หัวใจของลู่โจวรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย ‘เจ้าหมิงซี่หยิน เจ้านี่จะไม่หยุดทำให้ฉันรู้สึกกังวลเลยสินะ เจ้านี่เพิ่งจะส่งข้อความกลับมาแล้วแท้ๆ ทำไมไม่กลับมาอย่างสงบกัน ทำไมเจ้าจะต้องก่อเรื่องกับคนของฝานซุยเหวินอย่างงี้ ไปยั่วให้ฝานซุยเหวินโกรธก็เท่ากับว่าฆ่าตัวตายชัดๆ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็คงจะได้แต่โทษตัวเองแล้วล่ะ’
หมิงซี่หยินยังอยู่อีกไกลศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยกัน แม้ว่าลู่โจวจะเคยช่วยหมิงซี่หยินมาได้ แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ได้ใช้พลังร่างสุดยอดไป ลู่โจวคงจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่จะสั่งสอนให้ลูกศิษย์คนนี้เติบโตต่อไปถ้า และถ้าหากหมิงซี่หยินสามารถหนีการตามล่าของพวกอัศวินดำโดยไม่บาดเจ็บกลับมาได้ ตัวเขาก็มั่นใจว่าหมิงซี่หยินคงสามารถที่จะเอาตัวรอดในยุทธภพจนถึงอนาคตได้
หนทางของเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายล้วนแต่เต็มไปด้วยภัยอันตราย ลู่โจวไม่อยากที่จะให้หมิงซี่หยินเป็นอะไรไปในตอนนี้ แม้ว่าศิษย์คนนี้จะดื้อด้านมากแค่ไหนเขาก็มั่นใจว่าหมิงซี่หยินจะต้องมีศักยภาพมากพอที่จะกลายเป็นคนดี ยึดถือเส้นทางอันถูกต้องได้ และนอกเหนือจากความคาดหวังนี้แล้วลู่โจวยังคาดหวังที่จะได้แต้มบุญจากหมิงซี่หยินอีก ด้วยการจัดการพวกอัศวินดำไปทำให้ลู่โจวมีแต้มบุญถึง 1,710 แต้มด้วยกัน
ลู่โจวได้คิดกับตัวเอง ‘ตอนนี้ฉันมีการ์ดการโจมตีของเพรชฆาตทั้งหมด 2 ใบ หวังว่ามันจะพอล่ะนะ ผนึกกักขังที่ได้มามีโอกาสที่จะใช้สำเร็จต่ำไป ฉันควรจะซื้อเพิ่มสักสองใบจะดีกว่า’ เมื่อคิดได้แบบนั้นลู่โจวก็เปิดไปที่หน้าร้านค้า ตัวเขาเห็นผนึกกรงกักขังถูกปลดล็อกออก การซื้อผนึกกรงขังจะต้องใช้แต้มบุญ 200 แต้มด้วยกัน ลู่โจวที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าเขารีบซื้อผนึกกักขัง 3 ใบในคราวเดียว
‘ตอนนี้ฉันมีการ์ดผนึกกักขัง 6 ใบแล้ว หวังว่ามันจะเพียงพอล่ะนะ? เอาไว้ค่อยจับฉลากน้ำโชคครั้งหน้าก็แล้วกัน ถ้าหากฉันซื้อพลังร่างอวตารได้คงจะเป็นอะไรที่คุ้มกว่า’
…
สองวันต่อมา
ในที่สุดลู่โจวก็ตัดสินใจที่จะหยุดอ่านเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ตั้งแต่ตอนนี้ หลังจากที่ศึกษามันอย่างต่อเนื่องเขาก็พบกับความก้าวหน้าบางอย่าง ยิ่งตัวเขาเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มากเท่าไหร่สภาพจิตใจของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น และเพราะจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นนี้เองลู่โจวมั่นใจว่ามันจะต้องมีประโยชน์ในอนาคตอย่างแน่นอน ที่ลู่โจวคิดแบบนั้นเพราะตัวเขาจำตอนที่อยู่บนแท่นพิธีศักดิ์ได้ ในตอนนั้นเขาถูกบทสวดพระสูตรแห่งพราหมณ์โจมตี แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย ลู่โจวที่คิดแบบนั้นได้แต่พึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้ไหมที่ฉันได้รับพลังพิเศษหลังจากทำความเข้าใจเคล็ดอักษรสวรรค์กัน? ” นี่เป็นสิ่งที่ลู่โจวพอจะคิดได้หลังจากที่พยายามหาเหตุผลทั้งหมดมารองรับ
ลู่โจวได้เก็บเคล็ดอักษรสวรรค์ไป ตัวเขาเพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองหมกมุ่นอยู่กับทำความเข้าใจเคล็ดอักษรสวรรค์มากไปจนตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าสองวันแล้ว
ในตอนนั้นเองเสียงของหยวนเอ๋อก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านนอก “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่สี่กลับมาแล้ว! “
“เอาล่ะ” ลู่โจวพูดเสร็จก็ออกมาจากห้องลับก่อนที่จะเดินมายังห้องโถงศาลาปีศาจลอยฟ้าในทันที ตอนนั้นเองเขาเห็นหมิงซี่หยินคุกเข่ารออยู่ก่อนแล้ว
ใบหน้าของหมิงซี่หยินดูไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ที่เนื้อตัวเขาเองก็ดูสะบักสะบอมมากเช่นกัน
ลู่โจวรีบสังเกตค่าความจงรักภักดีเป็นอย่างแรก และเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ลดลงเขาก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง อันที่จริงแล้วค่าความจงรักภักดีดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป
หมิงซี่หยินที่เห็นลู่โจวออกมาได้พูดออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด “ท่านอาจารย์ สวัสดีครับ! “
ลู่โจวเดินเอามือไขว้หลังก่อนที่จะเดินตรงมาหาเขา “ยืนขึ้นซะ ตอนนี้พวกอัศวินดำอยู่ที่ไหนกันแล้ว? “
“พวกอัศวินดำใกล้เข้ามาแล้ว พวกเขาอยู่ห่างจากภูเขาทองไม่ถึง 10 ไมล์เท่านั้น ศิษย์คิดว่าเจ้าพวกนั้นคงจะมาถึงภายในไม่กี่นาทีนี้” หมิงซี่หยินตอบกลับมา
หยวนเอ๋อที่ฟังแบบนั้นก็ได้อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “ไม่กี่นาทีอย่างงั้นหรอ? “
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินพยายามฝืนยิ้มอย่างผิดธรรมชาติขึ้นมา
ลู่โจวลูบเคราของเขาก่อนที่จะเดินไปใกล้ๆ หมิงซี่หยิน เขาได้จ้องมองหมิงซี่หยินเพื่อประเมินตัวเขาอยู่นาน “เจ้านี่มันดื้อด้านจริงๆ “
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยินก็คลุกเข่าลงตามสัญชาตญาณ “ศิษย์สมควรตาย ท่านอาจารย์ได้โปรดอย่าโกรธศิษย์เลย”
“พวกเราน่ะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝานซุยเหวินแข็งแกร่งมากสักแค่ไหน เจ้าน่ะเพิ่งจะพัฒนาวรยุทธของตัวเองจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้แท้ๆ เจ้าที่มีพลังเพียงแค่นั้นกล้าที่จะไปยั่วยุคนอื่นอีกอย่างงั้นหรอ? เจ้าน่ะคงเบื่อชีวิตแล้วละสิ ถูกไหม? ” น้ำเสียงของลู่โจวเต็มไปด้วยการตำหนิติเตียน
“ศิษย์ไม่กล้า! ศิษย์แค่กังวลว่าเจ้าพวกนั้นจะไม่มาศิษย์ก็เลย…ลองโจมตีพวกเขาไป! ศิษย์ไม่ได้วางแผนที่จะสังหารเจ้าพวกนั้น แต่เจ้าพวกนั้นไม่ต้องการที่จะปล่อยศิษย์ไป ศิษย์ก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากซ่อนตัวอยู่ในป่าพร้อมกับเฝ้าสังเกตพวกมันไปด้วย” หมิงซี่หยินได้เร่งรีบอธิบายออกมา
“เจ้าโง่” ลู่โจวพยายามประเมินสถานการณ์ทุกอย่างที่หมิงซี่หยินได้ทำลงไปอย่างใจเย็น “ถ้าหากฝานซุยเหวินต้องการที่จะจัดการกับเจ้า เจ้านั่นก็คงจะทำได้ง่ายๆ ไปแล้ว เจ้านั่นน่ะไม่จำเป็นที่จะต้องให้โอกาสเจ้าตอบโต้กลับเลยด้วยซ้ำไป”
หมิงซี่หยินรู้สึกหวาดกลัวเมื่อไ้ยินเช่นนั้น หลังจากนั้นเขาก็ได้ถามออกไปด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ฝานซุยเหวินแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอครับ? “
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน “เจ้านั่นน่ะมีชื่อว่าเล่งลั้ว ศิษย์พี่คงไม่ได้อ่านจดหมายที่ท่านอาจารย์ส่งให้เลยสินะ? “
“…”
หมิงซี่หยินนั่งลงกับพื้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ยินชื่อเล่งลั้วบ่อยนัก แต่ถึงแบบนั้นชื่อนี้ตัวเขาก็ยังจำได้ดี ในสมัยก่อนชื่อของเล่งลั้วโด่งดังมากในโลกใบนี้ ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักชายคนนี้ ถ้าหากอาจารย์ของเขาไม่ได้รวบรวมลูกศิษย์ทั้งเก้าเอาไว้ ป่านนี้เล้งลั่วก็คงจะมีชื่อเสียงโด่งดังจนมาถึงตอนนี้
เล้งลั่วเป็นยอดฝีมื่อเจ้าแผนการที่มีพลังวรยุทธสุดลึกล้ำ การที่หมิงซี่หยินจะรู้สึกหวาดกลัวและหวาดระแวงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาเพิ่งจะจัดการกับอัศวินดำ นี่ไม่ต่างอะไรกับการแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ในตอนนี้ทุกคนได้แต่สงสัยว่าทำไมฝานซุยเหวินถึงยังไม่เคลื่อนไหว…
ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งที่มาจากวังจันทราก็ได้เข้ามาที่ห้องโถง เธอคนนั้นได้โค้งคำนับก่อนที่จะเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์ ฝานซุยเหวินมาขอพบท่านค่ะ เขากำลังรออยู่ด้านนอกแล้ว”
‘มาแล้วสินะ’ ลู่โจวได้แต่คิดแบบนั้นก่อนที่จะเหลือบมองไปที่ด้านนอกศาลาปีศาจลอยฟ้า
หมิงซี่หยินได้อาศัยโอกาสนี้ลุกขึ้นมา หลังจากนั้นเขาก็ได้เอ่ยปากถามออกมาอย่างไม่มั่นใจ “ท่านอาจารย์ ให้ศิษย์ไปไล่เจ้านั่นเลยดีไหมครับ? หรือท่านอาจารย์จะต้องการพบกับเขาสักครั้งดี? ” ท่านอาจารย์ของเขาแก่มากแล้ว แม้ว่าท่านอาจารย์ของเขาจะสามารถจัดการกับฝานซุยเหวินได้อย่างง่ายดายด้วยพลังยุทธก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นการต่อสู้ของสองยอดฝีมือก็คงจะไม่จบลงง่ายๆ
ลู่โจวได้โบกมือให้อย่างไม่แยแสก่อนที่จะพูดออกมาอย่างใจเย็น “พาเจ้านั่นมาซะ”
“งั้นศิษย์จะเป็นคนที่ไปหาเจ้านั่นเอง” หมิงซี่หยินไม่ได้ทำความสะอาดตัวเอง ตัวเขาได้เดินออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปในทันที
หยวนเอ๋อได้หัวเราะคิกคักออกมาก่อนที่จะพูดออกมาเช่นกัน “ท่านอาจารย์ ศิษย์ก็จะไปด้วย! “
ลู่โจวไม่ได้ห้ามหยวนเอ๋อ ท้ายที่สุดฝานซุยเหวินก็เดินทางมาถึงเชิงเขาแล้ว ฝางซุยเหวินแท้จริงแล้วเป็นชายที่ฉลาด เขาคงจะไม่ผลีผลามโจมตีศิษย์ของลู่โจวอย่างแน่นอน
…
ที่ด้านนอกม่านพลังป้องกันภูเขาทอง
อัศวินดำกว่า 10 คนในตอนนี้กำลังตั้งแถวรออยู่ที่ด้านนอกม่านพลังอย่างสง่างาม มีเพียงอัศวินคนเดียวเท่านั้นที่นำทัพอัศวินทั้ง 10 เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกซะจากฝานซุยเหวิน ในตอนนี้เองอัศวินดำทั้งสี่ที่เขาสามารถเชื่อใจได้ก็ยืนอยู่ตรงกลางเช่นกัน
ฝานซุยเหวินได้จ้องไปที่ม่านพลังที่ส่องแสงสีทองสว่างไสวออกมาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างแหบแห้ง “ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าภูเขาทองจะตั้งอยู่ในที่ที่เพียบพร้อมแบบนี้…”
อัศวินดำที่ยืนอยู่ข้างฝานซุยเหวินได้พูดขึ้น “เคยมีข่าวลือว่าเอาไว้ แม้แต่สิบยอดฝีมือผู้มีพลังยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจที่จะทำลายม่านพลังภูเขาทองได้แม้จะมาทั้งกองทัพก็ตาม ดูเหมือนว่าพลังม่านป้องกันนี่จะน่าทึ่งจริงๆ “
ฝานซุยเหวินพยักหน้าให้เบาๆ ก่อนที่จะตอบกลับไปอย่างไม่แยแส “อัศวินดำทั้งสี่ขึ้นภูเขาไปกับข้า ส่วนพวกเจ้าที่เหลือรออยู่ตรงนี้ซะ”
“รับทราบ! “
ในตอนนั้นเองมีชายคนหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงไปหาเหล่าอัศวินดำด้วยความเร็วดุจดั่งสายฟ้า เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกซะจากหมิงซี่หยิน ตัวเขาจับจ้องไปยังเหล่าผู้คนที่กำลังอยู่ด้านนอกของม่านพลัง คนที่อยู่อยู่ด้านหน้าสุดคงจะเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินดำ เขาคนนั้นสวมใส่ชุดเกราะสีทำ ที่ใบหน้าสวมใส่หน้ากากปิดบังหน้าตาเอาไว้ ร่างกายของเขาสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ชายคนนี้จะต้องเป็นเล้งลั่วผู้มีเชื่อเสียงอย่างแน่นอน หมิงซี่หยินที่ได้แค่มองรู้สึกถึงความหนาวสั่นไปทั่วกระดูกสันหลังของเขาได้ ตัวเขาไม่กล้าที่จะทำอะไรเสี่ยงๆ หมิงซี่หยินได้ผสานมือเข้าด้วยกันก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ท่านอาจารย์ของข้าเชิญเจ้าขึ้นไปบนภูเขาน่ะ”
ฝานซุยเหวินที่เห็นหมิงซี่หยินได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความอันตราย “ศิษย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าคนที่สี่ หมิงซี่หยิน…เจ้าน่ะได้จัดการกับลูกน้องของข้าไปถึง 4 คน แต่เพื่อเห็นกับอาจารย์ของเจ้าข้าจะไม่ถือสาเจ้าก็แล้วกัน”
“ท่านผู้อาวุโส เจ้าเป็นคนใจกว้างซะจริงนะ ในตอนนั้นข้าก็แค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น ลูกน้องของเจ้าเองนั่นแหละที่ตามล่าข้าเอง…”
อัศวินดำที่ยืนอยู่ด้านหลังของฝานซุยเหวินได้ตอบกลับมาอย่างเย็นชา “เจ้าน่ะไม่ใช่คนที่พยายามแทรกซึมเข้าไปในฐานของพวกเราเหล่าอัศวินดำก่อนหรอ? “
“ข้าก็แค่กังวลว่าจะส่งข้อความไปไม่ถึงกับหัวหน้าของเจ้า และถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงข้าก็คงจะแบกหน้ามาพบกับท่านอาจารย์ของข้าไม่ได้ พวกเจ้าก็รู้ดีนิว่าท่านอาจารย์ของข้าเป็นคนแบบไหน? ” หมิงซี่หยินได้หยุดการโต้เถียงของอัศวินดำคนนั้นไป ตัวเขาได้โต้ตอบออกไปอย่างสมเหตุสมผลนั่นเอง
ฝานซุยเหวินยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ลูกน้องของเขาหยุดลง หลังจากนั้นเขาก็พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ข้าน่ะไม่ปฏิเสธคำชวนของอาจารย์เจ้าอยู่แล้ว นำทางไปซะ” ถ้าหากดูจากคำพูดของชายคนนี้แล้ว หมิงซี่หยินก็รู้ได้ทันทีว่าเขามั่นใจในพลังที่ตัวเองมีมากขนาดไหน
เมื่อเทียบฝานซุยเหวินกับซู่จินฉานที่เคยมาเยี่ยมเยียนภูเขาทองก่อนหน้านี้ หมิงซี่หยินรู้สึกชอบซู่จินฉานซะมากกว่า อย่างน้อยๆ ซู่จินฉานก็ไม่ได้พูดจามั่นใจอะไรแบบนี้ แต่โชคร้ายที่ซู่จินฉานได้ตายจากไปซะแล้ว
หมิงซี่หยินเดินตรงไปที่ม่านพลังก่อนที่จะโบกมือขึ้น ในตอนนั้นช่องว่างระหว่างม่านพลังก็ได้ปรากฏขึ้นในทันที “ท่านอาจารย์ให้เจ้าขึ้นไปเอง”
“น่าสนใจ” ฝานซุยเหวินพยักหน้า เขาเดินเข้าไปในม่านพลังก่อนที่จะมีอัศวินดำทั้ง 4 คนเดิมตามมาติดๆ
อัศวินดำคนสุดท้ายที่เดินเข้ามาในม่านพลังได้หยุดอยู่ตรงหน้าของหมิงซี่หยินก่อนจะพูดขึ้น “ศิษย์คนที่สี่จากศาลาปีศาจลอยฟ้า ถ้าหากพวกเราในอนาคตมีโอกาสได้พบกัน ข้าคงต้องขอโอกาสในการประลองฝีมือกับเจ้าซะครั้ง”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบกลับไปอย่างใจเย็นโดยไม่สบตา “แต่ท่านอาจารย์น่ะบอกให้ข้าไม่ต้องไปต่อสู้อย่างไร้เหตุผล…”