เทพอสูรสยบโลกา – ตอนที่ 646

ตอนที่ 646 คนมากคนน้อย

 

” มองอะไรวะ” ชายฉกรรจ์ในกลุ่มกล่าวขึ้น

 

“ข้าไม่ไปนะโว้ย” ชายอีกหนึ่งแสดงเจตจํานงที่ชัดเจนของตนออกมา

 

พวกมันล้วนมีสีหน้าทิ้งตึงเมื่อพบเจอกับสายตาที่คาดหวังจากเหล่ามวลชน

 

ล้วนไม่มีผู้ใดยินยอมสมัครใจเอาชีวิตตนไปเสี่ยงอย่างแน่นอน ถึงแม้จะอดอาหารหรือถูกสัตว์ประหลาดฆ่าตายในภายหลัง แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าสถานการณ์จะไปถึงจุดนั้น หากบังเอิญมีเมืองที่เก่งกาจอาจหาญมาปราบปรามกําจัดเจ้าสัตว์ประหลาด พวกมันก็จะรอดชีวิตในบัดดล

 

ตอนนี้สิ่งที่พวกมันรู้ก็คือถ้ําแห่งนี้กําลังถูกรุกล้ําด้วยกองกําลังแห่งหนึ่งอยู่ในยามที่พวกมันบุกฝ่าฟันฝูงค้างคาวระดับต่ําเพื่อเปิดเส้นทางหนีอยู่นั้น มีเสียงการต่อสู้มาจากอีกฟากฝั่งที่คั่นด้วยฝูงค้างคาวระหว่างกลางเช่นกัน ฉะนั้นไม่ใช่ว่าพวกมันจะไม่มีความหวังเพียงแค่ภาวนาให้กองกําลังปริศนาจัดการถ้ําค้างคาวนี้ให้อยู่หมัด

 

ให้ไปสอดส่องดูลาดราวงั้นหรือ? มิบอกให้ไปตายเสียเลยเล่า นั่นคือสิ่งที่ชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบมีความคิดเห็นตรงกัน

 

สําหรับพวกมันแล้วหากให้เลือกเผชิญหน้าระหว่างค้างคาวปีกเหล็กระดับต่ําหลายร้อยตัวกับสัตว์ประหลาดแวมไพร์หนึ่งตน พวกมันก็คงตอบอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิต้องนัดหมาย

 

แม้แต่เหล่าชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหอกในการบุกฝ่าฝูงค้างคาวซึ่งนับว่ามีความกล้าหาญสูงส่งกว่าหลายคนในที่นี้ยังไม่มีใครเสนอตัวกล้าออกห่างจากส่วนลึกของถ้ํา แล้วผู้ใดจะยินดีเล่า?

 

ฝ่ายยุยงอึ้งกันทันทีเมื่อพบกับเสียงทัดทานของชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบ พวกมันไม่สามารถใช้แรงกดดันจากจํานวนคนที่มากกว่ามาข่มเหงอีกฝ่ายได้

 

” หนุ่มน้อย นายรู้จักกับเจ้านั่นใช่ไหม?” เสียงสตรีวัยกลางคนนางนึงกล่าวขึ้น เป้าหมายของประโยคดังกล่าวเจาะจงไปยังชายหนุ่มผู้หนึ่ง มันคือเพื่อหลง

 

“ผ-ผมหรอ” เต๋อหลงกําลังงุนงงกับคําถามที่ไม่รู้จุดประสงค์

 

“เมื่อครู่นายบอกว่ามันชื่อหลิน..อะไรนะ” สตรีนางนั้นกล่าวต่อ

 

“อ้อ เขาชื่อหลินหยางครับ” เต๋อหลงกล่าวตอบ สีหน้าของมันสับสน

 

“นั่นแหละ นายไปดูมันซิ” นางกล่าว

 

“ห้ะ! ท-ทําไมถึงเป็นผม” เต๋อหลงอุทาน

 

“พวกเราในที่นี้ไม่มีใครจดจําใบหน้ามันได้สักคน ในเมื่อพวกนายเป็นสหายกันงั้นนายก็ดีอตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วทุกคนว่าไหม” สตรีนางนั้นกล่าวด้วยน้ําเสียงเจ้าเล่ห์ถ้อยคําสุดท้ายของนางกล่าวพร้อมกับหันศรีษะมองไปยังผู้คนที่รายล้อมราวกับส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง

 

“ใช่แล้ว เอ็งนั่นแหละ”

 

“ไม่มีใครเหมาะไปกว่าแกแล้ว”

 

“ใช่ๆ”

 

ราวกับจิตใจของพวกมันสื่อถึงกันและกัน ฝูงชนเริ่มแสดงความเห็นด้วยกับสตรีวัยกลางคน ยุยงส่งเสริมกดดันเต่อหลงชายหนุ่มวัยยี่สิบ

 

ตอนนี้แม้แต่เหล่าชายฉกรรจ์ที่แยกตัวออกไปยังร่วมสมทบร่วมแรงร่วมใจยุยงส่งเสริม

 

พวกมันเป็นห่วงหลินหยางงั้นหรือ? ไม่อย่างแน่นอน ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความห่วงใยแม้สักนิดความต้องการของพวกมันชัดเจนเหนือสิ่งใดนั่นก็คือเลือกผู้โชคร้ายสักคนให้ไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมและเป้าหมายและเต่อหลงก็คือตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งชายหนุ่มวัยเพียงยี่สิบปีร่างกายผอมแห้งคล้ายไม่มีเรี่ยวแรง หากชายร่างกายอ่อนแอผู้นี้โชคร้ายถูกฆ่าตายโดยสัตว์ประหลาดก็คงไม่มีผลกระทบกับกําลังรบของกลุ่มผู้รอดชีวิตมากนัก

 

“อ-เอ่อ” เต่อหลงมองสบสายตากับหลี่จึงใช้สายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ

 

หลี่จึงก้มหน้าหลบสายตาทันที แม้พวกมันจะรู้จักกันแต่มันก็เป็นระยะเวลาไม่นานเพียงหนึ่งถึงสองชั่วมองเท่านั้นหากหลี่จึงแสดงตนปกป้องคนที่เหลือก็จะทราบทันทีว่ามันก็รู้จักมักคุ้นกับหลินหยางมีหวังมันได้โดนร่างแหเป็นผู้ร่วมชะตากรรมไปด้วย

 

เพื่อหลงตกอยู่ใจกลางวงล้อมของมวลชน สายตานับร้อยจับจ้องมันเป็นตาเดียวพร้อมกับกล่าววาจาโน้มน้าวชายหนุ่มต่างๆนาๆไม่มีช่องว่างให้มันได้สอดแทรกหรือโต้แย้ง

 

ทันใดนั้นเองมีเสียงประหลาดดังกึกก้องสะท้อนมาจากที่ใดมิทราบดึงขั้น ส่งผลให้ฝูงชนปิดริมฝีปากของตนเงียบกริบลงในบัดดล

 

เสียงปริศนานี้มิใช่ครั้งแรกที่พวกมันได้ยิน ร่วมสิบนาทีที่ผ่านมาพวกมันได้ยินเสียงนี้แว่วรําไรมาเป็นครั้งคราว แต่ครานี้มันดังกว่าครั้งไหนๆชัดเจนยิ่งกว่าคราใด

 

แน่นอนเสียงดังกล่าวย่อมเกิดจากการร้องของแวมไพร์ปีศาจ แต่ทว่าสําหรับพวกมันแล้วเสียงนี้กลับเป็นความพิศวงที่มิคุ้นหูมิทราบถึงที่มาที่ไปต้นตอของเสียงดังกล่าว แต่ก็มีบางคนที่เริ่มระแคะระคายเดากันไปต่างๆนาๆว่าเสียงนั้นอาจมาจากสัตว์ประหลาดที่พวกมันเกรงกลัว

 

ฝูงชนเงียบสนิทใบหน้าถอดสี

 

“นั่นมันเสียงอะไรวะ” ชายฉกรรจ์หนึ่งในยี่สิบรายนึงกระซิบกระซาบกล่าวบางเบา

 

“เสียงจากกลุ่มที่กําลังบุกเข้ามาหรือเปล่า?” ชายคนนึงกล่าวให้แง่ดี

 

“ถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร” ชายข้างกายมันตอบด้วยโทนเสียงเดียวกัน พวกมันเบาเสียงพูดพยายามเลี้ยงหูฟัง

 

ตึก…ตึก

 

ทันใดนั้นเองเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบนายตื่นตัวสีหน้าจริงจัง พวกมันหันหน้าอย่างพร้อมเพรียงมองไปยังความมืดเป็นจุด พร้อมกับเสียงที่คล้ายคลึงกับเสียงย่ําเท้าค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆจนชัดเจนในที่สุด

 

ในมือทั้งสองข้างของพวกมันทุกคนล้วนถืออาวุธกระดูกไว้ในสภาพพร้อมรบ

 

เสียงนั้นเข้าใกล้พวกมันทีละนิด ทีละนิดแต่จู่ๆเสียงดังกล่าวก็หายไป

 

“เจ้าหนุ่ม ทําไมยังไม่รีบไปอีก” เสียงสตรีสูงวัยกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

 

“อ-เอ๋” เต๋อหลงทําหน้าเลิกลักทําตัวไม่ถูกเมื่อเจอกับคําไหว้วานแกมบังคับ

 

“ชูว” ชายผู้มีระดับสี่สังเกตุเห็นความผิดปกติจากเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบที่รวมกลุ่มกันอยู่ตรงปากทางเข้าส่วนลึกของถ้ําที่ห่างออกไปเล็กน้อย มันส่งสัญญาณหมายถึงความเงียบ

 

ดูจากสีหน้าของเหล่าชายผู้กล้าหาญทั้งยี่สิบแล้วบัดนี้ใบหน้าของพวกมันเคร่งเครียดอย่างยิ่งบางคนมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามใบหน้า บางคนหน้าซีดขาว บ้างก็หายใจรุนแรงฟืดฟัดคล้ายกับพวกมันกําลังเจอสถานการณ์ที่กดดันอย่างยิ่ง

 

ชายผู้มีระดับสี่เห็นเช่นนั้นมันถือดาบสั้นไว้ในมือพร้อมกับย่องเท้าบางเบาเข้าหากลุ่ มชายฉกรรจ์

 

“เกิดอะไรขึ้น” มันกล่าวถามเหล่าชายฉกรรจ์

 

..” มิได้รับการตอบรับกลับมาจากคนเหล่านี้ พวกมันไม่แม้แต่จะหันศรีษะมาทางชายผู้มีระดับสี่ด้วยซ้ํา ทุกคนล้วนจดจ่อจ้องมองไปยังความมืดด้วยอารมณ์อันหนักอึ้ง

 

ห่างไปสองเมตรจากทางเข้าส่วนลึกของถ้ํา

 

“หึม” หลินหยางยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อพบเจอกับการต้อนรับแสนอบอุ่นจากชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบนายเสียงปริศนาที่พวกมันได้ยินกันเมื่อครู่ก็เป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากหลินหยางนั่นแลสิ่งที่ทําให้ชายหนุ่มแปลกใจก็คือทําไมพวกมันถึงมายืนออกันอยู่หน้าทางเข้าส่วนลึกของถ้ําเช่นนี้?

 

ด้วยระยะการมองเห็นที่มากกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่าทําให้หลินหยางมองเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ เหล่านี้ก่อนที่พวกมันจะเห็นตัวเขา

 

การกระทําของชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบนับว่าเป็นการตัดสินใจได้ถูกต้องสําหรับการต่อกรกับศัตรูในพื้นที่แคบและคอยปกป้องผู้อ่อนแอไร้กําลังรบที่แอบอยู่ด้านหลังของพวกมัน แต่มันช่างไร้ สาระไม่มีประโยชน์อย่างยิ่งเพราะสิ่งที่มันกําลังเผชิญหน้าอยู่คือปีศาจแวมไพร์ นี่พวกมันคิดหรือว่าแค่ป้องกันปากทางเข้าส่วนลึกของถ้ําเอาไว้จะสามารถหยุดเจ้าสัตว์ประหลาดตนนั้นได้?

 

หลินหยางอมยิ้มในความไร้เดียงสาของชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบ

 

“อะแฮ่ม” ชายหนุ่มส่งเสียงกระแอม

 

“ใคร!” เสียงชายที่คุ้นเคยกล่าวขึ้น มันคือชายผู้มีระดับสี่ที่ตอนนี้กําลังแทรกตัวผ่านร่างของชายฉกรรจ์ทั้งยี่สิบ

 

” ผมเอง” หลินหยางกล่าวตอบพร้อมกับสาวเท้าเดินไปเบื้องหน้าปรากฏกายให้พวกมันเห็นได้แจ่มชัด

 

”เจ้า!”

 

“เจ้าหนุ่ม” เหล่าชายฉกรรจ์อุทานเมื่อเห็นชายหนุ่มอยู่ในครรลองสายตา

 

สีหน้าพวกมันผ่อนคลายลงก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นนิติยินดีในที่สุด

 

“ใช่” หลินหยางตอบด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม

 

“พี่หยาง?” ชายผู้มีระดับสี่เลิกคิ้วสูงสีหน้าบ่งบอกถึงความแปลกใจราวกับเห็นกลางวันแสกๆ

 

“เจ้าหนุ่ม เอ็งรอดมาได้ยังไง” ชายฉกรรจ์รายหนึ่งกล่าวถามด้วยน้ําเสียงแห่งความตื่นเต้นมันคาดหวังรอคอยคําตอบจากชายหนุ่มตรงหน้าอย่างยิ่งเพื่อจะได้รับเบาะแสที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ในยามเผชิญหน้ากับเจ้าสัตว์ประหลาด

 

“แกไม่ใช่หลินหยาง!” ก่อนที่หลินหยางจะได้ตอบกลับ จู่ๆชายผู้มีระดับสี่ตวาดลั่นเสียงดังพร้อมกับยกดาบสั้นชี้ปลายแหลมดาบสั้นไปทางหลินหยาง

 

เทพอสูรสยบโลกา

เทพอสูรสยบโลกา

Score 7.1
Status: Ongoing Released: N/A Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง เทพอสูรสยบโลกาประเทศจีน ปี ค.ศ. 2025 จู่ๆ เกิดแผ่นดินไหวขึ้นทั่วโลก และ มี”ประตู” ประหลาดเกิดขึ้นทั่วทุกเมืองใหญ่ทั่วโลก พร้อมกับเสียงปริศนา “มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าอยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาหรือไม่ อำนาจ เงินทอง วาสนา ความมั่งคั่ง หากอยากเปลี่ยนแปลง เชิญเข้ามาที่ประตูนี้ จักต้อนรับพวกเจ้า” เรื่องราวแห่งตำนานกำลังจะเริ่มขึ้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset