อได้ยินคำพูดของชายคนนั้น ในใจเขาก็ยังรู้สึกอิ่มเอมอยู่ดี
ทว่าประโยคต่อไปของชายคนนั้น กลับทำให้อันหลินมึนทันที
“ข้าอยากต่อยเจ้ามานานแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้สวรรค์จะเมตตา ส่งเจ้ามายืนตรงหน้าข้ารวดเร็วปานนี้ ฮ่าๆๆ…” เห็นได้ชัดว่าตอนนี้อารมณ์ของชายคนนั้นดีไม่หยอก
“ข้าว่านะพี่ใหญ่ ข้าไม่เคยทำอะไรเจ้าเลย!” บัดนี้ในใจอันหลินฮึกเหิมอย่างยิ่ง
จู่ๆ ก็มีคนโผล่พรวดพราดมา มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมถึงทำท่าเหมือนมีความแค้นฝังลึกกับตัวเอง… ที่สำคัญคือตัวเองไม่รู้จักเขาเลยสักนิด!
“หยุดพล่ามได้แล้ว! ข้าคือหลี่เจิ้งหยาง ปีสองห้องเจ็ด ศิษย์น้องอันหลิน ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
พูดจบ ชายฉกรรจ์คนนั้นก็ใช้กระบี่สีชาดชี้อันหลิน ระเบิดพลังอันน่าตะลึงออกมา
เวลานี้เองอันหลินมองชายฉกรรจ์คนนั้นอย่างตกตะลึงพรึงเพริด
บัดซบ ทำไมเราถึงมาเจอกับรุ่นพี่ปีสองได้ล่ะเนี่ย
มิหนำซ้ำพลังน่ากลัวอย่างยิ่งแบบนี้…นี่มันจิตสังหารสินะ!
อันหลินไม่ทันได้สติ ก็มีชายอีกคนซึ่งอยู่ไม่ไกลโผล่ออกมา
“เอ๊ะ เจ้าคืออันหลินหรือ” ชายคนนั้นเดินเข้ามาช้าๆ จับจ้องอันหลิน
อันหลินมองชายหนุ่มคนนั้น ตอนนี้ใบหน้าของชายคนนั้นมีรอยยิ้มชวนให้อุ่นใจ
ไม่รู้เพราะอะไร อันหลินเจอความรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูกจากรอยยิ้มของเขา
“ใช่ ข้านี่แหละอันหลิน!”
ราวกับอันหลินเจอความหวังสุดท้าย จึงรีบเอ่ยปากยอมรับทันที
เขาจินตนาการภาพเห็นชายที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยกับเขา มีคุณธรรมยอมยื่นมือช่วยเหลือตน จากนั้นก็ล้มหลี่เจิ้งหยางคนนั้นแล้ว
“หึๆ เจ้านี่เอง…”
ชายคนที่มีรอยยิ้มอบอุ่นปานสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทำหน้าถมึงทึงขึ้นมากะทันหัน พูดเสียงเย็นเยือกว่า “จงเหวิน ปีสองห้องสิบหก ศิษย์น้องอันหลิน ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
พูดจบ จงเหวินก็ล้วงลูกตุ้มดาวตกออกมา กระจายพลังน่าตะลึงออกมา
อันหลินมึนงงขึ้นมาอีกครั้ง ยืนนิ่งอยู่กับที่
นี่มันเรื่องอะไรกัน เราเคยไปทำเรื่องคลุ้มคลั่งเสียสติอะไรกันแน่!
ขณะนั้นเอง ก็มีเงาของนักเรียนอีกคนปรากฏขึ้น
“โอ้โห เกิดอะไรขึ้นที่นี่งั้นหรือ ครึกครื้นขนาดนี้” ชายที่มีรูปร่างผอมบาง ท่าทางเหมือนหนอนหนังสือ เดินเข้ามาพลางทำหน้าแปลกใจ
จากนั้นฝีเท้าของเขาก็ชะงัก “เอ๊ะ เจ้าใช่อันหลินหรือเปล่า”
ดวงตาของอันหลินชื้นแฉะเล็กน้อย ปฏิเสธว่า “สหายจำผิดแล้ว… ข้าไม่ใช่อันหลิน!”
“ฮ่าๆ ข้าอ่านหนังสือมาก เจ้าอย่ามาหลอกข้า! ท่าทางของเจ้าเหมือนกับรูปวาดบนอันดับคนดังของสำนักอย่างกับแกะ!” หนอนหนังสือทำหน้าลิงโลด พูดกับอันหลิน
พูดจบ เขาก็หยิบพัดที่เปล่งแสงเงาวับของโลหะออกมา ระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
“เฉินซูเป่า ปีห้าห้องเก้าสิบ ศิษย์น้องอันหลิน ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
อันหลินรู้สึกเหมือนถูกสัตว์นับหมื่นตัวเหยียบย่ำ ไม่มีแม้แต่แรงจะเอื้อนเอ่ยแล้ว
จะว่าไป อันดับคนดังของสำนักมันเรื่องบ้าอะไรกัน!
อีกอย่างเรามีความแค้นกับรุ่นพี่พวกนี้หรือไง!
ตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีห้า ตอนนี้ขาดแค่รุ่นพี่ปีสี่แล้ว รีบมาสิ อย่าบีบคั้นคนย้ำคิดย้ำทำสิ!
ขณะนั้นเอง เสียงผู้หญิงหวานหยาดเยิ้มก็ดังขึ้นข้างหลังอันหลิน
“เอ๊ะ เจ้าคืออันหลินสินะ”
อันหลินเหลียวมองอย่างเหม่อลอย จากนั้นก็เห็นหญิงสาวที่สวมชุดสีชมพู ท่าทางน่ารัก กำลังยิ้มกริ่มมองตัวเองอยู่
ขณะที่กำลังจะถูกชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งรังแก จู่ๆ ก็มีหญิงสาวรูปงามโผล่มา สำหรับอันหลิน เป็นความโล่งใจไปอีกแบบ
ไม่รอให้เขาพูด หญิงสาวน่ารักคนนั้นก็พยักหน้าโดยไม่สนใจคนอื่นแล้วพูดว่า “ตอนที่เห็นชุดของเจ้า ก็รู้สึกว่าคุ้นตามาก ตอนนี้เมื่อเห็นหน้าเจ้า ข้าก็มั่นใจแล้ว!”
พูดจบ หญิงสาวก็ล้วงกริชที่สะท้อนแสงเงาวับออกจากสาบเสื้อสีชมพู
“เซี่ยซือเหยา ปีหนึ่งห้องเก้า สหายอันหลิน ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
อันหลินสูดจมูก รู้สึกอัดอั้นตันใจ
ที่แท้เขาไม่ได้เป็นที่รังเกียจแค่ของผู้ชายเท่านั้น แม้แต่ผู้หญิงก็อยากจัดการเขา…
เราไปทำเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรไว้กันแน่ ทำไมเราถึงจำอะไรไม่ได้เลย หรือเราจะความจำเสื่อม!
นักเรียนสี่คนที่อันหลินไม่รู้จักเลยสักนิด กำลังเล็งอาวุธมาที่เขาพร้อมกับจิตสังหารอันเต็มเปี่ยม
ในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ อันหลินนึกย้อนถึงคำพูดที่สวีเสี่ยวหลานเคยบอกเขา
‘ไม่ต้องห่วง นักเรียนที่ตายเพราะอุบัติเหตุในศึกแห่งมิตรภาพทุกปี ไม่เคยเกินสิบคนหรอก’
บางที เขาอาจจะเป็นผู้โชคดีในบรรดา ‘นักเรียนไม่เกินสิบคน’ ก็ได้
ขณะที่อันหลินกำลังสิ้นหวังอย่างยิ่ง ก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“เอ๊ะ เจ้าคืออันหลินใช่ไหม”
อันหลิน “…”
………………………………………
Related