บทที่ 466 แม่ค้าคนกลาง

บทที่ 466 แม่ค้าคนกลาง

มนุษย์ทุกคนล้วนมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

ไม่แปลกใจเลยว่าโจวกุยหลายจะมีความประทับใจในตัวว่าที่พี่เขยรองคนนี้ ครึ่งหนึ่งในสิบครั้งที่หวังหยวนมาเยือนที่นี่ล้วนมาพร้อมกับของฝากต่าง ๆ

ส่วนจ้าวจวินน่ะเหรอ? เขามาที่นี่มือเปล่าและยังมารอกินอาหาร อยากจะดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือ(1)เหรอ? ถ้าใช่ ก็อ้าปากรอไปเถอะ

มันไม่ใช่เรื่องของการต้องนำสิ่งของมาด้วยหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึก คน ๆ นั้นให้ความเคารพคนอื่นและปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นญาติกันจริง ๆ ไหมล่ะ? เรื่องนี้มีใครไม่รู้บ้าง?

การที่หวังหยวนเป็นแบบนี้ มันทำให้ครอบครัวโจวยังต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นต่อให้จะมามือเปล่าก็ตาม พวกเขาถือว่าเขาเป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง เขาไม่จำเป็นต้องนำของอะไรมาฝากเลย เป็นเรื่องเล็กน้อยที่จะมากินอาหารที่นี่หากเขาไม่ต้องการจะกินอาหารข้างนอกบ้าน

แต่ชายหนุ่มช่างสุภาพนัก เขามักจะซื้อของต่าง ๆ มาฝากในแต่ละครั้ง เช่นเดียวกับทางฝั่งท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวที่เขาจะแวะมากินข้าวด้วยบ่อย ๆ จนสนิทสนมกลมเกลียวกับท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว ถึงขนาดที่ผู้เฒ่าทั้งสองปฏิบัติต่อเขาราวกับหลานชายคนหนึ่ง

นี่คือปัญหาการเข้าสังคมในโลกนี้

โจวกุยหลายกับแม่ของเขามาซื้อของชำในตลาด พวกเขาซื้อไก่ตัวหนึ่ง ส่วนเนื้อหมูนั้นยังไม่ต้องซื้อ เพราะโจวชิงไป๋มีอยู่ในตู้แช่แข็งแล้ว เพียงแต่ต้องหั่นแบ่งเป็นชิ้นเท่านั้น

พวกเขายังซื้อข้าวโพดทั้งฝัก แครอท ผักอื่น ๆ และปลาอีกเป็นจำนวนมาก

ตอนนี้คนในร้านมีจำนวนเพียงพอแล้ว หลินชิงเหอจึงให้หม่าเฉิงหมินรวบรวมรายชื่อมา เพราะหลังจากนี้เธอจะไม่เลี้ยงอาหารเย็นแล้ว

เป็นเพราะชั่วโมงทำงานของร้านเธอมีมาตรฐานมากขึ้น ทำให้ลูกจ้างมีเวลาว่างมากขึ้น ส่วนค่าแรงของพวกเขายังคงเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

ถึงอย่างไรเงินเดือนที่เธอให้พวกเขาก็ไม่ได้แย่เมื่อเทียบกับที่อื่น

หลังกลับไปพร้อมกับของชำทั้งหลาย หลินชิงเหอกับโจวกุยหลายก็เริ่มลงมือคัดแยก ส่วนเห็ดที่พวกเขานำกลับมาด้วยก็สามารถกินได้แล้ว มันเป็นเห็ดที่โจวชิงไป๋ไปเก็บมาจากเชิงเขาในหมู่บ้านหลี่เจี่ยกลับมาให้หลินชิงเหอ

ตอนที่พวกเขานำมันกลับมา พวกเขาก็นำกลับมาด้วยกัน โดยหลินชิงเหอเก็บมันไว้ในมิติและไม่ได้นำออกมากิน เพราะเรื่องนี้คงอธิบายกับคนอื่นยาก

แค่ต้องหาเวลาหยิบออกมาตากแดดให้แห้งเท่านั้น

แต่เห็ดสดยังหยิบออกมาไม่ได้ เพราะยังมีเห็ดแห้งจำนวนมากอยู่ ซึ่งพวกมันล้วนมีสภาพดี

ไม่นานนัก หลี่อ้ายกั๋วกับโจวซานนีก็มาถึง

เมื่อวานนี้ทั้งคู่จดจำทางได้แล้ว ส่วนตอนเช้าพวกเขาก็ไปช่วยโจวเสี่ยวเหมยกับซูต้าหลินมา ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงมาที่นี่

โจวซานนีมาช่วยงานครัวกับหลินชิงเหอ

“บ่ายนี้อาสะใภ้สี่จะพาหนูไปโรงพยาบาลนะจ๊ะ” หลินชิงเหอบอกหล่อน

โจวซานนีได้ยินดังนี้ก็ดีใจมากจึงพยักหน้า “หนูต้องรบกวนอาสะใภ้สี่แล้วนะคะ”

“รบกวนอะไรกันจ๊ะ มันอยู่ไม่ไกลมากหรอกจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ จากนั้นพวกหล่อนก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบ จากนั้เธอก็สั่งโจวกุยหลาย “ไปพาพี่ซื่อนีกลับมานะ ตอนนี้หล่อนอยู่ที่ร้านเครื่องดื่มน่ะ”

“ครับ” โจวกุยหลายตอบและขี่จักรยานไปที่ร้านเครื่องดื่ม

จากนั้นหลินชิงเหอก็ถามโจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วด้วยรอยยิ้ม “ปักกิ่งเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ?”

“สุดยอดเลยครับ” หลี่อ้ายกั๋วพยักหน้า

“อาสะใภ้สี่ หนูไม่รู้เลยค่ะว่าโลกภายนอกจะกว้างใหญ่และเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนี้” โจวซานนีอุทาน

หลินชิงเหอยิ้มกว้าง “ตอนที่ร้านยังไม่เปิด หนูก็เดินเที่ยวดูนู่นดูนี่ได้นะจ๊ะ อีกไม่นานร้านจะเปิดแล้ว ถึงตอนนั้นหนูคงไม่มีเวลาว่างแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราจะมาช่วยงานก่อน ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนเริ่มงานน่ะค่ะ” โจวซานนีตอบ

“งั้นก็ได้จ้ะ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก วันนี้แค่หาใครบางคนมาตกแต่งร้านเท่านั้น สถานที่ค่อนข้างแออัดไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เราจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเธอแล้วจ้ะ” หลินชิงเหอบอก

“ที่ไหนเหรอครับ?” หลี่อ้ายกั๋วถาม

“ค่ะ งั้นให้อ้ายกั๋วไปช่วยนะคะ” โจวซานนีเอ่ยเสริม

หลินชิงเหอตั้งใจว่าจะให้พวกเขาสำรวจไปรอบ ๆ ก่อน แต่เห็นชัดว่าการไม่มีงานทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นคง โดยเฉพาะหลี่อ้ายกั๋วที่รู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทางหลังมาถึงสถานที่แห่งใหม่แล้วไม่ได้ทำอะไร

หลินชิงเหอจึงบอกหลี่อ้ายกั๋วว่า “หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ อาจะให้เฉิงหมินพาเธอไปที่นั่นนะจ๊ะ เธอไปดูล่วงหน้าได้เลย ส่วนซานนีนั้นไม่เป็นไร อาจะพาหล่อนกับซื่อนีสำรวจรอบ ๆ เอง”

“ครับ” หลี่อ้ายกั๋วตกลง

ในตอนนี้เองก็มีเสียงรถยนต์ดังขึ้น จากนั้นรถยี่ห้อหงฉี(2)สีแดงคันหนึ่งก็มาจอดริมถนนก่อนที่หวังหยวนจะก้าวลงจากรถ

“คุณอาสะใภ้สี่กับคุณอาสี่กลับมาแล้ว” หวังหยวนเอ่ยทักทายเริงร่าเมื่อเห็นหลินชิงเหอ

“เรากลับมาแล้วล่ะจ้ะ เพราะอย่างนี้ไงเราถึงให้เอ้อร์นีไปเชิญเธอมาร่วมกินข้าวด้วยกัน” หลินชิงเหอยิ้ม

“พูดอะไรน่ะครับอาสะใภ้สี่? ถ้าไม่ถือว่าผมกินจุ ผมจะมากินทุกวันแล้วนะครับ” หวังหยวนตอบกลับอย่างร่าเริง

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ทั้งคู่ก็ได้เดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว และพบกับบรรยากาศน่าประทับใจ

ปกติชายหนุ่มจะขับรถและแต่งตัวราวกับเจ้านาย แต่วันนี้เขากลับอยู่ในชุดลำลอง เทียบกับตอนที่มาเลี้ยงฉลองปีใหม่แล้ว ตอนนั้นถือว่าเขาแต่งตัวเต็มยศอย่างแท้จริง ซึ่งดูทันสมัยเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่เขาจะแต่งตัวแบบจัดเต็ม ชายหนุ่มยังซื้อเสื้อผ้าสองชุดให้เอ้อร์นีและแต่งตัวหล่อนราวกับตุ๊กตาอีกด้วย

ถ้าไม่ใช่เพราะเอ้อร์นียึดถือขนบเก่าอยู่และตอบปฏิเสธอย่างหนักแน่น เขาก็จะพาเอ้อร์นีไปดัดผมทำทรงหางม้าดัดลอน(3)กับให้สวมรองเท้าส้นสูงนิด ๆ เหมือนหญิงสาวยุคสาธารณรัฐไปแล้ว

หลินชิงเหออยากจะหัวเราะหลังได้ยินคำบ่นจากปากโจวเอ้อร์นี เขาเลี้ยงเอ้อร์นีเหมือนลูกสาวคนหนึ่งเลย

“คนนี้คือหวังหยวน คนที่จะมาเป็นว่าที่ลูกเขยของครอบครัวโจว แฟนของพี่เอ้อร์นีน่ะจ้ะ” หลินชิงเหอยิ้มขณะแนะนำชายหนุ่มให้โจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋ว

จากนั้นเธอก็แนะนำคนทั้งคู่ให้หวังหยวน “แล้วนี่ก็คือซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วจ้ะ”

เป็นอันว่าทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกันในตอนนี้

โจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วถึงกับอึ้งไป ลูกเขยจากเมืองหลวงคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก

เป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจจริง ๆ พวกเขามีญาติแบบนี้ด้วยหรือ?

เมื่อโจวกุยหลายกลับมาพร้อมกับซื่อนี ก็มีการแนะนำตัวกันอีกรอบ

ทันทีที่โจวเอ้อร์นี หู่จือ กับคนอื่น ๆ กลับมาถึง ทั้งครอบครัวก็มารวมตัวกันกินอาหารกลางวัน ช่างมีชีวิตชีวาโดยแท้

หลังกินอาหารกลางวันเรียบร้อย ทั้งครอบครัวก็นั่งจิบชาสนทนากันต่อ

“ร้านอาหารแห้งอยู่ไกลจากที่นี่นิดหน่อย ดังนั้นในอนาคตหนูกับอ้ายกั๋วจะต้องจุดเตาหุงหาอาหารกันเองนะ ส่วนเรื่องเตาแก๊สนั้นไม่ต้องห่วง อาจะส่งไปให้หนูได้ใช้เองจ้ะ” หลินชิงเหอเอ่ยกับโจวซานนี

ในยุคนี้ทุกบ้านล้วนใช้เตาแก๊สหุงหาอาหารกัน

โจวซานนีตกลง หวังหยวนที่ได้ยินถึงกับประหลาดใจ “อาสะใภ้สี่กำลังจะเปิดร้านขายอาหารแห้งเหรอครับ? แล้วขายอะไรบ้างเหรอครับ?”

“ขายพวกอาหารทะเลแห้งน่ะ มีเป๋าฮื้อ ปลิงทะเลแห้ง แล้วก็กระเพาะปลาแห้ง” หลินชิงเหอบอก

“โห นั่นไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะครับ” หวังหยวนเอ่ย “แค่ราคาทุนก็ไม่ถูกอยู่แล้ว ว่าแต่อาไปหาแหล่งผลิตมาจากไหนเหรอครับ?”

“จากทางใต้น่ะจ้ะ แถวหยางเฉิง เธออยากกินไหมล่ะ? ถ้าอยากกินก็รอสินค้ามาส่งเราก่อน แล้วอาจะให้ลองชิมดูนะ” หลินชิงเหอยิ้ม

ในมิติของเธอมีกล่องใส่ปูทะเลขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งพวกมันก็ไม่ได้ตัวเล็ก ๆ เลย

“งั้นผมไม่เกรงใจอาสะใภ้สี่แล้วนะครับ ผมชอบอาหารทะเลพวกนี้มากเลย หลังเปิดร้านแห่งนี้แล้วในอนาคตผมจะไปอุดหนุนแน่นอน อาให้ส่วนลดกับผมด้วยนะครับ” หวังหยวนหัวเราะ

“เถ้าแก่ใหญ่อย่างเธออยากให้ฉันลดราคาให้งั้นเหรอ งั้นเธอก็ควรบอกว่า ‘ห่อทุกอย่างให้ผมได้เลย ผม เถ้าแก่หวัง จะจ่ายเงินเอง!’ กับฉันสิจ๊ะ” หลินชิงเหอหยอดมุก

โจวกุยหลายได้ยินก็หัวเราะ “ม้า ม้าอยากจะเป็นแม่ค้าคนกลางแล้วเหรอครับ?”

……………………………………………………………………………………

(1)- เป็นสำนวน แปลว่าอดอาหาร ไม่มีอะไรจะกิน

(2)- ยี่ห้อรถยนต์หรูของจีน ถือได้ว่าเป็น “China Rolls Royce” ผลิตโดยบริษัทแม่ที่ชื่อ FAW ในเมืองฉางชุน มณฑลจี๋หลิน เริ่มผลิตรถยนต์ออกสู่ท้องตลาดเมื่อปี ค.ศ.1958

ในรูปคือรุ่น CA770 รุ่นพิเศษที่มีสีแดง (ภาพจาก http://auto.sohu.com/20180417/n535111821.shtml)

(3)- ตัวอย่างทรงผมหางม้าดัดลอนสมัยสาธารณรัฐ

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset