จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 70 เวลาสามปี
งูยักษ์ระดับหกจบสิ้นแล้ว มันดิ้นกระเสือกกระสนอย่างไร้หนทาง
หลังจากนั้นไม่นานมันก็ร่วงกระแทกพื้นดินอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ฉินเทียนมุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งแก่นแกนและเสียบกระบี่ลงไป
กระโหลกของงูยักษ์ถูกแหวกออก ฉินเทียนก้มลงหยิบขึ้นมา
เมื่อสูญเสียแก่นภายใน ดวงตาของงูยักษ์ก็ไร้ประกาย มันตายสนิท….
“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ‘ฉินเทียน’ สำหรับการสังหารงูเขียวยักษ์ระดับหก ได้รับค่าประสบการณ์ 35000 ได้รับพลังปราณ 1200 จุด ได้รับค่าการรอดชีวิต 100………”
“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ‘ฉินเทียน’ สำหรับการบรรลุระดับห้า ขั้นรวบรวมวิญญาณ………”
“ขอแสดงความยินดีต่อผู้เล่น ‘ฉินเทียน’ สำหรับการได้รับ ‘เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า’ “
ฉินเทียนสูดหายใจอย่างตื่นเต้นยินดี ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า?”
เมื่อนึกถึงเมฆดำและสายฟ้าฟาดราวกับวันสิ้นโลกที่กระทั่งฉินเทียนก็ยังหวาดกลัว สัตว์อสูรที่บ่มเพาะพลังได้ล้วนแต่แข็งแกร่ง มันต้องฝึกฝนความสามารถเกี่ยวกับสายฟ้ามานับร้อยปีก่อนที่มันจะรู้แจ้ง ดังนั้นมันย่อมต้องเป็นของดี
สัตว์อสูรที่บ่มเพาะพลังกับผู้ฝึกตนนั้นมีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่สัตว์อสูรระดับสูงนั้นต้องใช้เวลานับสิบหรืออาจกระทั่งร้อยปีเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชา ความเข้าใจของพวกมันขึ้นอยู่เงื่อนไขส่วนตัว และอานุภาพของเคล็ดวิชาก็เช่นกัน
“ทักษะระดับหยก?”
มองดูคุณสมบัติของเคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า ฉินเทียนก็ปลาบปลื้มยินดี และฝึกฝนมันทันที ตอนนี้ในรายการทักษะของเขาพลันปรากฏทักษะใหม่ขึ้นมา เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า
เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้า: ระดับหยก
ความชำนาญ: 0/1000
ขั้น: 0
เพิ่มเติม: ระดับยิ่งสูง พื้นที่ยิ่งครอบคลุม
“สงสัยตอนนี้คงเป็นแค่ฟ้าแลบแปลบๆ ขั้นศูนย์จะครอบคลุมแค่ไหนกัน?” ฉินเทียนกระเหี้ยนกระหืออยากลองวิชา แต่เมื่อเห็นว่ามันต้องใช้พลังปราณถึงหนึ่งหมื่น ฉินเทียนก็ตัวฟีบลง
สำหรับฉินเทียน ค่าพลังปราณเปรียบเสมือนทุนหล่อเลี้ยงชีวิตของเขา เขาไม่กลัวว่าชีวิตนี้จะใช้ทักษะใดไม่ได้
เขาเพิ่งบรรลุระดับห้าขั้นรวบรวมวิญญาณ และค่าพลังปราณของเขาก็แตะห้าหมื่นจุดแล้ว ตามการจำแนกของทวีปเทียนหยวน ค่าพลังปราณของเขาเทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะระดับแปดขั้นรวบรวมวิญญาณ สูงกว่าระดับปัจจุบันของเขาอยู่สามระดับ
ผู้บ่มเพาะพลังทั่วไปมักมีพลังปราณต่ำกว่าระดับบ่มเพาะของตนเองหนึ่งขั้น นี่หมายความว่าพลังปราณของเขาโดดเด่นมาก ในผู้ฝึกตนหนึ่งล้านคนคงยากที่จะพบเจอตัวประหลาดดังเช่นฉินเทียน มีพลังปราณสูงกว่าระดับบ่มเพาะสามขั้น นี่หายากยิ่ง
ทั้งหมดนี้ฉินเทียนยังไม่รู้ตัว ที่เขาคิดก็คือ พลังปราณห้าหมื่นจุดนั้นน้อยเกินไป มันทำให้เขาใช้บ้าคลั่งได้แค่สิบครั้งเท่านั้น “เฮ้อ ดูเหมือนข้าต้องไปล่าสัตว์อสูรเพิ่มแล้ว…”
เพิ่งกล่าวจบ กระทั่งมาวมาวที่อยู่ในแหวนมิติก็ยังกระโดดออกมามองเขาด้วยความหมั่นไส้
หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในแหวนมิติระยะหนึ่ง สภาพภายนอกของมาวมาวก็ดูดีขึ้น
ฉินเทียนประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ใช่ว่ามันหายดีเร็วไปหน่อยเหรอ? ก่อนหน้าร่างกายของมันยังดำมะเมื่อมเหมือนซากสุนัขเพราะโดนพิษอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมองไม่เห็นอาการใดๆแล้ว ขนของมันนุ่มฟูราวกับไม่เคยถูกพิษมาก่อน
มาวมาวเห่าสองสามครั้งเป็นเชิงเรียก เสียงของมันฟังดูอ่อนแอ มองดูใบหน้าที่น่ารักของมัน ฉินเทียนก็คลายใจ “ดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
เขี้ยวของงูเขียวยักษ์มีพิษเคลือบไว้ แต่สำหรับมาวมาวที่กลืนกินแก่นภายในของราชาซากศพเข้าไป นี่ถือเป็นเรื่องจิ๊บจ้อย
เรื่องความเร็วในการฟื้นตัวของมาวมาวนั้นต้องยกให้เป็นความดีความชอบของฉินเทียน เป็นเวลาสองปีที่เขาเลี้ยงมันด้วยเม็ดยาตลอดทั้งวัน นั่นจึงทำให้ร่างกายของมาวมาวแข็งแรงมาก และทำให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ฉินเทียนย่อมคาดคิดไม่ถึงผลลัพธ์นี้
หลังจากเก็บแก่นภายในก็เป็นเวลาเดียวกับที่หลินหยาน และกลุ่มของเขาเดินเข้ามาหาฉินเทียนที่กำลังจะหมุนตัวจากไป ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพเยำเกรง โดยเฉพาะฉางเฟิง ตอนแรกเขาคิดว่าฉินเทียนทำอะไรบางอย่างกับยี่เชียนหาน ทว่าตอนนี้เขาอยากทุบหัวตัวเองที่คิดไปแบบนั้นและต้องการจะฝากตัวเป็นศิษย์ของฉินเทียน ผู้บ่มเพาะระดับสี่ขั้นรวบรวมวิญญาณกลับสังหารสัตว์อสูรระดับหกลง เกรงว่าพูดไปคงไม่มีใครเชื่อ
อย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาเห็นมากับตา แม้พวกเขาจะไม่ทราบว่าฉินเทียนใช้สมบัติแบบใดเข้าช่วย แต่มันก็เป็นความแกร่งแข็งดุจเทพเจ้าจริงๆ ยังมีลูกสิงโตตัวเล็กที่กลายร่างเป้นสัตวือสูรระดับหกนั่นอีก หนึ่งคนหนึ่งสัตวืเลี้ยงคู่นี้แข็งแกร่งไปแล้ว
แข็งแกร่งแบบไม่น่าเชื่อ!
“ขอบคุณ”
ยี่เชียนหานกล่าวเสียงเบาราวกับยุงขณะมองฉินเทียน สายตาของนางไม่เย็นชาเหมือนก่อนหน้าอีก ตรงกันข้ามสายตาที่จ้องมองนี้คล้ายกับต้องการจะมองเขาให้ทะลุไปถึงวิญญาณ
ฉินเทียนหัวเราะ “ตอนนี้ข้าช่วยเจ้าไว้สองครั้งแล้ว คงไม่ติดค้างเจ้าแล้วนะ”
หลินหยานประหลาดใจพลางหันไปมองยี่เชียนหาน มีแต่นางเท่านั้นที่เข้าใจความหมายในวาจานี้ คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าอันเย็นชาของนางก็แดงระเรื่อ ฉากนี้ทำให้ทุกคนปากอ้าตาค้าง
ฉางเฟิงหัวเราะอย่างมีเลศนัยพลางเหล่มองฉินเทียน ในใจของเขาไม่เหลือความขุ่นเคืองอีก เขาเดินเข้าหาฉินเทียนก่อนจะกล่าวว่า “ผู้เชี่ยวชาญ โปรดให้พวกเราร่วมทางไปด้วยเถอะ”
หลังฉางเฟิงพูดจบ หลินหยานก็จ้องฉางเฟิง แต่ในใจของหวั่นไหวขณะรอคอยคำตอบจากฉินเทียน
ฟางขุยยิ้มอย่างโง่งม เขาเกาศีรษะก่อนจะกล่าวว่า “พาพวกเราไปด้วยเถอะ อา”
เห็นรอยยิ้มอันไร้เดียงสาของฟางขุยแล้ว ฉินเทียนก็อดคิดถุงเมิ่งเล่ยไม่ได้ “ก็ได้”
ฉางเฟิงและคนอื่นๆต่างยินดี แม้แต่หลิยหยานที่แทบไม่หัวเราะก็ยังหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข มีเพียงยี่เชียนหานเท่านั้นที่ก้มหน้าลง ไม่มีผู้ใดทราบว่านางคิดอะไรอยู่
คนทั้งหกเริ่มไล่ฆ่าสัตว์อสูรอย่างบ้าคลั่ง เมื่อมีฉินเทียนเข้าร่วม กลุ่มของเขาก็สังหารสัตว์อสูรได้อย่างรวดเร็ว ค่าประสบการณืของฉินเทียนเองก็เพิ่มขึ้นดุจก๊อกแตก
ฉินเทียนเข่นฆ่าเปิดทาง ฉางเฟิงรับหน้าที่เก็บหญ้าวิญญาณ หญ้าเหล่านี้มอบต่อฉินเทียน คนอื่นๆในกลุ่มต่างไม่ต้องการ
ทุกที่ที่พวกเขาผ่าน สัตว์อสูรล้วนตกตาย การตายของงูเขียวยักษ์ซึ่งเป็นราชาแห่งอาณาเขตหมื่นลี้ ทำให้ทั้งกลุ่มเข่นฆ่าได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสัตว์อสูรระดับสูงปรากฏกายไปพักหนึ่ง
หลังจากคลุกคลีกับทั้งกลุ่มมาพักหนึ่ง ฉินเทียนก็หลอมรวมเข้ากับกลุ่มได้อย่างไม่มีปัญหา นอกจากยี่เชียนหานที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาดุจก่อนหน้าแล้ว คนอื่นๆในกลุ่มล้วนปฏิบัติต่อเขาดังสหาย
เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ พริบตาเดียวผ่านไปสามเดือน หลินหยานและกลุ่มของเขามีของแน่นเต็มแหวนมิติ และจำต้องอำลาฉินเทียนอย่างไม่เต็มใจ
มองดูเงาหลังที่ห่างไกลออกไปแล้ว ฉินเทียนก็รู้สึกเหงา แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มออกเมื่อคิดว่าเขาจะเข้าร่วมสำนักเทียนจี๋ในอีกไม่ช้า
หลังจากกลุ่มของหลินหยานจากไป ฉินเทียนก็เริ่มการฆ่าล้างบางอย่างบ้าคลั่ง เขาใช้ปราณออกอย่างไม่เก็บออมใดๆ บ้าคลั่งขั้นที่หนึ่งทำให้เขามีพลังสูงเทียมฟ้า นี่ทำให้เกลียดที่ไม่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับพลังที่แท้จริงของมัน ถึงตอนนั้นพลังของเขาคงถึงขั้นที่กระทั่งตัวเขาเองก็คาดไม่ถึง
เขาเข่นฆ่าไม่หยุดหย่อนเป็นเวลาครึ่งปี รอยโลหิตที่แห้งกรังเปรอะเปื้อนอยู่เต็มชุุด ฉินเทียนเวลานี้กระทั่งกระหายเลือดยิ่งกว่าช่วงเวลาที่อยู่ในหุบเขาหมาป่า
ระยะเวลาสามปีกำลังจะสิ้นสุดในไม่ช้า
เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเข้ามาในภูเขาคุนหลุนที่แสนอันตรายและบีบตัวเองให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เผชิญอันตรายซ้ำไปซ้ำมา ในใจของเขามีอยู่เพียงความคิดเดียว ฆ่าฉินเซี่ยงเทียน และก้าวผ่านประตูตระกูลฉินอย่างผ่าเผย
เพื่อที่จะทำให้เหล่าผู้ที่เคยเยาะเย้ยดูหมิ่นทราบว่าพวกเขาโง่เขลาเพียงใด หใ้พวกเขารู้ว่าตนเองสายตาแคบสั้นเพียงไหน……
ฉินเทียนเป็นคนใจแคบ เขาจะไม่ทนต่อผู้ใดก็ตามที่ร้ายต่อเขา
“ตระกูลฉิน ข้ากลับมาแล้ว…….”