บทที่ 347 เถ้าแก่รุ่นเยาว์

บทที่ 347 เถ้าแก่รุ่นเยาว์

บทที่ 347 เถ้าแก่รุ่นเยาว์

“หมายความว่ายังไงเหรอจ๊ะที่ว่าน้าจะเปิดร้านอีก? น้ามีแค่สองร้านเอง” หลินชิงเหอหัวเราะ

“สามสิครับ รวมร้านเกี๊ยวของคุณน้าชิงไป๋ด้วย” หู่จือแจง

“ร้านเกี๊ยวของน้าชิงไป๋ไม่เกี่ยวกับน้า เขาก็มีร้านของเขา น้าก็มีร้านของน้า” หลินชิงเหอตอบและกลับมาคุยกันแบบเป็นการเป็นงาน “ร้านนี้จะอยู่ในการดูแลของนายกับคุณน้าเฉิงหมินนับตั้งแต่ตอนนี้ การตกแต่งร้านหรืออะไรก็ตามก็จะเป็นหน้าที่ที่นายกับคุณน้าเฉิงหมินต้องทำให้เสร็จ”

“ครับ ไม่มีปัญหา” หู่จือพยักหน้าทันที

เขารู้จักหม่าเฉิงหมินดี เพราะตัวเขาอยู่อะพาร์ตเมนต์เดียวกันกับอีกฝ่าย โดยที่หม่าเสี่ยวตั้นจะมาดูทีวีด้วยกันกับเขาทุกคืน

ดังนั้นร้านเสื้อผ้าแห่งที่สองของหลินชิงเหอจึงอยู่ในความดูแลของหม่าเฉิงหมินกับหู่จือในการทำหน้าที่ตกแต่งร้านและอื่น ๆ สิ่งที่พวกเขาทำได้เอง พวกเขาจะลงมือทำจนเสร็จ ส่วนสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ พวกเขาก็หาคนอื่นมาช่วย

ขณะเดียวกัน หลินชิงเหอก็ทำการสั่งผลิตเสื้อผ้าผู้ชาย

เธอสั่งเสื้อผ้าบุฝ้ายกันความหนาวกับผู้ประกอบการโรงงานที่เป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลร่ำรวยที่โจวชิงไป๋รู้จัก

ทายาทคนรวยรุ่นที่สองที่ก่อตั้งธุรกิจเองมีชื่อว่าหวังหยวน ซึ่งเป็นคนที่อัธยาศัยดีคนหนึ่ง

“อาจารย์หลิน คุณวางเแผนเปิดร้านเสื้อผ้าผู้ชายเหรอครับ” หวังหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มหลังมองแบบร่างเสื้อผ้าบุฝ้ายแล้ว

เขารู้ว่าหลินชิงเหอสอนวิชาภาษาต่างประเทศอยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และต้องบอกว่าเขามีความชื่นชมนับถือเธอ

ยิ่งกว่านั้นแบบร่างเสื้อผ้าที่ส่งมายังดูล้ำสมัย ก่อนหน้านั้นมีแต่เสื้อผ้าผู้หญิง ซึ่งเขาได้ผลิตมาจำนวนหนึ่งและมอบให้คนในครอบครัวสวมใส่ ซึ่งทุกคนต่างชื่นชอบมันเป็นอย่างมาก

เสียแต่ว่ายังไม่มีเสื้อผ้าผู้ชายออกมา และเขาก็ต้องการจะใส่ด้วย

“ฉันเปิดเป็นแค่ร้านเล็ก ๆ น่ะค่ะ เทียบไม่ได้กับโรงงานใหญ่ของคุณหรอก” หลินชิงเหอยิ้ม

หวังหยวนได้ยินก็พูดต่อ “ทำไมเดี๋ยวนี้มียอดสั่งตัดเสื้อผ้าผู้หญิงน้อยลงแล้วล่ะครับ?”

“กิจการตอนนี้ติดขัดอยู่บ้างน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

เขายังไม่รู้เรื่องที่เธอเปิดศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ

หวังหยวนหัวเราะ “ทำไมธุรกิจของคุณถึงจะติดขัดล่ะครับ? มันขายดีมากเลย ร้านเสื้อผ้าผู้ชายของคุณคงจะไม่สะดุดแน่ตอนที่คุณเปิดร้านแล้ว”

“เสื้อผ้าล็อตนี้จะออกมาเมื่อไหร่เหรอคะ?” หลินชิงเหอถาม

“อีกครึ่งเดือนครับ” หวังหยวนตอบ

หลินชิงเหอพยักหน้าและเซ็นสัญญากับเขา หวังหยวนรู้สึกชื่นชมนับถืออยู่ในใจหลังเซ็นสัญญาแล้ว เพราะเธอเขียนใบสัญญาไว้ดีจริง ๆ

“อาจารย์หลินครับ ทำไมคุณไม่ลองมาทำงานกับโรงงานของผมล่ะ? เป็นไปได้ว่าในอนาคตผมจะส่งสินค้าขายต่างประเทศด้วยนะครับ ถึงตอนนั้นผมก็จะต้องการคนมีพรสวรรค์แบบคุณ ถ้าคุณเต็มใจมาทำงานกับโรงงานของผม เดือนหนึ่งสัก 5 วันก็ได้ ผมจะให้เงินเดือนคุณ 200 หยวน คุณว่าอย่างไรครับ?” หวังหยวนมองหลินชิงเหอ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาหมายตาหลินชิงเหอไว้ แต่หลินชิงเหอยังคงปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่หวังสุภาพเกินไปแล้วค่ะ จากเงินเดือนที่คุณเสนอมา อนาคตคุณคงไม่ขาดคนที่จะมาเป็นล่ามหรอกมั้งคะ?”

“ถ้างั้นทำไมคุณไม่ลองร่วมงานกับผมล่ะครับ?” หวังหยวนถาม

ชายหนุ่มมีอายุเพียง 23 ปีเท่านั้น ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาก่อตั้งกิจการด้วยตัวเอง เห็นชัดว่าเขาเป็นคนฉลาดที่สามารถจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้หลายเรื่องจนโรงงานผลิตเสื้อผ้าดำเนินไปได้ด้วยดี

เขาเองยังมีความทะเยอทะยานสูง ดูได้จากความคิดที่จะส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ

หลินชิงเหอรู้ว่าเขาอยากว่าจ้างเธอจริง ๆ เธอจึงตอบไปว่า “ฉันไม่ได้สนใจอยากทำงานนี้น่ะค่ะ ฉันชอบชีวิตในมหาวิทยาลัยปักกิ่งมากกว่า แต่ถ้าในอนาคตศิษย์ของฉันคนไหนมีความคิดแบบนั้น ฉันจะแนะนำพวกเขาให้คุณดีไหมคะ?”

“ตกลงครับ!”หวังหยวนรู้สึกยินดีเมื่อได้ยินดังนี้ เขาคลี่ยิ้ม “เมื่อถึงเวลานั้นคุณหาคนดี ๆ มาให้ผมสักคนนะครับ ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้เก่งระดับคุณ แต่ก็อย่าห่างชั้นจากคุณเกินไปนะครับ”

เขามีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่เรียนอยู่ต่างประเทศ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในประเทศของเขาดีขึ้นแล้ว เขาจึงตัดสินใจกลับมาในปีนี้

ในเดือนที่แล้วนี่เองลูกพี่ลูกน้องของเขากลับมาและพบกับหลินชิงเหอโดยบังเอิญ และชาวต่างชาติไม่จริงคนนั้นก็สะดุดตากับราศีของหลินชิงเหอ

เขาใช้ภาษาอังกฤษในการเริ่มบทสนทนา ซึ่งเขาก็พูดได้อย่างคล่องปรื๋อเนื่องจากคุ้นเคยกับการพูดจาหว่านเสน่ห์ในต่างประเทศ

เขาอยากจะแก้ไขด้วยการพูดภาษาจีน แต่พอได้ยินหลินชิงเหอตอบเขากลับเป็นภาษาอังกฤษ หลังจากความบังเอิญครั้งนั้นเอง พวกเขาก็สนทนาโต้ตอบกันไปมา ทำให้หวังหยวนที่เดินออกมาถึงกับตกตะลึงไป

หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินลูกพี่ลูกน้องคนนี้บอกว่าอาจารย์ภาษาต่างประเทศของมหาวิทยาลัยปักกิ่งคนนี้เก่งสุดยอด สำเนียงของเธอสมบูรณ์แบบไร้ที่ติเลยทีเดียว

เมื่อลูกพี่ลูกน้องของหวังหยวนรู้ว่าหลินชิงเหอมีลูกชาย 3 คน และคนโตเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย เขาก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกอันซับซ้อนของตัวเองออกมาได้

เขาคิดว่าตัวเองได้เจอรักแท้ แต่ไม่คิดเลยว่ารักแท้ของเขาจะกลายเป็นแม่คนที่มีลูกตัวโตขนาดนี้แล้ว!

แต่เรื่องนี้ไม่ส่งผลต่อความชื่นชมในตัวหลินชิงเหอของหวังหยวนแต่อย่างใด เขาเสนอเงื่อนไขสุดพิเศษให้กับเธอ เมื่อโจวชิงไป๋มารับสินค้า เขาก็จะส่งมันให้กับโจวชิงไป๋เช่นกัน

หลินชิงเหอพบว่าหวังหยวนเป็นคนรักษาสัญญาดีทีเดียว

เถ้าแก่รุ่นเยาว์คนนี้มีทักษะมนุษยสัมพันธ์ในระดับที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ใช่คนตระหนี่ ที่สำคัญที่สุดก็คือเขามีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมองหลายด้าน

เธอยังคงเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือกับคนประเภทนี้

ดังนั้นเธอจึงส่งคำสั่งซื้อชุดบุฝ้ายสำหรับผู้ชายที่ศูนย์ตัดเย็บเสื้อผ้าเล็ก ๆ ของเธอที่ยังทำไม่เสร็จไปให้ทางฝั่งนี้เพื่อให้โรงงานมีงานทำ

เรื่องที่หลินชิงเหอเปิดร้านเสื้อผ้าอีกแห่งก็กลายเป็นที่รับรู้กันทั้งครอบครัวอย่างรวดเร็ว

“คุณอาสะใภ้สี่เก่งจังเลยค่ะ” โจวเอ้อร์นีเอ่ยชม

“เก่งมาก ๆ ค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ทั้งโจวเอ้อร์นีกับหู่จือในตอนนี้กำลังเรียนมหาวิทยาลัยภาคค่ำอยู่ ส่วนสวี่เชิ่งเหม่ยก็เปิดประเด็นเรื่องนี้ในตอนที่หล่อนมาดูทีวีที่บ้านของคุณตาคุณยาย

ท่านแม่โจวได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจ “น้าของหนูเปิดร้านอีกร้านหนึ่งเหรอ?”

ท่านพ่อโจวเองก็ประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไร

“คุณน้าบอกว่าร้านนี้จะเอาไว้ขายเสื้อผ้าผู้ชายน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพยักหน้า

“มันจะยุ่งวุ่นวายเกินไปไหมเนี่ย?” ท่านแม่โจวเอ่ยออกมา

“คุณน้าให้หู่จือกับเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งเป็นคนดูแลร้านน่ะค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยเอ่ย หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งหล่อนก็เอ่ยออกมา “คุณยายคะ ปีนี้น้องชายของหนูไม่ได้เรียนหนังสือ หนูคิดว่าจะให้เขามาช่วยงานทางนี้ดีไหมคะ?”

ท่านแม่โจวได้ยินดังนี้ก็เข้าใจความหมาย “หนูถามเรื่องนี้กับคุณน้าเองนะ”

นางจะเป็นคนตัดสินใจแทนสะใภ้สี่ได้อย่างไร? พูดตามตรงก็คือนางรู้สึกผิดนิดหน่อย

เป็นเพราะพวกเขามาที่นี่ สะใภ้สี่จึงซื้อของดี ๆ ให้หลายอย่าง ทั้งทีวี เครื่องบันทึกเทป พัดลมไฟฟ้า มีของฟุ่มเฟือยอันไหนบ้างล่ะที่เธอไม่ได้ให้นางกับสามีชราของนาง?

เพื่อนบ้านทั้งซ้ายขวาในเมืองหลวงต่างพากันชื่นชมเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้

แต่โดยปกติแล้วนางไม่ได้ออกไปช่วยงานที่ไหน ขณะที่นางไปช่วยขายซาลาเปาและเก็บเงินอยู่ทางฝั่งลูกเขยคนเล็กนั้น ฝั่งลูกชายของนางก็ไม่จำเป็นต้องรับความช่วยเหลือจากนางแต่อย่างใด

นางจะกล้าตัดสินใจแทนและแนะนำคนให้กับสะใภ้สี่ได้อย่างไร?

สวี่เชิ่งเหม่ยไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับคุณน้าของหล่อน หล่อนรู้ดีว่าคุณน้าคนนี้ไม่ใช่คนที่มีความอดทนอดกลั้นสูง

ดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับลิ่วนีตอนที่หล่อนมาถึงที่นี่สิ ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคนส่งหล่อนกลับบ้านหรอกเหรอ?

ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมยพบโอกาสเหมาะอันหายากที่จะปิดร้านเร็ววันหนึ่ง จากนั้นทั้งหกคนก็ออกไปดูหนังกัน

พวกเขากลับมาอีกครั้งหลังเวลาสองทุ่ม

และตอนนี้เองโจวเสี่ยวเหมยก็รู้ว่าพี่สะใภ้สี่ของหล่อนเปิดร้านค้าแห่งที่สามแล้ว!

ในเย็นวันถัดมา ซูต้าหลินก็เป็นคนดูแลร้านด้วยตัวคนเดียว ส่วนโจวเสี่ยวเหมยพาซูหย่ากับซูเถียนมาเยี่ยมที่ร้านเกี๊ยว

หลินชิงเหอกำลังเขียนเอกสารอยู่บนชั้นสองของร้านเกี๊ยว เธอจัดโต๊ะเขียนหนังสือให้โจวเอ้อร์นีแล้ว และมักจะมาที่นี่เพื่อเขียนเอกสารและจดบันทึกสถิติอยู่บ่อย ๆ

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เถ้าแก่โรงงานอายุแค่ยี่สิบสามเอง แต่เก่งมากเลยค่ะ ชื่นชม

เชิ่งเหม่ยมีแผนอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมรู้สึกสังหรณ์ใจกับหนูจัง

เสี่ยวเหมยตกใจล่ะสิ นี่แหละความเก่งกาจของพี่สะใภ้สี่ล่ะค่ะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset