52 – ขบวนปีศาจ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตงเฉิงมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจไม่ใช่เพราะขนมหรือสถานที่ท่องเที่ยวแต่เป็นเพราะการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ในปีนี้นักเรียนที่สอบติดสามอันดับแรกของประเทศล้วนมาจากตงเฉิง ผู้ปกครองของพวกเขาให้สัมภาษณ์กับสื่อทีวีว่าพวกเขามาขอพรที่วัดขงจื้อในตงเฉิง
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อโจวเจ๋อ ร้านหนังสือของเขาปลอดจากการพึ่งพา “เงินของคนที่มีชีวิต” มานานแล้วโดยตอนนี้เขามุ่งเน้นหาเงินกับคนตายเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเจ้าอ้วนที่แกล้งทำตัวเป็นมาเฟียกลับปรากฏตัวขึ้นที่หน้าร้านของโจวเจ๋อ
และพยายามชักชวนให้เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายข้อสอบที่เขาแอบไปถ่ายเอกสารจากหนังสือเก็งข้อสอบของสถาบันกวดวิชาชื่อดัง
โจวเจ๋อปฏิเสธอีกครั้ง ชายอ้วนจึงจากไปอย่างไม่มีความสุข ในขณะที่เขาเดินออกไปเขายังคงเย้ยหยันซูเล่อว่าเป็นคนใจเสาะอยู่ไม่ขาดปาก
โจวเจ๋อยังคงนั่งอ่านอยู่หลังเคาน์เตอร์ การมาเยี่ยมของเจ้าอ้วนไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการสร้างความรำคาญเล็กน้อย
ตามปกติหลังจากทำความสะอาดร้านหนังสือไป๋อิ่งจะนั่งบนเก้าอี้แล้วหลับตาพิงกำแพง ราวกับว่าเธออยู่ในความงุนงงหรือนอนหลับอยู่
ชีวิตของสองคนนั้นเหมือนกับคู่รักวัยชราที่นั่งอยู่ในบ้านเฉยๆโดยไม่มีอะไรทำ
แต่โจวเจ๋อก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ มันแตกต่างจากชีวิตที่แล้วของเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้คนเจ็บป่วยคร่ำครวญอยู่ในห้องฉุกเฉินและเขาต้องกระตุ้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา
สำหรับไป๋อิ่งเธอนอนอยู่ในโลงศพมา 200 ปีแล้ว เธอเคยชินกับความเงียบงันมาช้านานจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักหากต้องนั่งอยู่อย่างนี้ทั้งวัน
แน่นอนว่าโจวเจ๋อย่อมเทียบกับเพื่อนบ้านของเขาไม่ได้ ซูชิงหลางเป็นคนมีความทะเยอทะยานมากกว่า
เขาร่ำรวยมั่งคั่งจากการใช้ตาทิพย์ของตัวเองเล่นหุ้นและทำกำไรได้มากมาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆอยู่ทุกวัน
ดังนั้นซูชิงหลางจึงไม่พอใจกับสภาพเสื่อมโทรมของเจ้านายและสาวใช้ที่อยู่ในร้านติดกัน!
“ดูพี่สิทำตัวเหมือนกับศพเดินได้ซะนั้น” ซูชิงหลางเดินมาสูบบุหรี่ที่หน้าร้านของโจวเจ๋อพร้อมกับพูดเสียดสี
“ความจริงผมก็เป็นคนตายอยู่แล้ว” โจวเจ๋อโบกมือก่อนจะล้วงบุหรี่ออกมาสูบเช่นกัน
“พี่เป็นคนที่มีชีวิตอยู่มาถึงสองชีวิตแล้วแต่กลับไม่มีอะไรเลย ดูฉันเป็นตัวอย่างฉันมีคอนโดหรูหราถึง 20 ห้องแต่ฉันก็ยังหาเงินไม่หยุด”
โจวเจ๋อเหลือบมองซูชิงหลางและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณกำลังอวดเธออยู่หรือ?” โจวเจ๋อพยักหน้าไปทางไป๋อิ่งนั่งหลับอยู่
“ไม่มีงาช้างงออกออกมาจากปากสุนัข” ซูชิงหลางเงยหน้าขึ้นและมองไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน (หลังคา) “ฉันคิดว่าฉันจะมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้นเมื่อฉันแก่ตัวลง”
“คอนโด 20 หลังของคุณดึงดูดให้ผีสาวส่งเกี้ยวมารับคุณไปแต่งงานถึงที่ คุณควรทำงานให้หนักและหารายได้เพิ่มขึ้นบางทีครั้งต่อไปราชานรกอาจเป็นคนส่งเกี้ยวมารับคุณก็ได้ “
“ฮ่าๆๆ” ไป๋อิ่งที่นั่งหลับอยู่ข้างๆหัวเราะกับมุกตลกของเจ้านาย
“เกือบแปดโมงแล้ว ฉันต้องออกไปข้างนอก”
“จะไปไหนเหรอ?” โจวเจ๋อตกตะลึงชั่วขณะ
โดยทั่วไปซูชิงหลางจะพักผ่อนในช่วงเช้าและเปิดร้านช่วงบ่ายจนถึงดึก
“วันนี้เป็นวันที่วัดขงจื๊อเปิด มันสำคัญมากสำหรับคนที่จะสอบเข้ามหาลัย และญาติของฉันเขาวานให้ช่วยซื้อเครื่องรางให้หน่อย เขาว่าที่นั่นเครื่องรางค่อนข้างจะขลังเลยทีเดียว”
“อย่างคุณเนี่ยนะจะไปเข้าคิวเพื่อนซื้อเครื่องราง”
โจวเจ๋อรู้นิสัยของซูชิงหลางดี เขาเป็นคนที่ไม่แยแสอะไรทั้งยังค่อนข้างเห็นแก่ตัว รวมไปถึงขี้เกียจในทุกเรื่องนอกเสียจากเรื่องไหนที่สามารถทำเงินได้
“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็กพวกเขาเป็นคนเลี้ยงดูฉันมาในตอนที่พ่อแม่เสียชีวิต ไม่อย่างนั้นเด็กน้อยคนหนึ่งจะเอาตัวรอดได้อย่างไร” ซูชิงหลางจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว.” โจวเจ๋อพยักหน้า
“ไม่ไปด้วยกันเหรอ?” ซูชิงหลางรีบชวนทันที “พาเธอออกไปเที่ยวบ้างก็ได้” ซูชิงหลางชี้ไปที่ไป๋อิ่ง “เธอแข็งแกร่งเหมือนวัว จะได้ช่วยพวกเราแบกของ”
หญิงสาวถลึงตามองเขาอย่างดุดัน
“อยากออกไปเดินเล่นไหม?” โจวเจ๋อเลิกคิ้ว
ไป๋อิ่งที่กำลังจะตะโกนด่าซูชิงหลางรีบกลืนคำพูดงงท้องทันที เพียงชั่วพริบตาใบหน้าของเธอก็ถูกฉาบไปด้วยรอยยิ้มสดใส
ทุกวันนี้เธอไม่เคยออกจากร้านหนังสือเลย
เมื่อเห็นท่าทีของไป๋อิงโจวเจ๋อได้แต่พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ อย่าเห็นว่าเธอเป็นเพียงสาวใช้หรือซอมบี้ จะอย่างไรเธอก็มีหัวใจเป็นของตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงต้องตอบแทนเธอที่ช่วยทำความสะอาดร้านอยู่ทุกวัน
โจวเจ๋อเชื่อว่าถ้าวันหนึ่งความสามารถของเขาหายไปยัยเด็กนี่คงไม่รอช้าที่จะฉีกร่างกายของเขาเป็นชิ้นๆ
ทั้งสามคนนั่งแท็กซี่ไปที่วัดขงจื้อ ทางด้านนอกวัดมีผู้คนมากมายที่กำลังต่อแถวกันเข้าไปไหว้พระ โดยส่วนมากแล้วมักจะเป็นผู้ปกครองที่มาขอพรให้กับลูกๆของพวกเขา
ซูชิงหลางได้พบกับลูกพี่ลูกน้องรวมทั้งภรรยาของเขา พวกเขาดูซื่อสัตย์และใจดีมาก
แน่นอนว่าลูกชายของพวกเขาไม่ได้มาด้วย ตอนนี้เป็นช่วงที่ทุกคนกำลังอ่านหนังสืออย่างหนัก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะข้ามจังหวัดมาเพื่อไหว้พระแล้วต้องขาดเรียนในวันต่อไป
วัดขงจื้อจะปิดไว้ทั้งปีจนกระทั่งหมดฤดูใบไม้ผลิถึงจะเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาเข้าเยี่ยมชม สำหรับสาเหตุที่วัดแห่งนี้ไม่ได้เปิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
อาจเป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ของวัดขงจื๊อคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าอับอายที่จะแย่งชิงเครื่องเซ่นไหว้กับผีวัว เทพเจ้างู ภูติภูเขา และอสูรป่าในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ
นี่เป็นเพียงเหตุผลในตำนานเท่านั้น เรื่องจริงจะเป็นอย่างไรโจวเจ๋อก็ไม่คิดจะสนใจแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นด้วยเสียง “เอี๊ยด” ประตูไม้สีแดงก็ถูกเปิดออก และผู้ปกครองที่รออยู่ข้างนอกก็กรูกันเข้าไปในวิหารขงจื๊อราวกับเขื่อนแตก
ไป๋อิ่งเป็นคนแรกที่เดินเข้าไป ในขณะที่ซูชิงหลางและญาติของเขาก็ติดตามอย่างใกล้ชิด
โจวเจ๋อไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรจึงนั่งสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก
เมื่อสูบบุหรี่ได้คำเดียวโจวเจ๋อบังเอิญพบว่าบุหรี่ของเขาดับลง เมื่อเขาจุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกครั้งบุหรี่กลับไม่มีรสชาติเหมือนกำลังสูบหญ้าแห้งอยู่
“ฮ่า.” โจวเจ๋อโยนบุหรี่ของเขาลงไปในถังขยะ เขารู้ว่าตอนนี้บุหรี่ของเขากลายเป็นเครื่องเซ่นไหว้ไปแล้ว
“ปัง!”
เสียงฆ้องดังขึ้นอย่างกะทันหัน โจวเจ๋อหันกลับไปทางต้นเสียงในแปลงดอกไม้หลังวัดขงจื๊อ ชายชราคนหนึ่งถือฆ้องในมือและมีบุหรี่อยู่ในปาก
ชายชรายังเหลือบมองที่โจวเจ๋อพร้อมกับผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ
โจวเจ๋อก็ยิ้มเช่นกัน หลังจากนั้นเขาจุดบุหรี่ที่เหลือทั้งหมดวางไว้ที่พื้นเพื่อส่งไปให้ชายชรา
ในไม่ช้าควันบนพื้นก็หายไปและชายชราคนนั้นก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข ในขณะที่ชายชรากำลังมีความสุขอยู่นั้นด้านหลังเขาก็มีกลุ่มคนเดินออกมา
ไม่ใช่พ่อแม่ที่เพิ่งเข้าไปในวัดขงจื้อ แต่เป็นกลุ่มคนแปลกๆ
สองสามคนแรกถือพัดขนนกและแต่งกายด้วยชุดผ้าไหม เท้าของพวกเขาเดินส่ายไปส่ายมา ใบหน้าของพวกเขาเป็นสีเทา และพวกเขาเดินตามรอยเท้าของชายชราอย่างช้าๆ
ที่เดินตามมาอีกขบวนเป็นเด็กหญิงสองสามคนที่มัดผมเปียคล้ายกับเด็กผู้หญิงยุค 80
หลังจากนั้นบางคนก็เริ่มใส่เสื้อผ้าที่ทันสมัยมากขึ้นเรื่อยๆ สองสามชุดสุดท้ายเป็นชุดที่วัยรุ่นกำลังนิยมกันในขณะนี้
อย่างไรก็ตามคนที่เดินตามหลังมาช่วงท้ายๆล้วนมีลักษณะแปลกประหลาดอย่างมากบางคนมีผิวเขียวคล้ำ บางคนกะโหลกศีรษะแตกแขนขาบิดเบี้ยว
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะการเสียชีวิตที่มีความแตกต่างของพวกเขา ในไม่ช้าโจวเจ๋อก็พบว่าเด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ฆ่าตัวตาย บ้างกระโดดตึก บ้างกินยาพิษ
หนึ่งในนั้นโจวเจ๋อดูเหมือนจะเคยเห็นรูปของเขาตอนที่เขาอ่านข่าวเมื่อสองสามปีก่อน เนื่องจากเขาทนแรงกดดันของครอบครัวไม่ไหวจึงกระโดดออกจากระเบียงชั้นสิบของหอพัก
ชายชราเดินนำไปข้างหน้าพร้อมกับตีฆ้อง วิญญาณของเด็กนักเรียนมากมายที่เดินตามหลังชายชราเหมือนกับขบวนแห่
รอบๆวัดขงจื้อมีผู้คนมากมายแต่ไม่มีใครมองเห็นพวกเขานอกจากโจวเจ๋อ
“ปัง!”
ด้วยเสียงฆ้อง
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องมีตึกสูงอยู่อาศัย ขอเพียงมีความรู้ก็เพียงพอแล้ว!” ชายชราคำรามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ปัง!”
“อย่าเกลียดแม่สื่อแย่ๆในเมื่อเจ้าตกลงใจที่จะแต่งงาน”
ชายชรายังคงตะโกนต่อไป
หลังจากเดินไปรอบๆวัดขงจื้อสามรอบขบวนแห่แปลกประหลาดก็ค่อยๆหายตัวไป
ในวัดขงจื้อผู้ปกครองที่เสร็จสิ้นการขอพรก็เดินออกจากวัดด้วยสีหน้าแช่มชื่นเต็มไปด้วยความคาดหวัง