หลังจากที่เทียนหลางจัดการทุบอำพันปีศาจจนกลายเป็นผงไปแล้วเขาก็ได้นำถุงผ้าใบเล็กๆออกมาและเก็บเศษซากของมันทั้งหมดเข้ามาในถุง ก่อนจะเก็บมันใส่กระเป๋า
แอนเดียที่มองเห็นการกระทำของเทียนหลางนั้นเธอก็ถามออกมาด้วยความสงสัย
“คุณจะเก็บเศษพวกนั้นไปทำอะไรงั้นเหรอ ?”
“มันมีประโยชน์ต่อผมน่ะ”
เทียนหลางไม่ได้พูดอะไรมากนักเพราะเรื่องของอำพันปีศาจยิ่งมีคนรู้เกี่ยวกับมันน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้นเพราะเจ้าอำพันปีศาจนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องมือชั้นดีสำหรับการสร้างกองทัพปีศาจแล้วนั้นมันยังเป็นส่วนผสมชั้นเยี่ยมในการหลอมอุปกรณ์หรืออาวุธวิเศษอีกด้วย
เมื่อแอนเดียเห็นว่าเทียนหลางนั้นไม่อยากจะพูดอะไรเกี่ยวกับมันเธอก็ไม่ฝืนที่จะบังคับเทียนหลางให้พูดออกมา เธอทำเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้นก่อนที่จะเอ่ยกับเทียนหลางว่า
“เรื่องของด้านล่างน่าจะจบแล้ว พวกเราขึ้นไปด้านบนกันเถอะค่ะ”
“นั่นสินะ ผมเองก็อยากเห็นแสงตะวันและซูดรับอากาศบริสุทธิ์แล้ว อยู่ข้างล่างมีแต่จะอุดอู้เปล่าๆ”
แอนเดียพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่ทั้งคู่จะเดินกันไปตามทางเพื่อกลับขึ้นมาชั้นบนซึ่งระหว่างทางเทียนหลางก็ได้ไล่ฆ่าผู้บุกรุกที่เป็นทั้งคนและปีศาจไปพร้อมๆกัน เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงดังของการปะทะกันระหว่างสองฝ่าย
เทียนหลางและแอนเดียต่างมองหน้ากันก่อนจะรีบเดินตรงไปยังจุดต้นเหตุของเสียง ก็พบเห็นว่ามีบาทหลวงคนหนึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับปีศาจสามตนแบบสามรุมหนึ่ง แต่หากจะมองให้ดีดูเหมือนว่าบาทหลวงคนนั้นค่อนข้างจะได้เปรียบปีศาจทั้งสามเสียมากกว่า
เทียนหลางแปลกใจเล็กน้อยที่บาทหลวงคนนั้นสามารถป้องและโจมตีปีศาจทั้งสามตนไปพร้อมกันได้อย่างรื่นไหลและดูเหมือนว่าบาทหลวงคนนั้นจะยังออมมืออยู่อีกด้วย
เทียนหลางมองบาทหลวงคนนั้นอย่างชื่นชมก่อนจะเอ่ยถามกับแอนเดีย
“บาทหลวงคนนั้นใครเหรอครับ ?”
แอนเดียที่ได้ยินคำถามนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมกับตอบกลับมาว่า
“เขาคือ อาร์คบิชอปคาเพียร์ค่ะ เขาเป็นหนึ่งในคนสี่อาร์คบิชอปที่คอยบริหารองค์กรของเราและยังเป็นหัวหน้าของฉันและหัวหน้าเดเมี่ยนอีกด้วย”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าออกมาเล็กน้อยก่อนจะถามกับแอนเดียเพิ่มอีกว่า
“ศูนย์บัญชาการขององค์กรถูกบุกโจมตีขนาดนี้ ไหงมีแค่อาร์คบิชอปคนเดียวที่มากันล่ะ ?”
“อาร์คบิชอปทั้งสี่นั้นมีหน้าที่แตกต่างกันค่ะ นอกจากอาร์คบิชอปคาเพียร์แล้วยังมีท่านอาร์คบิชอปเฟอร์ดินัลที่ยังเก่งกาจด้านการต่อสู้ ส่วนอีกสองท่านนั้นส่วนใหญ่มักจะถนัดในด้านบริหารมากกว่านะค่ะ”
“งี้นี่เอง”
เทียนหลางพยักหน้าพร้อมกับจ้องมองอาร์คบิชอปคาเพียร์ต่อสู้กับปีศาจ อาร์คบิชอปคาเพียร์ท่องบทสวดบางอย่างออกมาเล็กน้อยก่อนที่สร้อยข้อมือกางเขนที่แขนของเขาจะเปร่งแสงความศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ทันทีที่สร้อยข้อมือกาเกงเปร่งแสงออกมาอาร์คบิชอปคาเพียร์ก็บรรเลงเพลงหมัดเข้าใส่ปีศาจตนหนึ่งไปอย่างรวดเร็ว
ภายในระยะเวลาสั้นๆร่างกายของปีศาจตนนั้นก็ถูกอาร์คบิชอปคาเพียร์ต่อยจนสภาพยับเยินจนดูไม่ได้ แอนเดียที่เห็นแบบนั้นก็ทำหน้าแหยเกเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ท่านคาเพียร์ทำอะไรรุนแรงเกินเหตุอีกแล้ว”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็แสดงสีหน้าสงสัยออกมาก่อนจะเอ่ยถาม
“เป็นแบบนี้บ่อยเหรอ ?”
แอนเดียพยักหน้าพร้อมกับอธิบายว่า
“แม้ในยามปกติท่านคาเพียร์จะดูเป็นนักบวชที่เคร่งศาสนาและยึดมั่นในหลักคำสอนของพระเจ้า แต่เมื่อใดที่ท่านได้ลงสนามต่อสู้แล้วละก็ท่านจะเปลี่ยนกลายเป็นนักรบบ้าเลือดไปในทันทีเลย ท่านจะต่อสู้จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดสภาพแน่นอนว่าฝ่ายที่หมดสภาพมักจะเป็นศัตรูของท่านคาเพียร์ทุกครั้ง”
“แต่เนื่องด้วยที่ท่านคาเพียร์มักจะทำลงมือเกินเหตุทำให้ท่านอาร์คบิชอปทั้งสาม และพระคาร์ดินัลดิลุคได้ลงมติกันว่าให้ท่านคาเพียร์อยู่แต่ที่นี้และคอยประจำอยู่ที่ศูนย์บัญชาการ หากไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงหรือเหตุจำเป็นจริงๆ ท่านคาเพียร์จะไม่มีทางได้ออกจากประเทศนี้เด็ดขาด”
เทียนหลางได้ยินเรื่องราวคร่าวๆของอาร์คบิชอปคาเพียร์แล้วก็ได้แต่ลูบคางเบาๆก่อนจะยิ้มออกมาและพูดกับแอนเดียว่า
“ดูเหมือนท่านอาร์คบิชอปคาเพียร์ของคุณจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนะ ดูสิเขาจัดการละบายความอัดอั้นทั้งหมดลงใส่เจ้าพวกปีศาจสามตัวนั้นสะเละเป็นเศษเนื้อเลย”
แอนเดียที่ได้ยินแบบนั้นเธอก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆออกมา การทารุนปีศาจโดยอาร์คบิชอปคาเพียร์ยังคงดำเนินต่อไปอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะหยุดลงเพราะปีศาจพวกนั้นได้กลายเป็นเศษเนื้อไปหมดแล้ว
ท่านอาร์คบิชอปคาเพียร์ได้นั่งลงบนพื้นพร้อมกับหอบเล็กน้อยก่อนจะสังเกตุเห็นแอนเดียและเทียนหลางที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล เขาหัวเราะออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ให้มาเห็นด้านน่าอายซะแล้วสิ”
แอนเดียที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะเล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับไปว่า
“ไม่หรอกค่ะท่านคาเพียร์ ด้านนี้ของท่านทุกคนเขารู้กันหมดอยู่แล้ว”
“นั่นสินะ ฮ่าๆ”
อาร์คบิชอปคาเพียร์หัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนจะหันมามองที่เทียนหลาง
“แล้วพ่อหนุ่มคนนี้เป็นใครงั้นเหรอ ? ดูท่าจะไม่ธรรมดาเลยนะเธอน่ะ”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะแนะนำตัวเอง
“ผมเทียนหลางครับ พอดีว่ามาช่วยแก้ปัญหาของแอนเดียนิดหน่อยนะครับ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นอาร์คบิชอปคาเพียร์ก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาด้วยความสงสัย
“แก้ปัญหาให้กับแอนเดีย ? เธอมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ ?”
เทียนหลางยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า
“พอดีว่าเธอให้ผมมาช่วยทำลายอำพันปีศาจนะครับ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นอาร์คบิชอปคาเพียร์ก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างเขาพยักหน้าเบาๆ
“งี้นี่เอง ว่าแต่ผลลัพธ์เป็นเช่นไรบ้างล่ะ ?”
“ทั้งหมดเรียบร้อยค่ะ คุณเทียนหลางสามารถทำลายมันได้อย่างที่ฉันคาดเดาไว้จริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของแอนเดีย อาร์คบิชอปคาเพียร์ก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเหมือนกับว่าเขานั้นได้ปลดอีกหนึ่งภาระออกไปได้แล้ว จากนั้นเขาก็หันมาถามกับแอนเดียถึงเหตุการณ์ปัจจุบันว่าเกิดอะไรขึ้น แอนเดียจึงอธิบายทุกอย่างให้กับอาร์คบิชอปคาเพียร์ได้ฟังรวมถึงเรื่องที่เป้าหมายของพวกมันคืออำพันปีศาจอีกด้วย
เมื่ออาร์คบิชอปคาเพียร์ได้ยินเรื่องเล่าของแอนเดียเขาก็ดูเหมือนจะเป็นกังวลเล็กน้อยแต่เมื่อรู้ว่าเทียนหลางได้ทำลายมันไปแล้วก็ทำให้เขานั้นแสดงท่าทีโล่งใจออกมา
“ค่อยยังชั่วที่ทำลายเจ้าหินบ้านั่นได้สักที ในอนาคตคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเทียนหลางก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดดับความฝันของอาร์คบิชอปคาเพียร์ว่า
“มันคงไม่ง่ายอย่างงั้นนะสิครับ”
“หมายความว่ายังไง ?”
อาร์คบิชอปคาเพียร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย เทียนหลางจึงพูดว่า
“แม้ว่าอำพันปีศาจจะถูกทำลายไปแล้ว แต่เกรงว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่ก้อนสองก้อนนะสิครับ”
เมื่ออาร์คบิชอปคาเพียร์ได้ยินคำพูดของเทียนหลางเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพูดอย่างปลงๆ
“ดูเหมือนว่าเจ้าเฟอร์ดินัลคงจะต้องมีงานหนักรอคอยเขาอยู่ในอนาคตอย่างแน่นอน”