บทที่ 473 ฉันจะไม่ถอยกลับ
ฉินหยุฝานพูดต่อ “และตอนนี้เขากลับมาที่เปยจิงแล้ว และเขาถึงกับพาแม่มาด้วย ถ้าฉันไม่โต้เถียงกับเขาตอนนี้แม่ของเขาคงถูกเรียกว่าคุณนายฉิน มีแต่ความรักของพวกเขาเท่านั้นที่แข็งกว่าทองคํางั้นเหรอ? แล้วจะเป็นยังไงถ้าพวกเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี?นั่นหมายความว่าแม่ฉันไม่มีความหมายเลยงั้นเหรอ? เธอจะนับยังไงหลังจากหลายปีที่ผ่านมา”
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่สามารถยอมรับพ่อฉันที่จะแต่งงานอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ฉันไม่สามารถยอมรับเขาให้แต่งงานกับคนอื่นทันที่ที่แม่ฉันเสียชีวิตได้ เขาตรงไปหารักแรกของเขาทันทีหลังจากที่แม่ตาย สิ่งที่ฉันรับไม่ได้ก็คือความรักที่ฉันคิดว่าพ่อแม่มีมาให้กันตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้นจอมปลอม”
ฉินหยูฝานปกติไม่ค่อยพูด อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ เธอพูดกับเจียนอีหลิงมากมาย
เจียนอีหลิงจ้องไปที่ฉินหยูฝาน เธอเห็นตาแดงๆของฉินหยูฝานและสีหน้าที่เจ็บปวดของอีกฝ่าย
เจียนอีหลิงไม่รู้จะปลอบเธออย่างไร และด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้แต่บอกอีกฝ่ายว่า “ไม่ใช่ความผิดของฉันชวน และไม่ใช่ความผิดของเธอด้วย”
คําพูดเธอกระแทกใจฉินหยูฝาน
มันเป็นความจริงที่ง่ายมาก ความจริงที่หลายคนรู้จัก
แต่ไม่มีใครเคยพูดแบบนี้กับฉินหยูฝานมาก่อน
วันนี้ฉันหยุฝานได้ยินคําเหล่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ
คนในตระกูลฉินที่สนับสนุนฉินหยูฝานจะบอกเธอถึงวิธีจัดการกับฉินชวนอย่างต่อเนื่อง
และผู้ที่สนับสนุนฉินชวนก็จะบอกว่าผู้หญิงไม่สามารถสืบทอดธุรกิจของตระกูลได้
ฉินหยูฝานหัวเราะ มันเป็นเสียงหัวเราะที่ทําอะไรไม่ถูกและขื่นขม
หลังจากหัวเราะไปสักพัก น้ําตาก็ปรากฏขึ้นที่หางตาของฉันหยุฝาน
“บอกตามตรง ฉันไม่ชอบเธอจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่ฉันพบเธอครั้งแรก เธอดูเหมือนเด็กผู้หญิงเจ้าเล่ห์สําหรับฉัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันอยากจะขอโทษสําหรับมุมมองแรกเริ่มที่ฉันมีต่อเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านเชิง บางที ฉันอาจจะชื่นชมเธอด้วยซ้ําไป”
“เขาเป็นเขา เธอเป็นเธอ และฉันเป็นฉัน”เจียนอีหลิงกล่าว
ฉินหยูฝานมองไปที่เจียนอีหลิงอีกครั้งและหัวเราะเบาๆ จากนั้นเธอก็แสดงความคิดเห็น “ฉันดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทําไมนายท่านเพิ่งจึงปฏิบัติต่อเธอในแบบที่พิเศษ เธอมีความสามารถและวิธีที่เธอปฏิบัติต่อผู้อื่นนั้นค่อนข้างแตกต่างกับคนทั่วไป”
ฉินหยูฝานได้เห็นเจี้ยนอีหลิงเข้าไปใกล้ในบางสิ่ง
แม้ว่าเจียนอีหลิงจะรู้ว่าเธอเป็นคู่แข่งด้านความรัก แต่เธอก็ยังเลือกความจริง เธอไม่ได้ใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะทําให้ความสัมพันธ์ของฉันหยุฝานกับจํายหวินเพิ่งแย่ลง
บางที นี่อาจเป็นเหตุผลที่ฉันหยุฝานรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเธอคุยกับเจียนอีหลิง ส่งผลให้เธอพูดมากกว่าปกติ
ฉินหยุฝานยิ้มขณะที่เธอหยิบขวดแชมเปญบนโต๊ะขึ้น เธอเทให้ตัวเองหนึ่งแก้ว
จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นและดื่มหมดแก้วในคราวเดียว
ขณะที่เธอดื่มทั้งแก้วในคราวเดียวนั้น แชมเปญบางส่วนก็ไหลลงมาจากมุมปากเธอและไหลลงมาตามคอเสื้อ
“ฉันเหนื่อย ฉันต้องการหยุดพัก และฉันก็ต้องการใครสักคนให้พึ่งพา” ฉินหยูฝานพูดเบาๆ “อย่างไรก็ตามฉันจะไม่ถอยกลับ ไม่ว่าฉันจะเหนื่อยแค่ไหน ฉันก็ยังอยากถือครองพลังของตระกูลฉินไว้ เธออาจไม่เข้าใจว่าทําไม อย่างไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่ฉันต้องได้รับไม่ว่าจะต้องจ่ายแคไหน”
สิบห้านาทีต่อมา จํายหวินเชิงก็มาถึง
จํายหวินเชิงรีบเข้าไปในห้องของ KTV เขาเห็นเงี่ยนอีหลิง เจี้ยนอีหลิงยังคงสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนส์เธอมองออกไปนอกห้อง
เขารีบเดินไปที่เงี่ยนอีหลิงและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน
เจียนอีหลิงตกใจเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าทําไมจู่ๆจํายหวินเชิงก็กอดเธอ
เจียนอีหลิงเอื้อมมือออกไปเพื่อดันจํายหวินเพิ่งออกไป เธอต้องการเว้นระยะห่างระหว่างเธอกับอีกฝ่าย
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เกลียดความรู้สึกนี้ แต่เธอก็ยังไม่รู้สึกดีกับมันมากนัก
โดยปกติแล้ว ชายหนุ่มและหญิงสาวไม่ควรกอดกันเว้นแต่จะเป็นคู่กัน นี่คือสิ่งที่เจี้ยนอีหลิง เข้าใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง จํายหวินเซิ่งก็ปล่อยเงี่ยนอีหลิง เขาหันกลับมามองอีกคนที่อยู่ในห้อง ฉินหยุฝาน
บทที่ 474 ฉันจะเสียใจถ้าเธอโกรธ
ฉินหยุฝานก็มองดูจํายหวินเชิงด้วยเช่นกัน
เมื่อสบตากัน ฉันหยุฝานก็หัวเราะเยาะตัวเอง
เธอเคยสามารถโน้มน้าวตัวเองว่ายหวินเพิ่งมีความสัมพันธ์แบบ เพื่อนร่วมทีม” ที่เรียบง่ายกับเจียนอีหลิงเท่านั้น ย้อนกลับไปในตอนนั้น เธอคิดว่าเขาเพียงแค่ชื่นชมเกมเมอร์ระดับแนวหน้าเช่นเดียวกับตัวเขาเอง
อย่างไรก็ตาม การกอดครั้งนี้นั้นได้ขจัดความคิดก่อนหน้านี้ของเธอออกไปโดยสิ้นเชิง
จํายหวินเพิ่งจะไม่รีบเข้าไปกอดหากเป็นแค่เพื่อนร่วมทีม
ในขณะนั้น ฉินหยูฝานรู้สึกว่าหัวใจของเธอถูกทิ่มแทงไปด้วยความเจ็บปวด
เธอเข้าใจจํายหวินเชิง เธอรู้ว่าการกอดแบบนั้นมีความหมายต่อเขาอย่างไร
จํายหวินเซึ่งเป็นผู้ชายที่ไม่ยอมให้ความหวังใดๆกับผู้หญิงที่เขาไม่ชอบ ถ้าเขาเต็มใจที่จะกอดใครแบบนี้ แสดงว่าคนๆนั้นได้เข้ามาในหัวใจของเขาแล้ว
ยิ่งเธอตระหนักถึงความจริงนั้น หัวใจของเธอก็ยิ่งเศร้า
เธอเย้ยหยันเบาๆ “นายท่านเชิง ฉันไม่คิดว่านายจะชอบหญิงประเภทนั้นจริงๆ”
ฉินหยูฝานเป็นผู้หญิงที่ภาคภูมิใจในตัวเอง เธอปฏิเสธที่จะแสดงความเศร้าของตนเองออกมา
จากนั้นฉันหยุฝานก็แสดงความคิดเห็นบางอย่าง ราวกับว่าเธอกําลังวางแผนที่จะแก้แค้นจํายหวินเชิง “แต่ว่า เมื่อกี้นี้คุณหนูอีหลิงบอกฉันว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เธอได้รู้จักกับเพื่อนชายคนหนึ่ง อันที่จริง เขาสนิทกับเธอมาก เขาทําวิจัยร่วมกับเธอ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและร่าเริงมาก เขายังเก่งเรื่องขบขันด้วย ดูเหมือนว่านายจะมาช้าเกินไป”
ขณะที่แบบนี้ ฉินหยูฝานก็ยืนขึ้น และเมื่อเธอพูดจบ เธอก็เดินออกจากห้องด้วยก้าวย่างอันเข้มแข็งรองเท้าส้นสูงของเธอดังเป็นจังหวะขณะที่เธอจากไป
หลังจากที่ฉินหยูผ่านออกไป อันหยางก็รีบวิ่งตามออกไปเช่นกัน เขาเล็ดลอดออกจากห้อง เหลือพื้นที่ในห้องนั้นให้จํายหวินเชิงและเจียนอีหลิง
จํายหวินเพิ่งรู้ว่าฉันหยุฝานพูดแบบนี้โดยตั้งใจ อย่างไรก็ตาม เขาต้องยอมรับว่าสิ่งที่ฉันหยุฝานพูดในตอนท้ายนั้นทําให้เขาไม่พอใจ
ผ่านไปสามปีแล้ว… สามปีนี้เป็นจุดอ่อนสําหรับเขา
เขากังวลว่าเจียนอีหลิงจะได้พบกับคนอื่นในช่วงเวลานั้น
เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองนั้นมีความหมายอะไรกับเจียนอีหลิงหรือไม่ เขาเป็นอะไรในสา ยตาของเธอ
บางที่สําหรับเธอแล้ว เขาเป็นแค่อดีตเพื่อนร่วมทีม
จํายหวินเพิ่งหันไปมองเจียนอีหลิง สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยพอใจนัก
สีหน้าเขาทําให้เจี้ยนอีหลิงคิดว่าเขาโกรธ
“อย่า…. อย่าโกรธ” เจียนอีหลิงพูดตะกุกตะกัก เป็นเวลานานแล้วที่เจี้ยนอีหลิงพูดตะกุกตะ
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ เงี่ยนอีหลิงก็พูดว่า “ฉันคงจะเศร้าถ้านายโกรธ”
เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านี้ จํายหวินเชิงก็หันไปมองเธออีกครั้ง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“อะไรนะ? เธอพูดว่าอะไรนะ” เขาได้ยินผิดงั้นเหรอ?
“ฉัน… ฉันจะเศร้านะ”
“เพราะฉันโกรธอย่างงั้นเหรอ?”
เจียนอีหลิงไม่ได้ปฏิเสธคําถามเขา แต่เธอบอกว่าตัวเธอเองนั้นรู้สึกอย่างไร “ฉันคงจะเศร้า เมื่อตอนที่นายจากไปเมื่อสามปีที่แล้ว ฉันรู้สึกเศร้า ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทํายังไง ตอนนี้ฉันเศร้าอีกแล้วและฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะทํายังไง”
เจียนอีหลิงมีอารมณ์ บางครั้งเธอก็รู้สึกเศร้าและโดดเดี่ยว
อย่างไรก็ตาม เธอก็เริ่มเคยชินกับความรู้สึกเหล่านี้ เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็ได้เรียนรู้ที่จะแยก แยะความรู้สึกเหล่านี้ด้วยตัวเธอเอง
ในวัยเด็กของเธอ เธอเคยหวังว่าจะมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนกับเธอ
ในช่วงเทศกาลตรุษจีน เธอเฝ้ารออยู่ในห้องทดลองเพียงลําพัง ย้อนกลับไปในตอนนั้นเธอได้เพียงจ้องมองผ่านหน้าต่างกระจก
เธอรอพ่อแม่มารับกลับบ้าน
แต่ทว่า พวกเขาไม่ได้มา
ในวันนั้น เธอรอตั้งแต่เช้าจรดค่ํา ตั้งแต่กลางวันถึงกลางคืน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครมา รับเธอกลับบ้านไปในเทศกาลตรุษจีน
วันนั้นหิมะตก โลกทั้งใบกลายเป็นความขาวโพลนอันกว้างใหญ่
เธอใช้เวลาตรุษจีนเพียงลําพังในห้องปฏิบัติการ
ในวันนั้นเธอเห็นเพียงคนที่รับหน้าที่ดูแลเธอเท่านั้น คนนั้นมาเพื่อส่งอาหารให้เธอ
และนับจากนั้นปีแล้วปีเล่าก็ผ่านไป วันหยุดแล้ววันหยุดเล่าก็ผ่านไปเช่นกัน
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เจี้ยนอีหลิงก็เลิกรอพ่อแม่ เธอหยุดเรียกร้องความสนใจและความรักจากพวกเขา