บทที่ 477 จับคู่อย่างกะทันหัน
เป็นธรรมดาที่สวี่เชิ่งเหม่ยจะต้องตำหนิสวี่เชิ่งเฉียง
หล่อนต้องใช้สมองไปตั้งเท่าไหร่จึงสามารถพาน้องชายมาอยู่ที่นี่ได้? หล่อนอยากให้เขามาที่นี่เพื่อที่เขาจะได้ประสบความสำเร็จบ้าง เช่นนั้นจะได้สามารถนำเกียรติยศมาสู่หล่อนได้ และครอบครัวสามีจะได้รู้ว่าครอบครัวทางแม่ของหล่อนก็ยังมีน้องชายที่มีอนาคตก้าวหน้าอยู่
แต่ใครจะรู้ว่าน้องชายตนจะเป็นคนมุทะลุได้ถึงขนาดนี้
ตอนนี้อย่าว่าแต่เรื่องเกียรติยศเลย นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้หล่อนเสียหน้าจริง ๆ และสิ่งที่ทำให้หล่อนยิ่งโมโหก็คือ หล่อนบอกให้เขามาบ้านครอบครัวโจวเพื่ออธิบายว่าเขาไม่ได้ตั้งใจก่อเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้น แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นมาหลอกลวงความรู้สึกเขา
ไม่สำคัญหรอกว่าหล่อนจะล้อเล่นกับความรู้สึกของเขาหรือไม่ สรุปก็คือเขาแค่ต้องสาดน้ำสกปรกออกไปให้พ้นตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม น้องชายของหล่อนกลับไม่ยอมมาที่นี่!
“ทำไมผมจะต้องไปด้วย? พวกเขาไม่สนใจผม ดูถูกผม จะให้ผมไปเพื่อถูกดุด่างั้นเหรอ?” สวี่เชิ่งเฉียงพูดอย่างโกรธเคือง
สวี่เชิ่งเหม่ยถึงกับยัวะจัด!
ทำไมเขาถึงไม่รู้จักใช้สมองบ้าง? ทำไมครอบครัวจ้าวถึงยังพอจะไว้หน้าพวกเขาอยู่บ้าง? นั่นเป็นเพราะครอบครัวตระกูลโจว
ไม่สำคัญหรอกว่าครอบครัวตระกูลโจวจะดูถูกพวกเขา 2 คนพี่น้องหรือไม่ ตอนนี้มีเพียงครอบครัวตระกูลโจวเท่านั้นที่เป็นกำลังสนับสนุนให้พวกเขาได้!
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาที่บ้านครอบครัวโจวเพื่ออธิบาย จะปล่อยให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดหวังในตัวพวกเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเส้นทางของพวกเขาในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
แต่สวี่เชิ่งเฉียงกลับไม่ยอมมา
ด้วยเหตุนี้ สวี่เชิ่งเหม่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันมาที่นี่เพียงลำพัง
“เฉียงจือไปไหน?” ท่านแม่โจวซึ่งนั่งรออยู่ที่ร้านถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เฉียงจือถูกทำร้ายบาดเจ็บค่อนข้างหนักค่ะ เขายังต้องนอนพักอยู่บนเตียงไปอีกสักพัก” เมื่อมาถึง สวี่เชิ่งเหม่ยก็คิดข้อแก้ตัวออกมาได้ “สิ่งที่เฉียงจือทำลงไปทำให้หนูผิดหวังมากจริง ๆ ค่ะ คุณยาย เมื่อคืนหนูนอนไม่หลับทั้งคืนก็เพราะเขา!”
“ไม่หลับทั้งคืนอย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเธอดีใจหรอกหรือที่พาเขามาที่นี่ได้? มีเรื่องทะเลาะชกต่อย 2 ครั้งติด นี่ไม่รู้หรือว่าปักกิ่งเป็นสถานที่แบบไหน? ไม่น่าแปลกใจเลยที่น้าและน้าสะใภ้ของเธอถึงได้ไม่ยอมให้เขามาที่นี่ หู่จือกับกังจือมาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว พวกเขาเคยก่อเรื่องอะไรบ้างไหม?” ท่านแม่โจวระเบิดอารมณ์ออกมา
“คุณยายคะ หนูรู้ค่ะ หลังจากคราวก่อนหนูก็บอกเขาแล้วว่าให้ตั้งใจเรียน อย่าก่อเรื่องขึ้นอีก แต่คุณยายไม่ทราบอะไร เรื่องนี้เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวสร้างปัญหา” สวี่เชิ่งเหม่ยอธิบาย
“เรื่องที่หล่อนสร้างปัญหาไปเกี่ยวอะไรกับเฉียงจือด้วย? ทำไมกังจือกับคนอื่น ๆ ไม่เห็นเขาจะมีเรื่องชกต่อยเลย? เนื้อเน่ากับแมลงวัน ไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่น!” ท่านแม่โจวแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา
“ใช่ ถูกแล้วค่ะ ผู้หญิงคนนั้นคิดว่าครอบครัวเฉียงจือร่ำรวย ก็เลยมาเกาะติดเขา แต่พอหล่อนรู้ว่าเฉียงจือมาจากชนบท ก็บอกเลิกกับเฉียงจือทันที คุณยายก็ทราบว่าเป็นเรื่องยากแค่ไหนสำหรับพวกเราคนชนบทที่ต้องมาอยู่ที่ปักกิ่ง? พวกเขาต่างก็ดูถูกพวกเรา” สวี่เชิ่งเหม่ยพูดตาแดงระเรื่อ
คุณป้าหม่าซึ่งกำลังล้างจานอยู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็รู้สึกไม่ชอบใจ “คนเมืองดูถูกคนชนบทที่ไหนกัน? หวังหยวนกับเอ้อร์นีก็ไปด้วยกันได้ดีไม่ใช่เหรอจ๊ะ? กลายเป็นเรื่องดูถูกกันได้ยังไงกัน?”
“คุณยายหม่า มันต่างกันนะคะ เด็กสาวชนบทของเราแต่งเข้ามาในเมือง แบบนี้เป็นเรื่องง่ายกว่า พวกเขาไม่ต้องย้ายใบทะเบียนบ้านไปอยู่ที่ชนบท แต่เด็กหนุ่มที่จะแต่งกับสาวในเมืองไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอกนะคะ น้องชายฉันคบกับหล่อนก็ปฏิบัติต่อหล่อนอย่างทุ่มเทให้ทั้งใจ แต่จู่ ๆ หล่อนก็พลิกหน้าหันหัว(1) ไม่แปลกหรอกค่ะที่น้องชายฉันจะโกรธ” สวี่เชิ่งเหม่ยอธิบาย
“เรื่องนี้น้องชายเธอเป็นคนผิดนะจ๊ะ เขาไม่อธิบายกับหล่อนให้ชัดเจนซะตั้งแต่แรก หลังจากที่ซื่อตรงต่อกันแล้ว หากตกลงใจแล้วพวกเขาจึงค่อยคบหากัน แต่น้องชายเธอไม่ได้ทำอย่างนั้น พออีกฝ่ายพบว่าเขามีทะเบียนบ้านอยู่ชนบท การที่หล่อนพลิกหน้ามันผิดตรงไหนกันล่ะ? ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะหล่อนถูกน้องชายเธอหลอกลวงหรือไง? ทำไมล่ะ? อีกฝ่ายจะไม่พอใจบ้างไม่ได้หรือ?” คุณป้าหม่ากล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“ใช่แล้ว นิสัยอย่างเฉียงจือ ถ้ามีเด็กสาวในหมู่บ้านมาชอบเขาได้หลังจากที่เขากลับไปที่นั่น ก็นับว่าไม่แย่แล้ว นี่เขายังกล้ามาหาคู่ในปักกิ่งอีก? เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร? หู่จือกับกังจือยังไม่กล้าคิดจะหาใครในปักกิ่งเลย ทั้งที่พวกเขาต่างก็ดีด้วยกันทั้งคู่!” ท่านแม่โจวตำหนิออกมา
นางรู้สึกว่าหลานสาวและหลานชายเป็นคนมือสูงตาต่ำ(2) อยากจะมาปักกิ่งเพื่อหาคู่ ทว่าถ้าอีกฝ่ายรู้เรื่อง พวกเขาจะยอมไหมล่ะ?
สวี่เชิ่งเหม่ยไม่คิดว่าคุณป้าหม่าจะทำให้เสียเรื่อง เดิมทีหล่อนจะใช้เรื่องช่องว่างระหว่างเมืองกับชนบทเรียกความเห็นใจจากคุณยายของตน ทว่าคุณป้าหม่ากลับพูดขัดขึ้นมากะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว ทิศทางของเรื่องจึงเปลี่ยนไป
“พี่สาว อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ หู่จือเป็นชายหนุ่มที่ดี ฉันไม่รู้ว่าพี่สาวจะสนใจหรือเปล่านะคะ แต่ถ้าสนใจ ฉันอยากจะจับคู่หู่จือให้กับซานซานน่ะค่ะ” คุณป้าหม่าเอ่ยปากขึ้น
เดิมทีท่านแม่โจวยังอยู่ในอารมณ์ที่โกรธกริ้ว นางจึงตามไม่ทันกับการเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันของคุณป้าหม่า สักพักหนึ่งนางถึงได้เข้าใจความคิดของคุณป้าหม่า
“โอ้ น้องสาวหมายถึงอะไรหรือจ๊ะ?” ท่านแม่โจวหันมาสนใจหล่อน
“ซานซานไงคะ หลานสาวของที่บ้านน้องสวีของฉันน่ะค่ะ หล่อนอายุพอ ๆ กับหู่จือ ตอนนี้ทำงานอยู่ที่ร้านเสื้อผ้า ชิงไป๋กับอาจารย์หลินก็รู้จักหล่อนทั้งคู่ ฉันอยากรู้ว่าหู่จือจะสนใจหล่อนหรือเปล่า ถ้าเขาสนใจ ฉันจะได้พูดเรื่องนี้กับทางบ้านสวีให้น่ะค่ะ” คุณป้าหม่าระบายยิ้มเต็มหน้า “ตอนนี้น้องสวีกับลูกสะใภ้ของหล่อนที่เป็นแม่ของซานซานก็ทำงานอยู่ที่ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยนะคะ”
คำพูดของคุณป้าหม่านั้นหากไม่มีลมคงจะไม่เกิดคลื่น เรื่องนี้เริ่มมาจากทางบ้านครอบครัวสวี แม่เฒ่าสวีมาพูดกับหล่อนเป็นการส่วนตัวให้ช่วยหยั่งเสียงเพื่อดูท่าทีของบ้านตระกูลโจว
ลืมนักศึกษามหาวิทยาลัยปักกิ่งอย่างโจวข่ายไปได้เลย แม่เฒ่าสวีนั้นรู้ตัวเองดี กระนั้นแม่เฒ่าสวีก็ยังคงหมายตาไปที่หู่จือ
นี่เป็นหลานชายของโจวชิงไป๋ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนหนุ่มที่ดี ถึงแม้จะมีผิวคล้ำ แต่รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แย่และเขาก็ไม่ใช่คนตัวเตี้ยด้วย ที่สำคัญเขาเป็นคนขยัน
ต่อให้เขามีทะเบียนบ้านอยู่ในชนบท แต่ตอนนี้เป็นยุคไหนกันแล้ว เรื่องนี้กำลังเปิดกว้างขึ้น แม้จะไม่มีทะเบียนบ้านอยู่ที่นี่ แต่ก็สามารถมาที่นี่เพื่อหาเช่าสถานที่ได้
นอกจากนี้ ในอนาคตจะไม่เป็นอย่างนี้ไปตลอด หากมีเงื่อนไขเช่นนั้นขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเขาก็สามารถย้ายทะเบียนมาที่นี่ได้เหมือนกัน
เมื่อแม่เฒ่าสวีถามคุณป้าหม่าเกี่ยวกับสถานการณ์ของหู่จือ คุณป้าหม่าบอกไปว่าค่อนข้างดีทีเดียว นั่นเพราะคุณป้าหม่ามีโอกาสได้พูดคุยกับหู่จือและคนทางนี้มากกว่าแม่เฒ่าสวี
คุณป้าหม่าได้บอกไปว่าข้อด้อยเพียงอย่างเดียวก็คือใบทะเบียนบ้านในชนบท นี่ไม่ใช่เป็นการแบ่งแยกเลือกปฏิบัติ แต่ปัญหาเรื่องทะเบียนบ้านเป็นปัญหาที่ใหญ่มากจริง ๆ เรื่องนี้เป็นปัญหาเดิมที่มีมาในทุกยุคสมัย
ทว่าแม่เฒ่าสวีไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ตอนนี้เฉินซานซานถึงวัยที่ควรแต่งงานได้แล้ว แต่ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้เลย ดังนั้นแม่เฒ่าสวีจึงเริ่มคิดอ่านในเรื่องนี้
ในที่สุด คุณป้าหม่าก็ได้โอกาสที่หาไม่ได้ง่าย ๆ จึงเอ่ยปากถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
ดังนั้น จุดสนใจของท่านแม่โจวจึงเปลี่ยนจากการประณามหลานชายคนหนึ่งไปเป็นเรื่องการแต่งงานของหลานชายอีกคนหนึ่งแทน
สวี่เชิ่งเหม่ยเองก็คาดไม่ถึงกับการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน สีหน้าของหล่อนผ่อนคลายลง แต่ในขณะเดียวกัน หล่อนก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทำไมน้องชายของหล่อนถึงแต่งงานกับสาวปักกิ่งไม่ได้? แต่พอเป็นเรื่องจับคู่หู่จือให้กับสาวปักกิ่ง คุณยายของหล่อนกลับดีใจมากขนาดนี้?
…………………………………………………………………………………………………
(1) หมายถึง อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนไป / อยู่ ๆ ก็มีเรื่องแตกหักกัน
(2) หมายถึง มีความทะเยอทะยานแต่ไม่มีวิสัยทัศน์ / มีเป้าหมายที่สูงแต่มีความสามารถในการเข้าใจหรือแยกแยะได้ต่ำ