บทที่ 28 ฉางจี้นายมีปัญหาแน่!
ผู้แปล loop
ข้อเสียหนึ่งในการใช้ความสามารถพิเศษคือสามารถย้อนกลับไปได้เพียง 1 นาทีเท่านั้น หลังจากหุ้นของบริษัทต้าชิรันเวย์ ถึงจุดสูงสุดและปิดตลาดหุ้นไปทำให้ ดงซูบินไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
เมื่อผ่านไปครึ่งนาที ราคาหุ้นต้าชิรันเวย์ก็ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 6.28%
แม้ว่ามูลค่าของมันจะลดลงเล็กน้อยแต่โจวฉางจูก็ยังรู้สึกตื่นเต้น เขาประทับใจกับการตัดสินใจของดงซูบินเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นรายวัน เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในทีวีก็ไม่สามารถเทียบเท่าดงซูบินได้ และจะมีคนบ้าที่ไหนจะกล้าอ้างว่าหุ้นตัวนี้จะมีมูลเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งยังกล้ารับประกันในหุ้นตัวนั้นอีกด้วย? แต่ดงซูบินกับคาดการณ์สิ่งเหล่านี้อย่างแม่นยำ
โจวฉางจูเองก็มองไปที่ดงซูบินซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างเขา เขาเริ่มชอบเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นบางแล้ว
“ ป่ะ! ไปดื่มน้ำกันเถอะ ซูบิน” โจวฉางจูหยิบถ้วยกระดาษออกมาแล้วเทน้ำลงไปในถ้วยกระดาษหนึ่งใบและยื่นให้กับดงซูบิน
ดงซูบินยืนขึ้นและรีบรับแก้วด้วยมือทั้งสอง “ ขอบคุณครับหัวครับหน้า เดียวผมรินน้ำให้นะครับ”
โจวฉางจูยิ้มพร้อมกับตบไหล่ของดงซูบินและขอให้เขานั่งลง “ นายไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ตั้งแต่วันแรกที่ฉันเจอนาย ฉันก็รู้ได้เลยว่านายนะยอดเยี่ยม ฮ่าฮ่าฮ่า……ดูสิแล้วฉันก็คิดถูก! ทักษะของนายในการทำนายแนวโน้มระยะสั้นมันเหนือคำบรรยายจริงๆ”
“ ขอบคุณครับหัวหน้าสำหรับคำชม”
ดงซูบินรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ค่อยจริงใจเท่าไรนัก เพราะครั้งแรกที่เขาได้เจอกับโจวฉางจูเขาทักทายโจวฉางจูในฐานะ “รองหัวหน้า” โดยไม่ตั้งใจและก็ถูกโจวฉางจูขมวดคิ้วใส่ และอีกครั้งมันเป็นเพราะท่านั่งของเขา หากเขาไม่มีความสามารถในการย้อนเวลาล่ะก็ โจวฉางจูก็คงจะไม่ได้สนใจเขามากขนาดนั้น ‘ฮะ! นี้ฉันกลายเป็นคนพิเศษสำหรับเขาไปแล้วหรอ? หรือว่าเขาพยายามหลอกใช้ฉันอยู่กันแน่’
นี่คือวิธีการทำงานที่มักจะเกิดขึ้นในหน่วยงานภาครัฐของจีน
‘ยังมีอะไรที่ขาดไม่ถึงอีกมากสำหรับที่นี้’ ดงซูบินพูดอยู่ในใจและทำท่าที่ระมัดระวังตัว
โจวฉางจูรินน้ำให้กับดงซูบิน แล้วหลังจากดงซูบินดื่มน้ำเสร็จเขาจึงพูดว่า:“ หัวหน้าโจว! ผมขอกลับไปทำงานก่อนได้มั้ยครับ?”
โจวฉางจูพยักหน้า “ ถ้ามีปัญหาอะไรกับเรื่องงานก็บอกฉันทันที่นะ!!”
ทุกคนในสำนักงานมองดงซูบินเมื่อเขาเดินออกจากห้อง ดงซูบินจำได้ว่า ฉางจี้สั่งให้เขาทำอะไรสักอย่างและนั้นทำให้ความโมโหของเขาก็กลับมาอีกครั้ง เขามองไปรอบ ๆ สำนักงานซึ่งตอนนี้ฉางจี้ยังไม่ได้กลับมาที่สำนักงาน ดังนั้นเขาจึงกลับไปนั่งและทำงานต่อ
เนื่องจากเขาพึงออกมาจากห้องของหัวหน้าโจว ทำให้เขาไม่ได้สนใจเรื่องของฉางจี้
จ้วงจื้อเองก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างกับดงซูบินแต่เขาเองก็เปลี่ยนใจที่จะไม่พูดมัน
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกและฉางจี้ก็เดินเข้ามา
สำนักกิจการทั่วไปกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง ดงซูบินไม่ได้มองไปที่ฉางจี้และเขาก็ยังพิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์ต่อไป
ฉางจี้เห็นว่าตู้จกดน้ำยังว่างเปล่าและเขารู้สึกว่าเขากำลังถูกท้าทาย ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปและเขาเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานของดงซูบินเขาชี้นิ้วไปที่ดงซูบินและพูดด้วยความโมโหว่า:“ ดี ฉันไม่สามารถแม้แต่จะสั่งให้นายยกน้ำขึ้นมาได้ใช่ไหม? นายรู้ไมว่าฉันคือใคร? นายยังกล้ามาท้าทายฉันอีกหรอ“
ดงซูบินมองหน้าฉางจี้ด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ฉันไม่ใช่นายนิ. แล้วนายคิดว่านายคือใครอ่ะ?”
ฉางจี้จับคอเสื้อของดงซูบิน “ ฉันให้โอกาสนายอีกครั้งหนึ่ง ไปยกน้ำมา ตอนนี้! นายได้ยินฉันไม?” ฉางจี้คิดว่าโจวฉางจูยังมาไม่ถึงที่ทำงานจึงไม่ได้ควบคุมระดับเสียงของเขา
พี่หยางก็ตะโกนขึ้นว่า:“ ฉางจี้มันจะมากเกินไปแล้ว”
ต้าหลินเหม่ยกดโทรศัพท์โทรไปที่ห้องของหัวหน้าโจวและตะโกนเสียงดังซึ่งมันดังกว่าเสียงที่พี่หยางตะโกนเสียอีก “ อย่าตีกันเลย! ค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีๆดีกว่า ”
ฉางจ้วงและเกาแพนเหว่ยก็ไม่ได้เตือนฉางจี้ ว่าหัวหน้าโจวอยู่ในห้องของเขา พวกเขาสองคนนั่งอยู่ที่นั้นเหมือนเป็นผู้ชมเพียงเท่านั้น
“ พูดจาดีๆหรอ? ฉันบอกหมอนี้ก่อนหน้านี้แล้วว่าถ้าไม่ทำมันได้ตายแน่” ฉางจี้พยายามควบคุมความโมโหของเขา “หมอนี้มันพยายามหาเรื่องคนที่อยู่มาก่อนอย่างฉัน”
ดงซูบินรู้ดีว่าต้าหลินเหม่ยและพี่หยางตะโกนเสียงดังเพราะพวกเขาต้องการให้หัวหน้าโจวรู้และเขาสามารถเข้ามาจัดการความขัดแย้งนี้ได้ แต่จู่ๆ ดงซูบินก็คิดอะไรดีๆออก เขาตอบกลับด้วยความสุภาพ:“ ตอนนี้ผมยุ่งมากและงานที่พึงรับมาจะส่งไม่ทันแล้ว พี่จี้อย่าทำอะไรผมเลย”
ฉางจี้เห็นท่าทางของดงซูบิน“ แกยอมแพ้แล้วหรอ” ฉางจี้ดูหยิ่งผยองมากขึ้น “ไม่ว่างยังหรอ!? นายยุ่งอะไรอยู่!?”
ดงซูบินจงใจให้ฉางจี้ไม่ให้เขาเห็นหัวหน้าโจวที่กำลังออกมา และพร้อมกันนั้นดงซูบินก็ตอบไปว่า“ สิ่งที่สำคัญมาก”
“ สำคัญขนาดไหน!” ฉางจี้จับคอเสื้อของดงซูบินแน่นขึ้นและตะโกน “ อะไรสำคัญไปกว่าการเติมน้ำยังหรอ!? ฮะ!? ฉันเพิ่งเสร็จงานของฉันและฉันไม่สามารถที่จะได้ดื่มชาร้อนๆสักถ้วย? นายยังมีเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นอีก!? นายควรแยกงานอื่น ๆ ออกก่อนแล้วไปยกน้ำมา!”
ประตูเปิดออก มันเป็นประตูห้องทำงานเล็ก ๆ
“ ……หัวหน้าโจว?”
“ หัวหน้าโจว”
“ เอ่อ……หัวหน้าอยู่ที่ห้องหรอครับ?” ฉางจี้พยายามไม่แสดงอาการตื่นตระหนก เขาค่อยๆปล่อยมือที่จับคอเสื้อของดงซูบิน และดึงมือของเขาออก เขาพยายามจะบ่นก่อน “ หัวหน้าโจว ซูบินคนนี้……”
การแสดงออกทางสีหน้าของโจวฉางจูไม่ดีมากนัก เขาจ้องที่ฉางจี้ด้วยสายตาอาคาตและเขาไปขัดจังหวะเขา:“ ฉันเป็นคนที่ขอให้ซูบินทำอะไรบางอย่างนั้นเอง แล้วนั้นเป็นสิ่งที่นายพูดถึงฉันใช่ไม? ฉางจี้!!”
ฉางจี้ตกตะลึง “ อ้า… .. ผม……ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ผมไม่ได้…..”
โจวฉางจูกล่าวต่อไปว่า:“ ฉันอยากรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญกว่ากัน คำสั่งของนายสำคัญกว่าคำสั่งฉันหรือเปล่า? งานของใครเร่งด่วนมากกว่ากัน? ของนายหรือว่าของฉัน? ฮะ? ซูบินจำเป็นต้องช่วยนายเปลี่ยนน้ำของตู้กดน้ำก่อนที่เขาจะสามารถทำงานที่ฉันมอบหมายให้เขาได้อย่างงั้นหรอ? ฮะ? นายเป็นหัวหน้าหรือฉันเป็นหัวหน้ากันแน่?”
ฉางจี้รู้ทันทีว่าสิ่งที่เขาพึงพูดไปนั้นมันผิดมหันต์ เขาพูดขึ้นมาทันทีว่า:“ ผม… .. ผมไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น……”
“ ตะโกนและคว้าคอเสื้อของเพื่อนร่วมงานในช่วงเวลาทำงาน? นายพยายามที่จะรังแกดงซูบิน? นายคิดว่าสถานที่นี้คือที่ไหน? นายยังมีความเคารพต่อหัวหน้าของนายอยู่รึเปล่า? ห๊ะ!?” โจวฉางจูถามด้วยท่าทางที่ขึงขัง เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขานั้นเข้าข้างดงซูบินอย่างชัดเจน “ นายไม่สามารถโทรหาเฒ่าหวังให้เอาน้ำมาเติมให้ได้หรือไง ทำไมนายต้องใช้ซูบินเพื่อทำมัน? เขาทำให้นายไม่พอใจหรือยังไง!?”
ตอนนี้ฉางจี้เขารู้สึกถึงความอับอายใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง “ ไม่ผมโทรเรียกเฒ่าวังแล้ว แต่ไม่มีใครรับสาย ……เฒ่าหวังน่าจะไม่อยู่ที่นั้น”ฉางจี้พยายามหาขอแก้ตัวให้เขา
หัวหน้าโจวตำหนิเขาอย่างต่อเนื่อง “ แสดงว่าถ้าเรียกเขาไม่ได้ ทั้งสำนักงานก็ไม่ต้องดื่มน้ำกันใช่ไหม?”
ฉางจี้ไม่คาดว่าคำพูดของเขาจะทำให้ โจวฉางจูโมโหมากขนาดนี้ เขาตอบทันที “ เดียวผมจะไปยกน้ำขึ้นมาเอง”
เกาแพนเหว่ยมองดูดงซูบินด้วยความตกใจ เขางงว่าทำไมหัวหน้าโจวถึงให้การช่วยเหลือดงซูบินและดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถสั่งดงซูบินได้อีกในอนาคต
ดงซูบินกล่าวทันทีว่า:“ หัวหน้าโจวผมรับผิดชอบเรื่องนี้เอง เดียวผมขอตัวไปยกน้ำก่อนนะครับ”
โจวฉางจูโบกมือของเขา “ ไปเรียกเฒ่าหวังมาทำงานของเขา” โจวฉางจูรู้สึกเหมือนกันว่าฉางจี้มีความจองหองมากขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อเตือนฉางจี้ หากฉางจี้ยังทำเช่นนี้อีกในอนาคตเขาอาจไม่เคารพโจวฉางจู แม้ว่าโจวจางจูจะทำดีกับฉางจี้ แต่ที่อย่างงั้นเป็นเพราะเขาเคารพผู้ตัดสินทางการเมือง ไม่ใช่เพราะเขากลัวฉางจี้แต่อย่างใด ซึ่งหัวหน้ายังเขาไม่เคยกลัวผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่แล้วแต่เดิม ฉางจี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับผู้ตัดสินทางการเมือง แม้ว่าผู้ตัดสินทางการเมืองเป็นพ่อของเขา แต่เขาก็ยังต้องฟังคำสั่งของโจวฉางจูอยู่ดี และเมื่ออยู่ในสำนักงานแล้วฉางจี้จะต้องเชื่อฟังคำแนะนำของเขาด้วย
หลังจากนั้นไม่นานฉางจี้ก็เดินกลับมาพร้อมกับถังน้ำ ฉางจี้เองดูหอบเมื่อเขาวางถังน้ำไว้ข้างตู้กดน้ำ เนื่องมาจากเขาไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอีกทั้งเขามักจะนั่งว่างงานเป็นปกติ เขาใช้เวลานานในการเปลี่ยนถังและมันยังเปียกไปทั่วตัวของเขา ซึ่งในตอนนี้เขาดูน่าสมเพชจริงๆ
ดงซูบินหัวเราะอยู่ภายในใจของเขาเมื่อเขาเห็นฉางจี้ผู้น่าสงสาร ‘นายชอบเอาแต่สั่งคนอื่นใช่ไม? แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะเมื่อต้องมาทำเองบ้าง? สมควรแล้วล่ะ’
พี่หยางและฉางจ้วงหัวเราะเยาะฉางจี้
ต้าหลินเหม่ยหันไปหาดงซูบินและยกนิ้วโป้งให้กับดงซูบินอย่างลับๆ
ผู้คนในสำนักงานส่วนใหญ่มีประสบการณ์จากความเย่อหยิ่งของฉางจี้ และทุกคนมีความสุขที่เห็นเขามีปัญหา ในเวลาเดียวกันทุกคนมองดงซูบินแตกต่างออกไป หัวหน้าโจวดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับดงซูบินมากขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้