บทที่ 350 จริงจังหน่อย
ใบหน้าของหลินชิงเหอแลดูเปล่งปลั่งอย่างเห็นได้ชัดในวันถัดมา
แววตาของโจวชิงไป๋ดูสงบและอ่อนโยน จนคนที่ไม่รู้จักมักคุ้นยังบอกได้เพียงเหลือบมองผ่าน ๆ ว่านี่คือผู้ชายที่มีครอบครัวอันแสนสุข
โจวชิงไป๋ยังคงยืนกรานที่จะตื่นแต่เช้าแม้กระทั่งในตอนนี้
ต่อให้อากาศตอนนี้จะเย็นลงแล้ว เขาก็ยังมุ่งหน้าไปที่ร้านเกี๊ยวตอนหกโมงเช้า ซึ่งมันก็รบกวนสวี่เชิ่งเหม่ยกับโจวเอ้อร์นีที่ยังนอนอยู่บนชั้นสองของร้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมสวี่เชิ่งเหม่ยถึงชอบอยู่ที่บ้านคุณตาคุณยาย
ส่วนโจวเอ้อร์นีไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ หล่อนเป็นคนนอนแต่หัวค่ำ หลังกลับมาจากเรียนภาคค่ำแล้วในบางครั้งหล่อนก็ไปที่อะพาร์ต์เมนต์นั่งดูทีวีกับหู่จืออยู่ครู่หนึ่ง แต่ส่วนมากหล่อนจะขอให้หู่จือไปส่งที่ร้านเกี๊ยวเพื่อที่ตัวเองจะได้นอนพักแต่หัวค่ำ
เมื่อโจวชิงไป๋มาเปิดประตูร้านและเริ่มนวดแป้งเตรียมข้าวของต่าง ๆ โจวเอ้อร์นีก็ลุกขึ้นเก็บที่นอนเรียบร้อย จากนั้นก็ลงมาช่วยงานคุณอาสี่ของหล่อน
เมื่อทำงานเกือบจะเสร็จแล้วหล่อนถึงได้กินอาหารเช้า หลังจากนั้นก็จะขึ้นไปเรียนหนังสือบนชั้นสองของร้าน เมื่อถึงเวลาทำงานหล่อนจึงค่อยไปเปิดร้านเสื้อผ้า
กิจวัตรประจำวันของหล่อนเป็นแบบนี้
แต่ต้องบอกว่าหลังเข้าสู่ปีนี้แล้ว โจวเอ้อร์นีก็ดูเปลี่ยนไปมาก
ถ้าว่าตามคำพูดของโจวกุยหลายก็ต้องบอกว่าหล่อนดูเหมือนแม่ของเขาเปี๊ยบ
ความจริงแล้วโจวเอ้อร์นีไม่ได้เลียนแบบหลินชิงเหออาสะใภ้สี่ของหล่อนแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็จงใจสนับสนุนหลานสาวคนนี้และสอนสิ่งต่าง ๆ ให้หล่อนมากมาย
ถึงอย่างนั้นหลินชิงเหอก็ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เธอเองก็ให้คำแนะนำกับสวี่เชิ่งเหม่ยและหู่จือด้วยเหมือกัน
โจวเอ้อร์นีรับคำสอนของเธอไป 80% หู่จือรับไป 60% ส่วนสวี่เชิ่งเหม่ยนั้นรับไปได้ไม่ถึง 20%
สิ่งที่หล่อนชอบก็คือการได้ดูทีวี แต่ด้วยความที่หล่อนทำงานเรียบร้อยดี หลินชิงเหอจึงว่าอะไรไม่ได้ บอกได้เพียงว่าแต่ละคนก็มีเส้นทางเดินต่างกันออกไป
หลังจากโจวเอ้อร์นีมาที่นี่ ไม่เพียงแต่จะดูมีราศีขึ้นมาก แต่หล่อนก็ยังตัวสูงขึ้น ตอนนี้หล่อนสูงเกือบ 160 เซนติเมตรแล้ว
แถมผิวของหล่อนก็ดูขาวขึ้นด้วย
หากได้กลับไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง คนทั้งหลายจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน
“หลังกินเสร็จแล้วหลานก็ไปเรียนหนังสือนะ” โจวชิงไป๋เอ่ยพลางยื่นเกี๊ยวให้ชามหนึ่ง
“ค่ะ” โจวเอ้อร์นีพยักหน้า หลังกินเกี๊ยวไส้หมูกับกะหล่ำปลีเสร็จ หล่อนก็เดินขึ้นชั้นสองเพื่อไปเรียนหนังสือ
โจวชิงไป๋สามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เขาเคยชินไปกับมันแล้วและทำได้เป็นลำดับขั้นตอนมากด้วย
กิจการร้านเกี๊ยวตอนนี้นับว่าอยู่ตัวแล้วจริง ๆ มันทำกำไรได้มากกว่า 300 หยวนต่อเดือน
แม้แต่ตอนที่โจวชิงไป๋ซื้อของมาขายต่อกับภรรยา เขาก็ไม่เคยดูถูกรายได้ส่วนนี้
กลับกันเขาพอใจกับรายได้ราว 10 หยวนต่อวันของร้านเกี๊ยวมาก
สวี่เชิ่งเหม่ยมาที่ร้านเกี๊ยวหลังกินอาหารเช้าที่บ้านคุณตาคุณยายแล้ว
เมื่อหล่อนมาถึงและเห็นว่าคุณน้าของหล่อนกำลังวุ่นอยู่ในร้าน หล่อนก็เข้าไปช่วยเสิร์ฟเกี๊ยวให้ลูกค้าด้วยท่าทางเก้กังเล็กน้อย
โจวชิงไป๋ไม่ได้ถามอะไร เมื่อใดที่หลานสาวมีเรื่องอะไรในใจ พวกหล่อนก็จะไปหาน้าสะใภ้ เขาจะไม่เข้าไปยุ่งแม้ว่าตัวเองจะเป็นน้าชายของพวกหล่อนก็ตาม
“คุณน้าคะ…หนู…หนูอยากคุยเรื่องอะไรบางอย่างกับคุณน้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าคุณน้าของเธอไม่ได้ถามอะไร สวี่เชิ่งเหม่ยจึงเอ่ยตะกุกตะกัก
“เรื่องนี้หนูบอกน้าสะใภ้เถอะ” โจวชิงไป๋ง่วนอยู่กับการทำเกี๊ยวจึงตอบแบบไม่มองหน้าหล่อน
เนื่องจากเกี๊ยวร้านนี้มีรสชาติอร่อยเลิศจนเป็นที่เลื่องลือในแถบนี้ เมื่อใดที่ใครอยากกินเกี๊ยวขึ้นมา พวกเขาก็จะนึกถึงร้านนี้
คนบางคนก็ไม่ได้มานั่งกินที่ร้าน แต่มาซื้อเกี๊ยวสดกลับไปปรุงเองที่บ้าน โจวชิงไป๋จึงต้องทำเกี๊ยวเป็นจำนวนมากในทุกวัน
ถ้าคุณป้าหม่าอยู่ที่นี่ นางก็จะล้างมือและมาช่วยห่อเกี๊ยวในตอนที่ไม่มีจานชามให้ล้างแล้ว
กำไรต่อเกี๊ยวชามหนึ่งถือว่าน้อยนิดนัก การจะทำให้ได้กำไร 300 หยวนต่อเดือนได้ เกี๊ยวสดจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลนั้น
สวี่เชิ่งเหม่ยไม่คิดว่าคุณน้าจะเอ่ยขัดก่อนที่หล่อนจะได้พูดอะไรออกไปเสียอีก
“คุณน้าคะ หนูไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับน้าสะใภ้น่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยเม้มปาก
ตอนนี้เองโจวชิงไป๋ถึงได้หันมามองหล่อน “ถ้าหนูไม่บอกน้าสะใภ้แล้ว ก็เปล่าประโยชน์ที่จะมาบอกเรื่องนี้กับน้า น้าสะใภ้เป็นคนจัดการเรื่องในครอบครัวทั้งหมด”
สวี่เชิ่งเหม่ยรู้สึกว่าวันนี้หล่อนคงไม่ได้สนทนาในเรื่องนี้ต่อ
คุณน้ามีความกล้าสักหน่อยไม่ได้เหรอคะ? ต้องฟังน้าสะใภ้ทุกอย่างเลยหรือ?
“คุณน้าคะ หนูไม่รู้ว่าที่นี่ขาดคนไหม ให้น้องชายหนูได้มาทำงานที่นี่ได้ไหมคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยโพล่งออกมาตรง ๆ
“เรื่องนี้ไปถามน้าสะใภ้เถอะ” โจวชิงไป๋ตอบ
จากนั้นเขาก็ลงมือทำเกี๊ยวต่อ และไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
แม้จะไม่ตอบอะไรสวี่เชิ่งเหม่ย แต่โจวชิงไป๋ก็บอกเรื่องนี้กับภรรยาในตอนที่เห็นเธอ
“ที่นี่ไม่ขาดคนหรอกค่ะ”หลินชิงเหอบอก
“อืม” โจวชิงไป๋พยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรอีก
หลินชิงเหอมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “อะไรกันคะ? คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?”
“คุณตัดสินใจเถอะ” โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างจริงจัง
หลินชิงเหอหัวเราะ จากนั้นก็จ้องมองผู้ชายของเธอ “ลองดูนะคะว่ามีเนื้อแกะขายไหม ถ้ามีก็ซื้อมาบำรุงตัวคุณบ้าง”
“ผมไม่เหนื่อยหรอก คืนนี้อยากได้มากกว่านี้ด้วย” โจวชิงไป๋ตอบขณะมองเธอ
หลินชิงเหอทุบเขาเบา ๆ “จริงจังหน่อยค่ะ”
แต่จริง ๆ แล้วเธอก็ชอบการแสดงความรักใคร่ของชิงไป๋ที่มีต่อเธอคนเดียว
ตอนนี้หิมะกำลังตก การกินเนื้อแกะจึงเป็นเรื่องแสนวิเศษ มันช่วยบำรุงร่างกายได้ดีทีเดียว
เป็นเพราะหลินชิงเหออยากกินเนื้อแกะ โจวชิงไป๋จึงต้องไปแสวงหามาให้ ร้านที่เขาไปประจำเพิ่งจะสั่งซื้อเนื้อแกะมา อีก 2-3 วันเนื้อแกะถึงจะมาอยู่ที่ร้าน
โจวชิงไป๋พบร้านค้าอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งขายเนื้อคุณภาพเยี่ยมเช่นกัน
อย่างที่โบราณกล่าวไว้ว่า หน้าหมูหลังหมากลางแกะ (1)
เนื้อแกะส่วนที่ดีที่สุดคือเนื้อซี่โครงแกะ โจวชิงไป๋ได้รับความรู้นี้จากการลองกินดู เขาจึงซื้อเนื้อแกะไป 10 ชั่ง ซึ่งเป็นซี่โครงแกะล้วน ๆ
แน่นอนว่าเขาซื้อเนื้อแกะล้วนไปด้วย เขาวางแผนว่าจะเพิ่มเกี๊ยวไส้แกะเข้าไปในรายการอาหารของทางร้าน
วันนั้นหลินชิงเหอก็ได้กินน้ำแกงเนื้อแกะกับหัวไชเท้าอันหอมหวน มันอร่อยเป็นพิเศษเมื่อกินคู่กับเนื้อซี่โครงแกะย่าง
“ชิงไป๋…”
“ชิงไป๋ คุณช่างดีเหลือเกินค่ะ ฉันอยากกินเนื้อแกะที่คุณทำให้ฉันเหลือเกิน” ก่อนที่หลินชิงเหอจะพูดอะไรออกมา เจ้าเด็กเหลือขอจอมแก่นโจวกุยหลายก็ดัดเสียงพูดเลียนแบบเธอ
หลินชิงเหอรู้สึกขนลุกขึ้นมาและถลึงมองเขา “จะกินหรือไม่กิน? ถ้าไม่กินก็วางชามลงแล้วไปล้างเท้าให้คุณปู่คุณย่าที่บ้านซะ!”
โจวชิงไป๋เหลือบมองลูกชายด้วยสายตาเฉยเมย
โจวกุยหลายแสดงท่าทางว่าเขาจะสงบปากสงบคำทันที ก่อนจะหยิบชามข้าวขึ้นกินอาหารในส่วนของเขา
หลินชิงเหอแค่นเสียงหึก่อนจะเอ่ยกับโจวชิงไป๋ “หลังกินเสร็จแล้วเราออกไปเดินเล่นดีไหมคะ?”
“ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า จากนั้นก็หันไปสั่งเจ้ารองกับเจ้าสาม “ถึงสองทุ่มแล้วปิดร้านนะ”
“ครับ” โจวเฉวี่ยนนักศึกษาปีหนึ่งพยักหน้า ขณะที่โจวกุยหลายเอ่ยขึ้น “พวกป๊ากับม้าไปดูหนังกันเหรอครับ? ให้ผมไปด้วยสิ”
“ถ้าลูกอยากไปดูก็ไปเองสิ” หลินชิงเหอโบกมือ
หลังกินซี่โครงแกะกับซดน้ำซุปเนื้อแกะเสร็จ พวกเขาก็กินซี่โครงแกะย่าง จากนั้นหลินชิงเหอก็รู้สึกอุ่นไปทั้งร่าง โจวชิงไป๋เองก็กินเสร็จแล้วเช่นกัน ทั้งคู่จึงเมินเด็ก ๆ ทั้งสองและออกไปเดินเล่น
“ในวันที่อากาศหนาวหิมะตกแบบนี้เนี่ยนะ ฉันละนับถือพวกเขาทั้งคู่จริงเลย” โจวกุยหลายส่ายหน้าด้วยท่าทางจนใจ
……………………………………………………………………………………
(1)- น่าจะเป็นสำนวนอะไรสักอย่าง ผู้แปลขอค้นหาก่อนนะคะ
สารจากผู้แปล
เริ่มรู้สึกสงสัยความเป็นมาของเชิ่งเหม่ยแล้วล่ะค่ะว่าทำไมเธอถึงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยกล้าพูดกล้าแสดงออก ไม่รู้ว่าตอนเด็ก ๆ เจอกับเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เธอขาดความมั่นใจในการแสดงออกหรือเปล่า
เจ้าสามยังแสบดีไม่มีตกเลยค่ะ ระวังโดนลงโทษหนัก ๆ เข้าสักวันนะคะ
ไหหม่า(海馬)